‘พิธา’เย้ย‘ภูมิใจดูดก็เคยแพ้ผม’
เตือน‘อนุทิน’!
‘อย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง’
ป้องปชน.ไม่ใช่พรรคฝ่ายค้ำ
เร่งกู้ภาพลักษณ์ด้วยผลงาน
‘ชวน’หนุน‘มาร์ค’หน.ปชป.
นายกฯเตรียมขนรมต.ถกครม.ปกติ- ครม.เศรษฐกิจนัดแรกที่สภา 14-15 ตุลาคม คาดหวั่นถูกเช็คองค์ประชุม วาระพิจารณารัฐธรรมนูญร่วม 2 สภา ด้าน“พิธา”เย้ย"ภูมิใจดูด"ก็เคยแพ้ผม เตือน"อนุทิน"อย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง แนะพูดแล้วทำให้ได้แบบสโลแกนพรรค ป้อง"ปชน."ไม่ใช่ฝ่ายค้ำ เร่งกู้ภาพลักษณ์ด้วยผลงาน "โรม"ฉะอีกฝ่ายอาจไม่เอาอะไรแล้ว ทำมาโบ้ย"ปชน."เป็นฝ่ายค้ำ พ้อพรรคผิดอะไร ต้องการผ่าน กม.ที่เป็นประโยชน์ ย้อนสื่อถ้าจะถาม"พรรคส้ม"ซัพพอร์ตฝ่ายรัฐบาล ต้องถามกลับว่าซัพพอร์ตแบบไหน ติงต้องมองข้อเท็จจริง ถ้าไม่โหวต’อนุทิน’จะได้นายกฯคนนอก
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 14 ต.ค.นี้ รวมไปถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจนัดแรก ในวันที่ 15 ต.ค.นี้ จะมีการย้ายการประชุมไปที่อาคารรัฐสภา เนื่องจากในวันดังกล่าวจะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 วันที่ 14-15 ตุลาคม ของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลน่าจะเป็นห่วงในเรื่องขององค์ประชุมจึงทำให้ต้องจัดการประชุมทั้งครม.ปกติ และครม.เศรษฐกิจที่อาคาร ฝรัฐสภา เนื่องจากรัฐมนตรีบางส่วน รวมไปถึงนายกรัฐมนตรีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย
‘โรม’ฉะอีกฝ่ายอาจจะไม่เอาอะไรแล้ว
ที่อาคารอนาคตใหม่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน(ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล ที่ซัพพอร์ต หรือ สนับสนุนกันและอาจเกี่ยวโยงถึงคดี 44 อดีต สส.พรรคก้าวไกล ที่เสนอร่างกฎหมายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดย นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เวลาเราพูดว่าซัพพอร์ตหรือสนับสนุน ต้องถามว่าคืออะไร สำหรับพรรคประชาชนเราทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านและกฎหมายหลายฉบับในปัจจุบัน พรรคประชาชนเสนอร่างของตัวเองหรือไม่ก็มีส่วนในการเสนอร่างที่อาจเป็นในร่างของหลายร่างที่ได้รับการพิจารณา จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่เป็นองค์ประชุมในสภา เพราะมันคือกฎหมายของเรา มันคือกฎหมายที่เราร่วมพิจารณา และหลายครั้งถ้าไปดูตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เราก็ยอมเป็นองค์ประชุม แม้กระทั่งพูดกับทางรัฐบาลที่แล้ว ว่าเดี๋ยวช่วยเติมเสียงให้ เพราะบางครั้งกฎหมายเหล่านั้นเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ เป็นสิ่งที่เราทำมาโดยตลอด ดังนั้น เวลาที่มาอยู่ในเฟสนี้แล้ว งานสภาต้องเดิน มีกฎหมายหลายฉบับที่เป็นประโยชน์ เช่น ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด ดังนั้นคิดว่า เป็นเรื่องที่เราต้องทำอยู่แล้ว และเนื่องจากเราเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างมาก มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย ถึงแม้ว่ารัฐบาลที่ขึ้นมาจะเป็นคนรัฐบาลกับรัฐบาลที่แล้ว แต่เราก็เรียกร้องในฐานะที่เป็นฝ่ายค้านว่าคุณในฐานะรัฐบาล คุณต้องเป็นองค์ประชุมด้วย ไม่ใช่บอกว่าเป็นกฎหมายที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านได้ประโยชน์มากกว่า แล้วคุณจะอยู่เฉย เราก็ไม่ยอมเราจึงพยายามใช้กลไกวิปประสานงาน
หนุนพรบ.อากาศสะอาดผิดตรงไหน
“คำถามคือพรรคผิดอะไรในการสนับสนุนกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อปอดของคนกรุงเทพ เราผิดอะไรในเรื่องของการที่อยากจะเห็น พรบ.อากาศสะอาดได้รับการบังคับใช้แล้วนำไปสู่การแก้ปัญหาต่างๆให้กับพี่น้องประชาชน ผมคิดว่าเราต้องมองเรื่องข้อเท็จจริงตรงนี้ และอันที่สองคือสิ่งที่เราเคยโหวตให้พรรคภูมิใจไทย หลักๆคือเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าสมมติว่าคุณอนุทินไม่ได้รับเลือก คุณชัยเกษม ไม่ได้รับเลือก มันจะต้องเลือกคนอื่นที่อยู่ในถังที่จะต้องเลือกได้ ซึ่งประกอบไปด้วยใครครับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา , พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ , นายจุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ และนายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค สุดท้ายต้องมีการเลือก ถ้าเลือกไม่ได้อีกก็ต้องไปว่ากันด้วยคนนอก”นายรังสิมันต์ กล่าว
อย่าใช้วาทกรรม’ฝ่ายค้ำ’เล่นงานปชน.
นายรังสิมันต์ ระบุอย่างมีอารมณ์ว่า สุดท้ายเราทำในสิ่งที่เราต้องทำ เราไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น พรรคประชาชนไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่ต้น แต่มันเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจคนเดียวได้หรือ ดังนั้น “ผมคิดว่าเวลาที่จะใช้วาทกรรมฝ่ายค้ำหรืออะไร มันเป็นการใช้วาทกรรมที่ผิดและไม่ถูกต้องกับสถานการณ์ ฝ่ายที่บอกว่าพยายามโจมตีว่าเราเป็นฝ่ายค้ำ ท่านต้องมองตัวเองว่าท่านอาจจะเป็นฝ่ายที่ไม่เอาอะไรแล้ว ไม่รู้ว่าตกลงชีวิตนี้จะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไรต่อไป ในขณะที่พรรคประชาชนเรามีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือเราจะใช้โอกาสเหล่านี้ในการทำงานสภาอย่างดีที่สุด และงานตรวจสอบอย่างดีที่สุด ท่านต้องเข้าใจวันนี้การเมืองมันไม่เหมือนกับการเมืองในอดีต มันเป็นการเมืองรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศนี้ ที่ฝ่ายค้านมีมากขนาดนี้ แล้วเรายืนยันกับพี่น้องประชาชนว่าพรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้าน และเราจะเป็นฝ่ายค้านจริงๆ เพื่อที่จะทำให้การตรวจสอบได้ผล เราจะใช้โอกาสที่เรามีมากขนาดนี้ ในการที่เราจะพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงเรื่องรัฐธรรมนูญที่กำลังจะพิจารณา อย่างที่เห็นว่าเริ่มมีสัญญาณมากขึ้น ตนยืนยันว่าการทำงานของพวกเราเป็นการทำงานที่ตรงไปตรงมา
‘พิธา’ไม่รู้จ้องทำลายล้างกันหรือไม่
ด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงคดี 44ส.ส.พรรคก้าวไกลเสนอร่างแก้ไข ม.112 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เตรียมชี้มูลปลายปีนี้ ว่า การที่นักการเมืองและประชาชนมีจริยธรรมเป็นเรื่องดี แต่การเอาจริยธรรมมาประหัตประหารทางการเมืองตลอดชีวิตไม่ถูกต้อง หากไม่ได้สัดส่วน มีตำรวจจริยธรรมแล้วไม่มีใครไปตรวจสอบตำรวจจริยธรรม ก็อาจจะเป็นอันตรายกับประชาธิปไตย เรื่องนี้ต้องถาม นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งเป็นหัวหน้าในการสู้คดี ส่วนตัวได้ตรวจสอบกับทีมกฎหมายของตนเอง คดีนี้อยู่ในชั้นอนุในป.ป.ช.น่าจะเสร็จสิ้นในชั้นนี้ภายในเดือนพฤศจิกายน มีความเป็นไปได้ที่จะมีการชี้มูลในช่วงการยุบสภา หากยุบสภาเร็วแล้วมีการเลือกตั้งในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ก็มีความเป็นไปได้ที่พรรคประชาชน จะถูกทำลายอีกครั้ง เหมือนพรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่
“ผมไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่หลายคนยังเป็นแกนนำพรรค จึงอยากส่งเสียงถามประชาชนดังๆเพราะอยู่ดีๆก็มีข่าวออกมาเรื่อยๆไม่รู้ว่ามีใครให้ข่าว ไม่รู้ว่าเป็นการทำลายความเชื่อมั่นพรรคประชาชน พรรคที่3ในกระบวนการของพวกเราอย่างมีนัยยะสำคัญ หรือตั้งใจจะทำลายล้างกันจริงๆ โดยใช้จริยธรรมที่ไม่ได้สัดส่วน เพราะคนที่ตรวจสอบจริยธรรมไม่มีใครไปทำลายดาบเขาได้ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก” นายพิธา กล่าว
ปชน.ทำหน้าที่ตรวจสอบรบ.เต็มที่
นายพิธา ยังให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันว่า เป็นการเมืองเฉพาะกิจ มีนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจที่เข้าสู่อำนาจแบบเฉพาะกิจ ต้องหาสัดส่วนบาลานซ์ ระหว่างการแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง กับการทำตามสัญญาให้กับฝ่ายค้าน ซึ่งคิดว่าฝ่ายค้านมีกลไกควบคุมรัฐบาลเสียงข้างน้อย ให้เป็นไปตามข้อตกลง เช่น การอภิปรายนโยบาย ซึ่งเห็นว่าทำได้ดีพอสมควรเมื่อถามว่า พรรคปชน.อาจมีข้อครหาว่าไปหนุนแล้วจะไม่กล้าตรวจสอบรัฐบาล นายพิธา มองว่า พรรคประชาชนไม่ใช่ฝ่ายค้ำ ได้พิสูจน์ผ่านการอภิปรายในการทำเรื่องสำคัญไปแล้ว นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ใช้กลไกสภาตรวจสอบรัฐบาลอยู่เรื่อยๆ แต่ต้องเรียกร้องไปยังรัฐบาลและนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯให้ทำตามคำสัญญาอย่างตรงไปตรงมา เพราะแบรนด์ดิ้งของ พรรคภูมิใจไทยคือ “พูดแล้วทำ” ถ้าพลิกไปมา ก็ห่วงว่าแบรนด์ดิ้งของพรรคจะไม่ได้ใช้อีกในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
เตือน’หนู’อย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง
ส่วนฉากทัศน์การเมือง 4เดือนที่จะยุบสภา นายพิธา ประเมินว่า สิ่งที่น่ากังวลสำหรับนายอนุทิน คือน่าจะเน้นบ้านเมืองมากกว่าการเมือง และอย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง เพราะฉากทัศน์ต่างๆ มาจากหลายเรื่อง ทั้งการต่างประเทศ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ส่วนที่หลายพรรคเริ่มตั้งเป้าตัวเลขเก้าอี้ สส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วนั้น นานพิธา ประเมินว่า การแข่งกันประกาศจำนวน สส.ที่อยากได้ 80, 200 หรือ 250ที่นั่ง เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ และไม่สะท้อนความพร้อมทางการเมืองอย่างแท้จริง หากมองย้อนกลับไปในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล พรรคให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยตั้งเป้าสร้างพรรคในลักษณะพรรคมวลชน ที่มี สส.เขตมากกว่าบัญชีรายชื่อ และมีตัวแทนกระจายครบทุกภูมิภาค ไม่ใช่เพียงพรรคที่มีฐานเสียงเฉพาะในบางภูมิภาคเท่านั้น
นายพิธา กล่าวอีกว่า อยากชวนพรรคประชาชนให้หันมาคิดในเชิงคุณภาพว่า จะเพิ่มศักยภาพและขยายฐานเสียงในแต่ละพื้นที่ได้อย่างไร เช่น พื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีจังหวัดสำคัญอย่างนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลาและ3จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมกัน 42เขต รวมถึงภาคอีสานและภาคเหนือ ที่ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่พรรคก้าวไกลยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าการที่พรรคประชาทำข้อตกลง หรือMOAกับพรรคภูมิใจไทยจะไว้ใจได้ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเองทำตามสโลแกน ของพรรคเพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ หรือจะเสี่ยงในระยะสั้นเพื่อที่จะสูญเสียความเป็นตัวตนของพรรคในระยะยาวและขึ้นอยู่กับพรรคประชาชนว่า ใช้กลไกได้ดีที่สุดหรือไม่
เย้ย’ภูมิใจดูด’เคยแพ้พรรคตัวเองมาแล้ว
“หากตอบแบบส่วนตัว ไม่ว่าจะพรรคภูมิใจดูด แต่ตอนนั้นที่ดูดผมมา แพ้ผมหมดเลย คนที่โดนดูดก็จะต้องรู้ว่ามีแผลทางการเมืองตลอดชีวิต ประชาชนก็จะลงโทษ ส่วนตัวแล้วไม่กังวลเพราะเป็นคนละยุทธภูมิกัน เราไม่ว่าใครการเมืองเก่า การเมืองใหม่อย่างแน่นอน เพราะยุทธภูมิของเราทำงานแบบ ล่างขึ้นบน ขณะที่ส่วนใหญ่ทำแบบบนลงล่าง คนที่ต้องกังวลคือ คนทำงานการเมืองแบบบ้านใหญ่ ใช้กลไกข้าราชการเดินเกมการเมืองมากกว่า คนที่การเมืองแบบล่างขึ้นบน อย่างพรรคประชาชน ปัญหาอยู่ที่ โฟกัสตัวเอง อย่างพรรคประชาชนต้องแก้ปัญหาของตัวเอง หาแคนดิเดตให้ดี หายุทธศาสตร์ให้ดี สื่อสารทางการเมืองให้มากขึ้น ไม่ต้องสนใจโพล หรือสถิติ ขอให้มีสมาธิ เมื่อถามว่า พรรคประชาชนถูกมองว่าเป็นพรรคฝ่ายค้ำ จะกู้ภาพลักษณ์ได้อย่างไร นายพิธา ย้ำว่า ไม่ใช่ฝ่านค้ำอย่างแน่นอนและจะกู้ภาพลักษณ์ได้คือ การทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่จะตัดสินใจอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับพรรคประชาชน”นายพิธา กล่าว
‘ชวน’ชัดเจนชู’อภิสิทธิ์’หัวหน้าปชป.
นางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ อดีต สส.ลพบุรี อดีตนายทะเบียน พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาฯพร้อมข้อความระบุว่า “ชมภาพ (บางส่วน)ล่องใต้ไปกับ นายชวน หลีกภัยแวันที่ 10ตุลาคม2568นายชวน เดินทางโดยรถยนต์กลับภูมิลำเนาจังหวัดตรัง (มีภารกิจหลายอย่างในพื้นที่ รวมทั้งให้การต้อนรับเอกอัครราชฑูตอินโดนีเชียประจำประเทศไทย ขอเข้าพบที่บ้านพักของท่านชวน เพื่อคารวะในโอกาสอำลาดพรงตำแหน่งครบวาระ ก่อนเดินทางกลับประเทศ) ระหว่างทาง นายชวนได้แวะพบปะเยี่ยมเยียนผู้ที่เคารพนับถือและประชาชนที่พบกัน ในจังหวัดต่างๆ ระหว่างการเดินทางกำหนดเดินทางถึง จ.ตรัง ค่ำวันนี้ ช่วงที่ผ่านมาและช่วงนี้..ท่านบอกว่าเมื่อพบประชาชนต่างเอาใจช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นพรรคการเมืองที่เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน ประชาชนต่างรู้สึกยินดีที่มีข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีโอกาสกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค นำพรรคสู่การเมืองอุดมการณ์ ทำงานการเมืองเพื่อบ้านเมือง เป็นทางเลือกที่เป็นความหวังของประชาชน อีกครั้งโดยแนายชวน ยืนยันมาตลอดชัดเจนว่าให้การสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งวันที่ 18ตุลาคม นายชวน มีกำหนดเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร วันที่ 13 ตุลาคม นี้ เพื่อร่วมประชุมรัฐสภาในวันที่ 14-15ตุลาคม นี้”
‘บิ๊กป้อม’ยันพปชร.พร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9ต.ค.ที่ผ่านมา นายปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมบุตรชาย นายปรพล อดิเรกสาร อดีต สส.สระบุรี 2สมัย เข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พร้อมนั่งพูดคุย โดยมี นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพปชร. นายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีต สส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย(พท.) และนายพิชัย เกียรติวินัยสกุล อดีต สส.ลพบุรี พรรค พท.ร่วมพูดคุย โดยเมื่อวันที่ 7ต.ค.ทั้ง นายปองพล และนายปรพล ได้สมัครสมาชิกพรรคพปชร.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยนายปรพล เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร ยืนยันนำพรรคพปชร.เดินหน้าต่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน
‘พท.’จัด30ขุนพลลุยร่างแก้รธน.
นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมในการอภิปรายวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา256 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 ระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ว่า แยกออกเป็น 2ส่วน คือในส่วนของผู้อภิปราย เราได้มีการเปิดให้สส.ที่สนใจลงชื่อ โดยขณะนี้มีการลงชื่อไว้ประมาณ 20-30คน ซึ่งพรรคจัดสรรเวลาให้ผู้ประสงค์จะอภิปรายอีกครั้ง อีกส่วนคือทีมข้อมูลของพรรคที่กำลังทำงานอยู่ เพื่อเตรียมข้อมูลว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่จะต้องมีการอภิปราย โดยจะมีผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์เรื่องนี้เป็นหัวหน้าทีมอภิปราย เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ รวมถึงเราต้องดูว่าใครจะเป็นผู้อภิปรายเปิดหรือผู้อภิปรายปิด
เมื่อถามว่า จะรับหลักการทั้ง 3 ร่างเลยหรือไม่ นายดนุพร กล่าวว่า เรากำลังพูดคุยกันอยู่ในเรื่องของรายละเอียด จริงๆ เราอยากจะรับได้ แต่ต้องมีการพูดคุยกัน เนื่องจากร่างของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะค่อนข้างแตกต่างจากของพรรคพท.และพรรคประชาชน (ปชน.) อยู่ ในเรื่องที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่ไม่มีภาคประชาชนเป็นส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าหากรับไปแล้วจะไปถกเถียงกันไม่จบในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.)หรือไม่ ต่อข้อถามว่า ได้พูดคุยกันหรือไม่ว่าจะเอาร่างของพรรคการเมืองใดเป็นร่างหลัก นายดนุพร กล่าวว่า ยังไม่ได้ข้อสรุป แน่นอนว่าเราอยากได้ร่างของพรรคเราเป็นร่างหลัก เพราะอยากให้มีตัวแทนของประชาชนเข้าไปร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการมาพูดคุยกันในรายละเอียดอีกครั้ง เมื่อถามว่า เบื้องต้นได้มีการวางตัวบุคคลที่จะมาเป็นกมธ.แล้วใช่หรือไม่ นายดนุพร กล่าวว่า ใช่ เรากำลังไล่วางกันอยู่ว่าจะมีใครบ้าง เนื่องจากมีผู้สนใจเยอะทั้งสส.รุ่นเด็กๆ รุ่นกลาง และอาวุโส ส่วนนักวิชาการนั้นเรายังไม่ได้มีการพูดถึง ขอเอาสส.ที่สนใจจริงๆ ก่อน ส่วนนักวิชาการขอดูก่อนหากมีความเหมาะสม แน่นอนว่าเราไม่ได้ปิด แต่มีชื่อหลายคนอยู่ในตะกร้าแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี