จ่อเอาผิดเข้มข้นขึ้นหวังแก้ฝุ่น PM2.5 หลังประกาศให้กรุงเทพฯเป็น “เขตควบคุมมลพิษ”

จ่อเอาผิดเข้มข้นขึ้นหวังแก้ฝุ่น PM2.5 หลังประกาศให้กรุงเทพฯเป็น “เขตควบคุมมลพิษ”

วันอังคาร ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2568, 12.36 น.

กทม.เข้มมาตรการป้องกัน-แก้ปัญหา PM2.5 หลังประกาศเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” เตรียมแก้กฎหมายปรับเกณฑ์ตรวจรถควันดำ / คุยกระทรวงอุตสาหกรรม ติดระบบ CEM วัดปล่องควันโรงงานในกรุง / เจรจาผู้ว่าฯปริมณฑล ลดการเผา

วันที่ 9 ก.ย. 68 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร ณ ห้องนพรัตน์ ศาลาว่าการกทม.(เสาชิงช้า) ว่า มีความก้าวหน้าในเรื่องสำคัญหลายเรื่อง จากที่ได้เสนอขอมาตรการกับทางรัฐบาลไป 10 ข้อ เมื่อวานนี้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้อนุมัติประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็น“เขตควบคุมมลพิษ” ช่วงเดือนพฤศจิกายน - มีนาคม ถือเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ทำให้เรามีอำนาจมากขึ้นในการกำหนดมาตรฐานที่มีความความเข้มข้นกว่ามาตรฐานของประเทศ เช่น การวัดรถควันดัน ปกติวัดความทึบแสงที่ 30% เกินจากนั้นมีความผิด เรามองว่ากรุงเทพมหานครต้องการความเข้มข้นมากกว่านี้ ก็จะทำให้มาตรการเข้มข้นขึ้น จาก 30 ลดเป็น 20 หรือ 10% ซึ่งเราจะมีอำนาจในการปรับมาตรฐานต่างๆนี้ให้เข้มข้นขึ้น เป็นเครื่องมือในการลด PM2.5 ได้มีประสิทธิภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีแผนในการหาต้นตอ ไปดำเนินการต่างๆเพื่อลดฝุ่นด้วย


มีคนกังวลว่าการประกาศนี้จะกระทบกับเศรษฐกิจ เราเชื่อว่าไม่มี เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการที่จะแก้ปัญหา PM2.5 และมีการศึกษาวิเคราะห์จากทางหน่วยงานวิชาการว่า การลด PM2.5 ได้ 1 มคก./ลบ.ม. ทำให้ได้มูลค่าเศรษฐกิจที่กลับมาเป็นหลักหมื่นล้าน จริงๆแล้วน่าจะเป็นผลดีและสร้างความเชื่อมั่นด้วย

นอกจากนี้ ได้มีการหารือกระทรวงอุตสาหกรรม มีความคืบหน้าอย่างดี ในเรื่องที่จะมีการติดตั้งระบบ CEM หรือการวัดฝุ่นจากปล่องควัน ซึ่งปัจจุบันในกรุงเทพฯ ตามกฎหมายมีโรงงานที่ติดระบบนี้ 7-8 แห่ง หากมีการปรับมาตรฐานให้ละเอียดขึ้นและข้อกำหนดให้เข้มข้นขึ้น ก็จะมีโรงงานที่ต้องติดตั้งระบบนี้ 200 กว่าแห่ง จะทำให้สามารถติดตามการปล่อยควันฝุ่นเหล่านี้ได้ตามเวลาจริง ทำให้ควบคุมปัญหานี้ได้มากขึ้น รวมถึงดูเรื่องผลกระทบของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ มีความร่วมมือกันหลายภาคส่วน

อนาคตจะดูเรื่องฝุ่นจากการเผาด้านนอก ที่เข้ามาในกรุงเทพฯ ซึ่งมีพิกัดจุดเสี่ยงจากข้อมูลที่ผ่านมา มีการกำหนดพื้นที่เป้าหมายแล้ว โดยจะไปหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อให้ดำเนินการ หากจำเป็น กทม.อาจจะไปช่วยดับไฟ หรือเข้าไปคุยกับเกษตรกรโน้มน้าวให้ลดการเผา หรือหาเครื่องอัดฟางให้ใช้ เพราะการเผาของเพื่อนบ้านทำให้เราได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงซึ่งเราไปแก้ไม่ได้ ก็ต้องรีบไปคุยเพื่อหาความร่วมมือกันต่อไป

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงมาตรการที่จะเข้มข้นขึ้นว่า เรื่อง Low Emission Zone ในช่วงฝุ่นสูง ที่ห้ามรถบรรทุก 6 ล้อ เข้ากรุงเทพฯ ชั้นใน แต่ในปีนี้จะห้ามเข้าทั้งกรุงเทพฯ รถบรรทุกจะต้องไปปรับปรุงให้เพื่อให้อยู่ใน Green List “บัญชีสีเขียว” จะสามารถนำรถเข้ามาในเขตกรุงเทพฯได้ในช่วงฝุ่นสูง  รถที่ไม่อยู่ใน Green List จะจับปรับ ปีที่ผ่านมาเราส่งยื่นฟ้องศาลไปแล้ว 400 กว่าคัน จริงๆแล้วไม่ได้อยากจับปรับรถ แต่อยากให้รถไปปรับปรุง เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนระบบเป็นระบบที่ปล่อยมลพิษน้อยลง

ในเชิงป้องกัน ได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น สสส.ในการติดตั้งห้องเรียนปลอดฝุ่นในทุกโรงเรียน และ กทม.ทำห้องปลอดฝุ่นในศูนย์เด็กเล็กทุกศูนย์ ป้องกันเด็กได้ครอบคลุมมากขึ้น ในส่วนระบบเตือนภัย เดิมเตือนล่วงหน้า 3 วัน ได้พัฒนาระบบให้เป็น 7 วัน โดยนำเซ็นเซอร์ขนาดเล็กมาเพิ่มเติม 800 กว่าเครื่องทำให้สามารถพยากรณ์ได้เข้มข้นมากขึ้น และ เปิดรับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยต่างๆ จากต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้อุปกรณ์มาติดตั้งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้วิเคราะห์ฝุ่นได้อย่างละเอียดว่ามีต้นตอมาจากไหน สามารถกำจัด หรือจำกัดการปล่อยจากต้นตอได้ดีขึ้น เรามีความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เชื่อว่าสถานการณ์ฝุ่นปีนี้จะดีขึ้น

036

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top