กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับ สภากาชาดไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พัฒนาการใช้เทคโนโลยีข้อมูลชีวมิติ (Biometric) ในการระบุตัวตนของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย พบมีความถูกต้อง และแม่นยำสูงถึง 99.75% เพิ่มความครอบคลุมในการป้องกันควบคุมโรค ให้บริการทางการแพทย์ และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบุตัวตนของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย และ ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ลงนาม
โดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สธ. เปิดเผยว่า สธ.มีนโยบายส่งเสริมการใช้ข้อมูลชีวมิติ (Biometric) ในการยืนยันตัวตนของกลุ่มประชากรต่างด้าว กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดน ที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตน ซึ่งจะช่วยในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค เนื่องจากเมื่อเจ็บป่วย หรือรับวัคซีนป้องกันโรค หรือเมื่อเกิดภัยพิบัติ คนกลุ่มนี้จะไม่อยู่ในฐานข้อมูลส่งผลให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือ โดยได้ร่วมกับสภากาชาดไทย และ สวทช. พัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบุตัวตน Thai Red Cross Biometric Authentication System (TRCBAS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการรู้จำลายม่านตา (Iris Recognition) และการรู้จำใบหน้า (Face Recognition) เพื่อเก็บข้อมูลชีวมิติ สนับสนุนระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
จากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว เดือนกรกฎาคม 2568 ระบุว่า มีแรงงานต่างด้าวทั่วราชอาณาจักร 2,222,905 คน ในจำนวนนี้มีสถานะไม่ถูกกฎหมายกว่า 1 ล้านคน การพัฒนาเทคโนโลยีระบุตัวตนครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งต่อสุขภาพส่วนบุคคลและด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยดำเนินการภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ
“การนำเทคโนโลยีชีวมิติมาใช้ นอกจากช่วยให้การดูแลสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค การให้บริการทางการแพทย์ และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และครอบคลุม ยังแสดงให้เห็นถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย รวมถึงสามารถต่อยอดในด้านการศึกษา วิจัย ของบุคลากรสาธารณสุขไทย ที่จะนำไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนได้” รมว.สธ. กล่าว
ด้าน นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า สภากาชาดไทย ได้ร่วมกับ สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพม่านตาและจดจำใบหน้าเพื่อใช้ในการระบุตัวตนในผู้ที่ไม่มีเอกสาร เป็นผลสำเร็จ สำหรับความร่วมมือฯฉบับนี้ สภากาชาดไทย จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนเชิงนโยบาย และอุปกรณ์ เครื่องมือในการบันทึกข้อมูลลายม่านตาและใบหน้า ตลอดจนทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อยกระดับบริการด้านสาธารณสุขและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ทุกคนที่อาศัยในประเทศไทย
ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีรู้จำลายม่านตา หรือ Thai Red Cross Biometric Authentication System (TRCBAS) เป็นระบบที่ทีมวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค-สวทช. ร่วมกับสภากาชาดไทย พัฒนาขึ้นโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนด้วยการจดจำลายม่านตาและใบหน้า มาใช้ในการตรวจสอบบุคคลก่อนรับบริการด้านสาธารณสุขและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งข้อมูลชีวมิติจากลายม่านตาเป็นส่วนที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง คงทน และปลอมแปลงได้ยาก โดยความร่วมมือครั้งนี้จะมีการนำระบบ TRCBAS ไปขยายผลใช้งานในสำนักงานควบคุมโรคเขตเมือง โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่เป้าหมาย อาทิ สมุทรสาคร ตาก แม่ฮ่องสอน และโรงพยาบาลเอกชนที่มีการขึ้นทะเบียนบริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวลงทะเบียนในระบบแล้วมากกว่า 2 แสนคน การประมวลผลของระบบ มีความถูกต้องและแม่นยำสูงถึง 99.75%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี