นายกฯเร่งเยียวยาช่วยเหลือน้ำท่วม
จ่ายหลังละ9พัน
สั่งขึ้นทะเบียนผู้ได้รับผลกระทบ
‘สทนช.’เผยน้ำต่ำกว่าปี’54
เฝ้าระวังพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ
อุตุเตือน35จังหวัดฝนถล่ม
นายกฯประชุมคอภ.นัดแรก เร่งช่วยเหลือเยียวยาน้ำท่วมครัวเรือนละ 9 พันบาท สทนช.เล็งเพิ่มระบายน้ำ 2 เขื่อนหลัก ขณะที่กรมอุตุฯเตือน 35 จังหวัด รับมือฝนหนัก ส่วน จ.อ่างทองน้ำท่วมยังอ่วม ชาวกรุงเก่าจมบาดาลนับเดือน ด้าน จ.บุรีรัมย์ น้ำท่วมนาข้าวแล้ว 8.4 พันไร่ ชาวบ้านหวั่นมวลน้ำจากโคราช-ขอนแก่น สมทบอีก
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
โดยนายกฯกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน โดยหลายพื้นที่ประสบอุทกภัย จึงไม่รอช้า ได้ลงพื้นที่และเห็นปัญหาจริง พร้อมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งสำรวจจัดทำข้อมูลเยียวยา ให้ทุกจังหวัดรายงานสถานการณ์วันต่อวัน
“โดยจะเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุกกลุ่ม ทั้งครัวเรือนที่เสียหาย เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และโครงสร้างพื้นฐานที่ชำรุด พร้อมเตรียมแผนฟื้นฟูระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างยั่งยืน การเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ใช้หลักการเดียวกับปีที่แล้ว ทุกคนที่ได้รับผลกระทบเกิน 7 วัน จะได้รับเงินเยียวยาเป็นรายครัวเรือนๆ ละ 9,000 บาท จะดำเนินการทันที โดยสั่งการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) เร่งขึ้นทะเบียนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ”นายกฯ ย้ำ
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำ ภายหลังมีฝนตกต่อเนื่องหลายวัน ว่าได้ประชุมร่วมกับกรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อประเมินสถานการณ์น้ำ โดยฝนตกมากว่าปกติในภาคเหนือ น้ำไหลเข้าเขื่อนสิริกิติ์ มากกว่าเดิม ที่ประชุมเห็นว่าควรต้องปรับการระบายน้ำของ 2 เขื่อนหลัก คือเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ปล่อยน้ำรวมกันไม่เกิน 30 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แต่เนื่องจากน้ำมากจึงต้องปรับเพิ่มการระบายตามสถานการณ์ โดยอาจต้องระบายน้ำเป็น 40-50 ล้าน ลบ.ม.รวมทั้งมีการบริหารน้ำที่ผ่านลงมาสู่เขื่อนเจ้าพระยา ไม่เกิน 2,500-2,700 ล้าน ลบ.ม.ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 17 เมตร
นายดนุชา กล่าวต่อว่าทางกรมชลประทาน ได้หารือว่าจะมีการปรับยอดน้ำและหลังจาก 2-3 วันข้างหน้า จะมาพูดคุยกันอีกครั้ง ที่สำคัญคือเรื่องการพยากรณ์น้ำฝน ที่ยังมีความไม่แน่นอน เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับตัวเลขปริมาณน้ำปีนี้เมื่อเทียบกับปี 2554 ถือว่าต่ำกว่า และปริมาณช่องว่างของเขื่อนที่เก็บน้ำได้ก็มากกว่าปี 2554 เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล
ขณะที่ น.ส.สุกันยานี ยะวิญชาญ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศ ฉบับที่ 12 (288/2568) เรื่อง พายุ ‘แมตโม’ ระบุว่า พายุโซนร้อนกำลังแรงแมตโม ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนแล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณมณฑลกว่างซี ประเทศจีน มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยคาดว่าจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตามลำดับ เนื่องจากมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุมช่วงวันที่ 6-7 ตุลาคม 2568 โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย
จากอิทธิพลของพายุแมตโม ส่งผลให้ช่วงวันที่ 7 ตุลาคม 2568 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งด้านรับมรสุมของภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง
สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ตาก พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณ จ.หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณ จ.กาญจนบุรี นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี และราชบุรี ส่วน กทม.และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณ จ.นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ทะเลมีคลื่นสูง 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณ จ.สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณ จ.ระนอง พังงา ตรัง และสตูล ตั้งแต่ จ.พังงา ขึ้นมา ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ตั้งแต่ จ.ภูเก็ต ลงไป ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร
ที่ จ.อ่างทอง สถานการณ์น้ำท่วมบริเวณโรงเรียนวัดตาลเจ็ดช่อ ต.ตลาดกรวด อ.เมือง จ.อ่างทอง พบว่ามีมวลน้ำเจ้าพระยา ไหลลอดใต้เขื่อน เอ่อล้นเข้าในพื้นที่โรงเรียนดังกล่าว นักเรียนต้องเดินลุยน้ำท่วมสูง 20–30 เซนติเมตร เข้าโรงเรียน ส่วนครูต้องใช้ไดโว่สูบน้ำออกจากห้องเรียน พร้อมย้ายนักเรียนที่เรียนอยู่ชั้นล่างขึ้นไปชั้น 2 ของโรงเรียน
ส่วนที่เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท มีน้ำเหนือ ที่ไหลเข้าเขื่อนฯ ที่จุดวัดน้ำ C2 หน้าค่ายจิรประวัติ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ปริมาณน้ำเหนือ เริ่มมีแนวโน้มลดลง วัดได้ 2,748 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที ระดับน้ำเหนือเริ่มมีแนวโน้มลดลง วัดได้ 16.12 ม.รทก. แต่อิทธิพลของพายุแมตโม เสริมให้ร่องมรสุมที่พาดผ่านตอนบนของประเทศทวีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้เขื่อนเจ้าพระยา ต้องคงการระบายน้ำไว้ที่อัตรา 2,500 ลบ.ม./วินาที เป็นวันที่ 4 จึงแจ้งเตือนให้พื้นที่ท้ายเขื่อนใน จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง และ จ.พระนครศรีอยุธยา เตรียมรับมือระดับน้ำที่คาดว่าจะยกตัวขึ้น 5–10 เซนติเมตร
ด้านศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ จ.ชัยนาท รายงานสถานการณ์อุทกภัย พื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา รวม 5 ตำบล 19 หมู่บ้าน มีผู้ประสบภัย 384 ครัวเรือน รวม 959 คน โดยที่ ต.โพนางดำออก แนวคันดินป้องกันน้ำท่วมที่ทางเทศบาล ต.โพนางดำออก ได้เกิดแตก บริเวณหน้าวัดสมอ ต.โพนางดำออก อ.สรรพยา มีน้ำไหลบ่าเข้าท่วมชุมชนอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำสูงตั้งแต่ 10-130 เซนติเมตร ชาวบ้านต้องรีบอพยพ ไปนอนที่ริมคันคลองมหาราชแล้วกว่า 400 คน รวมกว่า 100 ครัวเรือน
ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา สถานการณ์น้ำท่วมยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย และคลองสาขาหลายแห่ง มีระดับน้ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10 -15 เซนติเมตร และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูง ทางกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.พระนครศรีอยุธยา รายงานผลกระทบน้ำท่วม ว่ามีพื้นที่ถูกน้ำท่วมแล้ว 11 อำเภอ 141 ตำบล 826 หมู่บ้าน กว่า 43,882 ครัวเรือน โดยเฉพาะใน อ.บางบาล ถูกน้ำท่วม 16 ตำบล 101 หมู่บ้าน 6,197 ครัวเรือน ถนนทางเข้าชุมชนถูกน้ำท่วม ซึ่งหลายพื้นที่ถูกน้ำท่วมมาแล้ว 1-2 เดือน
วันเดียวกัน นายเสกสรร จันวงษา นายอำเภอพุทไธสง จ.บุรีรัมย์ กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วม ภายหลังมอบหมายให้ฝ่ายปกครอง และผู้นำชุมชน ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากมวลน้ำที่ไหลบ่าจาก จ.นครราชสีมา และขอนแก่น ว่า อ.พุทไธสง เป็นพื้นที่รับน้ำจากทั้ง 3 สาย คือลำน้ำมูล ลำสะแทด และลำพังชู ทำให้ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก มีน้ำไหลบ่าท่วมนาข้าวที่กำลังตั้งท้องออกรวง 4 จาก 7 ตำบล นาข้าวถูกน้ำท่วมแล้วกว่า 8,400 ไร่ เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน 793 ครัวเรือน
นอกจากนี้บางพื้นที่พบว่ามวลน้ำได้เอ่อเข้าท่วมถนนทางเข้าหมู่บ้าน ทำให้ประชาชนสัญจรเข้า-ออกอย่างยากลำบาก และคาดการณ์ว่าหากมีมวลน้ำจาก จ.นครราชสีมา และขอนแก่น ไหลบ่ามาสมทบอีกไม่กี่วันน้ำคงจะเอ่อเข้าท่วมพื้นที่บ้านเรือนและที่พักอาศัยเพิ่มอีก อย่างไรก็ตาม ได้รายงานสถานการณ์อุทกภัยไปยังจังหวัดแล้ว เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะหมู่บ้านที่สุ่มเสี่ยงจะถูกน้ำท่วมเพราะอยู่ติดริมน้ำ ได้แก่ บ้านดอนตูม บ้านส้มกบ และบ้านเพียแก้ว ต.มะเฟือง
ทั้งนี้ นายอำเภอพุทไธสง ได้กำชับให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยให้เร่งเก็บทรัพย์สินขึ้นสู่ที่สูง เตรียมแผนรับมือ ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ และประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เตรียมพร้อมทั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ และบุคลากร เพื่อพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทันที
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี