'ศาลนครพนม'ไม่จบแค่คำพิพากษา ร่วม10หน่วยงานMOU เปิดคลินิกด้านจิตสังคม

'ศาลนครพนม'ไม่จบแค่คำพิพากษา ร่วม10หน่วยงานMOU เปิดคลินิกด้านจิตสังคม

วันอังคาร ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2568, 17.01 น.

ศาลจังหวัดนครพนม ไม่จบแค่คำพิพากษา ร่วม 10 หน่วยงาน MOU เปิดคลินิกด้านจิตสังคม ลดการหวนกระทำผิดยาเสพติดซ้ำ 

23 กันยายน 2568 เวลา 10.30 น. นายสฤษดิ์ พิพัฒน์วิไลกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม และ นายธนัสถ์ สุวัฒนมหาตม์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครพนม ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือการส่งต่อผู้ต้องหา หรือ จำเลยเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้สารเสพติด และ การช่วยเหลือด้านสวัสดิการแก่ผู้ต้องหา หรือ จำเลยที่เปราะบาง ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารศาลเยาวชนและครอบครัวฯ โดยบูรณการร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม จำนวน 10 แห่ง เพื่อลดปัญหาการกระทำความผิดซ้ำ และเสริมสร้างโอกาส ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ยาเสพติด หรือผู้รับคำปรึกษาด้านจิตสังคม


โดยนายธนัสถ์ สุวัฒนมหาตม์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่าปัจจุบันในศาลได้มีคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคม เนื่องจากมีจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเกิดขึ้นเยอะมาก ทุกรัฐบาลพยายามแก้ไข ทำอย่างไรปัญหายาเสพติดลดน้อยลง แต่ยิ่งปราบทำไมยังเยอะอยู่ สำนักงานศาลยุติธรรมจึงมีการทบทวน ร่วมกับหน่วยงานที่เป็นเครือข่าย ว่า การที่คนเราติดยาเสพติด ต่อไปนี้จะไม่เน้นการลงโทษเป็นหลัก แต่ต้องไปดูองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สังคม จิตใจ รวมถึงพฤติกรรม วิเคราะห์ทำไมคนผู้นี้ถึงต้องมาใช้ยาเสพติด

ซึ่งจากการศึกษาร่วมกันก็ได้ผลสรุปข้อหนึ่งว่า จำเลยหลายคนที่ใช้ยาเสพติด อาจใช้เพราะสภาพการณ์บีบบังคับ ถ้าไม่ใช้อาจไม่มีแรงทำงาน หรือบางคนเข้าใจไปถึงว่าการใช้ยาเสพติด สามารถรักษาโรคบางโรคได้อย่างนี้เป็นต้น ทั้งหมดมันเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง และยังทำให้คนหวนกลับมากระทำความผิดกันบ่อยๆ

ปัจจุบันมีประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ ได้มีการมองคนกลุ่มนี้ใหม่ ว่า ผู้เสพคือผู้ป่วย เราไม่มองว่าเขาคือคนกระทำความผิด เมื่อเขาป่วยแล้วจะทำอย่างไร พูดตามภาษาชาวบ้านคือต้องพาไปรักษา ซึ่งการไปรักษาของศาลนี่แหละก็คือคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคม คลินิกนี้มีขึ้นเพื่อนำคนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการ เราต้องเข้าไปพูดคุย สร้างแรงจูงใจให้เขาเลิกยาเสพติด

 การที่จะให้เขาเลิกยาเสพติดนั้นได้ ศาลไม่อาจทำงานโดยเพียงลำพัง จะต้องมีการประสานกับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีทั้งหมด 10 หน่วยงาน ร่วมทำบันทึกข้อตกลง MOU ดังนั้นเวลามีเคสเข้ามา ศาลเห็นว่าบุคคลนี้ควรได้รับการบำบัด เราก็จะส่งต่อไปที่สาธารณสุข หรือบุคคลนี้เขาไม่มีงานทำ เลยต้องไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ก็จะส่งไปฝึกอาชีพ หรือจัดหาการศึกษาให้เขา รวมทั้งบางคนเป็นคนไร้บ้าน ก็มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแล เพื่อให้คนเหล่านี้ได้กลับคืนสู่สังคม เพื่อให้สังคมไทยเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน จ.นครพนม เป็นสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืน

ด้าน นายสฤษดิ์ พิพัฒน์วิไลกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม กล่าวว่าเนื่องจากสำนักงานศาลยุติธรรม เห็นว่าการที่ผู้ต้องหาหรือจำเลย กระทำความผิดแล้วถูกลงโทษตามคำพิพากษาแล้ว หลังจากนั้นยังไม่สามารถที่จะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข นอกจากนั้นชาวบ้านรอบๆเกิดความคลางแคลงใจว่า เขาหายจากติดยาเสพติดหรือยัง หรือมีต้นเหตุอย่างไร สุดท้ายแล้วสำนักงานศาลยุติธรรม จึงได้คิดคลินิกจิตสังคมขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ได้มุ่งแต่ลงโทษอย่างเดียว เราไม่ต้องการลงโทษจำเลยให้จบไปตามคำพิพากษาเท่านั้น แต่เราเข้าไปแก้ถึงต้นเหตุ ไม่ว่าเรื่องการไม่มีงานทำ ไม่มีการศึกษา หรือการขาดเงิน เราจะให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้

การลงนาม MOU ครั้งนี้ จะทำให้สำนักงานศาลฯ สามารถมีแขนขายื่นออกไป เพื่อแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ดังนั้นผู้กระทำความผิด หลังจากรับโทษแล้ว จะสามารถกลับเข้าไปอยู่ในสังคมได้อย่างที่ทุกคนสบายใจ และเขาจะมีอนาคตต่อไปที่ดี ไม่กลับมากระทำความผิดอีก

ทั้งนี้ MOU ฉบับดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ศาลจังหวัดนครพนม 2.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ 3.สาธารณสุขจังหวัดฯ 4.สำนักงานศึกษาธิการฯ 5.แรงงานจังหวัดนครพนม 6.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นครพนม 7.สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดฯ 8.สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 41 นครพนม 9.องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม 10.หอการค้าจังหวัดนครพนม 11.สภาอุสาหกรรมจังหวัดนครพนม และ 12.สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนครพนม

ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ประมวลกฎหมายยาเสพติด และ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2564 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางการดำเนินการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการดูแลผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ด้วยกลไกสาธารณสุขแทนการดำเนินคดีทางอาญา แก้ไขตามสสภาพปัญหาที่แท้จริงของการเสพติด โดยถือว่า “ผู้เสพ ผู้ติด คือ ผู้ป่วย” เน้นการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพ พฤติกรรมและสังคม ควบคู่ไปกับการบำบัดรักษา เพื่อลด ละ เลิกยาเสพติด และลดอันตรายจากยาเสพติด รวมถึงการสงเคราะห์และติดตามดูแลช่วยเหลือ ตั้งแต่เข้าสู่การบวนการบำบัดรักษา ผ่านการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง.

012

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top