ศาลอาญาคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก “เจ๋ง ดอกจิก” อดีตขรก.การเมือง 6 ปีส่วน พี่ศรีสุวรรณ-เลขาฯเจ๋ง-คนสนิทและภรรยาพี่ศรีโดนจำคุกคนละ 4 ปี ในคดีร่วมกันรีดทรัพย์จาก‘อธิบดีกรมการข้าว’พยานหลักฐานมัดแน่นดิ้น ไม่หลุด ก่อนศาลให้ประกันตัวคนละ 6 แสน ห้ามออกนอกประเทศ
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 17 กันยายน 68ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ย่านตลิ่งชัน ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีรัดทรัพย์ ที่พนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต 3เป็นโจทก์ฟ้องนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ หนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 อดีตข้าราชการการเมือง ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นักร้องเรียนชื่อดัง น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ เลขาฯ นายยศวริศ นายเอกลักษณ์ วารีชล คนสนิท นายศรีสุวรรณและนางณพัชญ์ปภา จรรยา ภรรยานายศรีสุวรรณ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน “เรียกรับทรัพย์สินจาก นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าวจำนวน 3 ล้านบาทก่อนต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกร้องเรียน พวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
โดยวันนี้นายศรีสุวรรณ นายยศวริศ กับพวก ซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล
โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้มีอำนาจต้องการเตะตัดขา เพราะไม่ต้องการให้ตนทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง เพราะสิ่งที่ทำมานับ 10 ปี เป็นที่หวาดผวาของนักการเมืองและข้าราชการจำนวนมาก เรื่องร้องเรียนนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองหลายพรรค จบอนาคตการเมืองของนักการเมืองดังหลายคน จึงเป็นที่มาของการหาเหตุให้ต้องคดี โดยใช้เทคนิควิธีการ ซึ่งในภาษากฎหมายเรียกว่าล่อให้กระทำความผิด ทั้งการเอาถุงเงินไปแขวนหน้าบ้าน หากพฤติกรรมแบบนี้ถือเป็นความผิด อนาคตอาจนำไปใช้กันทั่วประเทศและก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อประชาชน
นายศรีสุวรรณกล่าวว่าตนให้การปฏิเสธมาโดยตลอด เพราะต้องการพิสูจน์ให้ปรากฏชัดเจน ที่ผ่านมาตนได้รับความเสียหายอย่างมากประเด็นสำคัญคือ ไม่สามารถใช้สิทธิ์ในฐานะประชาชนมาตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงได้มากนัก ทำให้นักการเมืองดีอกดีใจ กระพือปีก กระดี๊กระด๊า ทำอะไรโดยอำเภอใจ แล้วย่ามใจ วันนี้มีความมั่นใจเชื่อมั่นในคำพิพากษาว่า ศาลจะให้เจ้าตัวกลับไปทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม
เมื่อถึงเวลาศาลอ่านคำพิพากษาว่า พิเคราะห์จากพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหมดกระทำความผิดจริง ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมีพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิด ทำคลิปเสียง,คลิปภาพ,ข้อความแชทในแอปพลิเคชัน LINE และหมายเลขธนบัตรที่นำไปมอบให้นายศรีสุวรรณที่บ้านนั้น เป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ภรรยาของนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เบิกจากธนาคารมาเพื่อเป็นหลักฐานในการส่งมอบเงินในวันเกิดเหตุ
จำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุเป็นคณะทำงานตรวจราชการที่ 11 และได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ว่าไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงฟังไม่ขึ้น
โดยคดีนี้โจทก์อ้างคลิปบันทึกภาพและเสียง 40 คลิป จากภรรยาของผู้เสียหาย ซึ่งศาลได้ส่งตรวจพิสูจน์แล้วไม่มีการตัดต่อ และจำเลยที่ 1-3 ไม่ได้ปฏิเสธว่าคลิปและภาพดังกล่าวเป็นความจริง และคลิปและภาพดังกล่าวแสดงเหตุการณ์เป็นลำดับขั้นตอน สอดคล้องกับที่ผู้เสียหายและภรรยาเบิกความ จึงมีน้ำหนักรับฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาว่ากรมการข้าวมีการทุจริตและจะทำการตรวจสอบ ก่อนจะโทรกลับหาผู้เสียหายพูดจูงใจให้ยอมจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง โดยจำเลยที่ 2 ให้เหตุผลว่าจะพิสูจน์ว่าผู้เสียหายไม่มีความผิด และในวันดังกล่าวจำเลยที่ 3 ได้โทรหาภรรยาผู้เสียหายเพื่อเรียกเงิน แต่ได้ต่อรองจนเหลือราคา 1.5 ล้านบาท จากเดิม 3 ล้านบาท และขอให้จ่ายก่อนปีใหม่
อย่างไรก็ตามมีหลักฐานจากบทสนทนาในแอปพลิเคชัน LINE ถึงการนัดหมายและเรียกรับเงินหลายครั้ง โดยเป็นการสนทนาระหว่างจำเลยที่ 3 ที่เป็นเลขาของจำเลยที่ 1 และยังมีการเชื่อมโยงกับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ทั้งบทสนทนาและหลักฐานการโอนเงิน นอกจากนี้ในวันที่ 26 ม.ค. 2567 ภรรยาผู้เสียหายได้นำเงินจำนวน 5 แสนบาทใส่ถุงพลาสติก มาแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านของจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 5 ได้นำถุงกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีการหยิบใส่ถุงพลาสติกสีดำอันมีลักษณะปกปิดและมีพฤติกรรมน่าสงสัย เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 ทราบว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร พฤติการณ์ของจำเลยทั้ง 5 เป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นฯ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหน้าที่ฯ และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 6 ปี และให้บวกโทษของจำเลยที่ 1 ในศาลอื่นอีก 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 6 ปี 4 เดือน
จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 เป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี ริบเงิน 160,000 บาท ที่จำเลยทั้งห้าได้มาจากการกระทำความผิดตามฟ้องโดยให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน
ภายหลังจำเลยทั้ง 5 ยื่นคำร้อง พร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัว ศาลอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งห้าระหว่างอุทธรณ์คดี ตีหลักทรัพย์คนละ 600,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ด้าน นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก เปิดเผยว่า ตัวเองเคารพคำตัดสินของศาล ซึ่งประเด็นที่จะเป็นแนวทางการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ คือ ประเด็นที่ศาลจะมองว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ลงโทษลงโทษจำคุก 6 ปี แต่ตัวเองมองว่า ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะการแต่งตั้งของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นการแต่งตั้งเฉพาะตัว ซึ่งศาลยังไม่ได้ดูในรายละเอียด เพราะการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีองค์ประกอบ หลายอย่าง การต่อสู้ในประเด็นการเชื่อมโยงจำเลยทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์
ซึ่งคำพิพากษาในวันนี้ ศาลได้นำโทษคดีคาร์ม็อบ 2 คดี ในพื้นที่เมืองพัทยาและกรุงเทพมหานครเมื่อปี 64 มารวมกับการพิจารณาในครั้งนี้ด้วย ทำให้มียอดรวมจำคุก 6 ปี 4 เดือน
ต่อมานายศรีสุวรรณให้สัมภาษณ์ภายหลังจากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวว่าจากนี้จะต่อสู้ไปตามกระบวนการตามกฎหมายชั้นอุทธรณ์ โดยยอมรับว่าไม่หนักใจ เนื่องจากว่าพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมมาและที่ปรากฎอยู่ตามหน้าสื่อ เป็นพยานของฝ่ายตำรวจทั้งหมด ส่วนข้อเท็จจริงในส่วนตนและจำเลยทั้งหมด ศาลไม่ได้นำมาเข้าสู่กระบวนการ ตามที่คาดหวังไว้ จึงเป็นช่องที่ตนและจำเลยทั้งหมดต้องไปสู้กันต่อในชั้นศาลอุทธรณ์ เพื่อให้พิจารณาข้อเท็จจริงอีกครั้ง แน่นอนตนยังมีความหวังในชั้นศาลอุทธรณ์อย่างแน่นอน และตนยังเชื่อมั่นว่าข้อเท็จจริงที่ตนและทีมทนายได้ดำเนินการยื่นให้ศาลพิจารณา ที่ยังไม่ปรากฎต่อสาธารณะในการยื่นอุทธรณ์ต่อไป
ด้านทนายความของนายยศวริศ ระบุว่า ส่วนตัวตั้งข้อสังเกตว่าศาลพิจารณาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของฝั่งผู้เสียหายและตำรวจ โดยไม่ได้นำพยานหลักฐานของฝั่งจำเลยมาใช้ประกอบซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานที่ต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี