16จังหวัดจมบาดาล  ดับสังเวยแล้ว12ศพ  ‘ชัยนาท’คันดินแตก  ไหลบ่าท่วม100หลัง

16จังหวัดจมบาดาล ดับสังเวยแล้ว12ศพ ‘ชัยนาท’คันดินแตก ไหลบ่าท่วม100หลัง

วันจันทร์ ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ปภ.เร่งระบายน้ำช่วยลุ่มเจ้าพระยา รับมือฝนจากอิทธิพลพายุ “แมตโม” เผย 16 จังหวัดยังท่วม กระทบแสนกว่าครัวเรือน นายกฯ จ่อถกคอภ.หนแรก ช่วยผู้ประสบภัยทันท่วงที ส่วน จ.ชัยนาท คันดินแตก น้ำทะลักท่วมบ้านกว่า 100 หลัง ขณะที่ จ.อ่างทอง น้ำท่วมวัดต้นสน นักท่องเที่ยวกินก๋วยเตี๋ยวแช่น้ำ

เมื่อวันที่ 5ตุลาคม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน ทำให้ระบบการระบายน้ำลงสู่ทะเลทำได้ยาก ประกอบกับแม่น้ำเจ้าพระยายังมีลักษณะที่เป็นคอขวดทำให้การไหลระบายน้ำช้า การแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอยู่ในขณะนี้ จำเป็นต้องเร่งระดมสรรพกำลังช่วยเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขังให้ได้เร็วที่สุด


นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากพายุ ตรึงกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัยประจำอยู่ในพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้า เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน ส่วนศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตที่ไม่มีสถานการณ์ภัย ให้เตรียมพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยให้พร้อมสนับสนุนพื้นที่ซึ่งมีสถานการณ์ ตลอด 24ชั่วโมง

ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 16 จังหวัด ได้แก่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม ชัยภูมิ และฉะเชิงเทรา มีบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 102,051 ครัวเรือน 345,712 คน และมีผู้เสียชีวิต 12 ราย ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศ ข่าวสารการแจ้งเตือนภัยจากหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในระยะนี้ หากมีประกาศหรือคำเตือนขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากพบเห็นหรือได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทาง Line Official Account “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือต่อไป

ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเรื่อง พายุ “แมตโม” ฉบับที่8 ว่าพายุไต้ฝุ่นแมตโม บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของประเทศจีนจากนั้นจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตามลำดับ เนื่องจากมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุมช่วงวันที่ 6-7 ตุลาคม 2568 โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย จากอิทธิพลของพายุ “แมตโม” ส่งผลให้ช่วงวันที่ 6-7 ตุลาคม 2568 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณ จ.เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู และนครพนม ส่วนวันที่ 7 ตุลาคม บริเวณ จ.เชียงราย พะเยา น่าน และแพร่ รวมทั้งด้านรับมรสุมของภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่ฝนฟ้าคะนอง ขอให้ติดตามประกาศจากกรมอุตุฯอย่างใกล้ชิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 6 ตุลาคมนี้ เวลา 14.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย จะเป็นประธานการประชุมนัดแรกคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ภายหลังมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 311/2568 แต่งตั้งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 เพื่อกำกับ ติดตาม และบูรณาการการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเป็นระบบ สำหรับการตั้ง คอภ.และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.) เริ่มจากการที่นายอนุทินลงพื้นที่ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ 27 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อตรวจสถานการณ์น้ำท่วมแล้วพบว่าประชาชนประสบปัญหาซ้ำซากทุกปี การช่วยเหลือที่ผ่านมายังไม่ครอบคลุมหรือทันต่อความเดือดร้อน จึงสั่งให้จัดตั้งกลไกกลางที่ทำงานแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อให้การเยียวยามีความรวดเร็ว เป็นเอกภาพ และตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ คอภ.มีนายกญเป็นประธาน ทำหน้าที่อำนวยการและบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ ตั้งแต่การเตรียมพร้อม ติดตามเฝ้าระวัง การป้องกัน การช่วยเหลือในระหว่างเกิดเหตุ จนถึงการฟื้นฟูหลังจากสิ้นสุดเหตุการณ์ อีกทั้งมีอำนาจสั่งการหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่เกี่ยวข้องให้บูรณาการทำงานร่วมกัน รวมถึงสามารถแต่งตั้งคณะทำงานหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาสนับสนุนได้ตามความจำเป็น

สำหรับ ศชภ.ซึ่งมีนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ จะทำหน้าที่บัญชาการกลางและประสานงานทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน และท้องถิ่น เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยครบถ้วน ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายประชาชน การดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน การจัดหาอาหาร น้ำดื่ม เครื่องใช้จำเป็น ตลอดจนการวางระบบที่พักอาศัยชั่วคราวที่เพียงพอและทั่วถึง โดยนายอนุทิน ได้มอบหมายให้ ศชภ.จัดทำมาตรการถาวรช่วยเหลือประชาชนที่เสียสละพื้นที่ทำกินหรือที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นพื้นที่รับน้ำในฤดูน้ำหลากทุกปี โดยกำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ลดปัญหาการต้องยื่นเรื่องขอเป็นรายกรณีเหมือนที่ผ่านมา ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน

ส่วนสถานการณ์น้ำพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยที่สถานีวัดน้ำC.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ วัดปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่ 2,753 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที ส่วนที่สถานีC.13 เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท มีระดับน้ำด้านเหนือเขื่อนอยู่ที่ 16.21 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง (มรทก.) และด้านท้ายเขื่อนอยู่ที่ 15.94 มรทก.ซึ่งยังคงทรงตัว ห่างจากตลิ่งประมาณ 40เซนติเมตร โดยเขื่อนเจ้าพระยายังคงรักษาอัตราการระบายน้ำไว้ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที ติดต่อกันเป็นวันที่3

ขณะที่สถานีC.3 บ้านบางพุทรา อ.เมือง จ.สิงห์บุรี พบว่าปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่ 2,608 ลบ.ม./วินาที ซึ่งเป็นผลจากการระบายน้ำจากเขื่อนตอนบน อย่างไรก็ตาม จากการปรับเพิ่มการระบายน้ำช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมาแนวคันดินกันน้ำบริเวณหน้าวัดสมอ ต.โพนางดำออก อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เกิดพังทลายหลายจุด ส่งผลให้มวลน้ำทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนกว่า 100 หลังคาเรือน ชาวบ้านต้องเร่งอพยพและขนย้ายทรัพย์สินขึ้นไปพักอาศัย ริมถนนสายคันคลองมหาราช เพื่อความปลอดภัย

ในพื้นที่บ้านเรือนรอบวัดสมอ ระดับน้ำท่วมสูงตั้งแต่ 10–120 เซนติเมตร แล้วแต่ระดับพื้นที่ บ้านชั้นเดียวส่วนใหญ่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ขณะที่บ้านยกพื้นสูงยังสามารถขึ้นไปอยู่ชั้นบนได้เป็นการชั่วคราว

ทั้งนี้ ชาวบ้านเริ่มใช้เรือเป็นพาหนะในการสัญจรในจุดที่น้ำท่วมสูงบริเวณถนนคันคลองมหาราช ชาวบ้านได้ตั้งเพิงพักชั่วคราว ใช้เต็นท์และวัสดุที่เช่าเพิ่มเติมจากภาคเอกชน ขนย้ายสิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีวิตขึ้นไปอยู่ริมถนนยาวกว่า 5 กิโลเมตร มีครัวเรือนอพยพมากกว่า 100 หลังคาเรือน รวมกว่า 400 คน

นางธมนวรรณ ดีทรัพย์ หนึ่งในผู้ประสบภัย เปิดเผยว่า เกิดมาจนอายุ 53ปี ก็ชินกับน้ำท่วม แต่ไม่อยากให้ท่วมบ่อยแบบนี้ โดยปีนี้ก็ต้องรีบขนของมาอาศัยอยู่ริมถนน จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งให้ชัดเจนว่าจะปล่อยน้ำเท่าไร ท่วมหรือไม่ท่วม ไม่ใช่เพิ่มการระบายโดยไม่แจ้ง แล้วปล่อยตอนกลางคืน น้ำขึ้นเร็วทำให้ตั้งตัวไม่ทัน พอคันดินแตก น้ำมาแรงเหมือนน้ำป่า ประชาชนรับมือไม่ไหว

ขณะเดียวกัน ที่บริเวณหน้าลานหน้าโบสถ์พระศรีเมืองทอง วัดต้นสน อ.เมือง จ.อ่างทอง เกิดน้ำท่วมขังสูงประมาณ 30-40 เชนติเมตร หลังจากน้ำเจ้าพระยาไหลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ไหลซึมทะลักเข้าบริเวณวัดต้นสนและกำแพงริมเขื่อนหลายจุดประกอบกับเครื่องสูงน้ำเกิดปัญหาทำให้น้ำเอ่อล้นภายในวัดอย่างรวดเร็ว แม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งขายบริการให้กับนักท่องเที่ยว ต้องแช่อยู่ภายในน้ำ นักท่องเที่ยวที่เดินทางไหว้พระขอพร ต้องนั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวอยู่บนโต๊ะ แบบที่เท้าแช่อยู่ในน้ำ

ด้านเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองอ่างทองได้เร่งทำการเจาะพื้นและเตรียมวางท่อสูบน้ำ โดยติดตั้งท่อหน้าแปดสูบน้ำระบายออก ส่วนทางวัดได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารเร่งติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อสูบน้ำออกจากบริเวณวัด ขณะที่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน จ.อ่างทองเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไหลซึมไหลเข้าบริเวณริมเขื่อน

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top