ชาวบ้านบุรีรัมย์แห่แน่นธนาคาร ยืนยันตัวตนโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ชาวบ้านบางครอบครัวยอมลงทุนควักเงิน 5,000 บาท ซื้อมือถือ 2 เครื่องหวังได้สิทธิรัฐบาลทั้ง ผัว และ เมีย วอนรัฐบาลหาทางช่วยคนจนไม่มีสมาร์ทโฟน

วันที่ 15 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ธนาคารกรุงไทยสาขาคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นไปอย่างหนาแน่นไปด้วยประชาชนที่เดินทางมารับบัตรคิว เพื่อขอคำแนะนำและยืนยันตัวตนสำหรับโครงการ "คนละครึ่ง พลัส 2568" ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคมนี้

สาเหตุที่ชาวบ้านต้องเดินทางมายังธนาคาร เนื่องจากหลายคนไม่สามารถยืนยันตัวตนด้วยตัวเองผ่านระบบได้ และต้องการทราบคุณสมบัติและเงื่อนไขการลงทะเบียนที่ชัดเจน เพราะพบว่ามีปัญหาใหญ่คือ การเข้าถึงสมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชัน เนื่องจากบางคนใช้โทรศัพท์รุ่นเก่าที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟน หรือบางคนไม่มีโทรศัพท์มือถือเลย

นางนิศาชน รัดไธสง วัย 60 ปี ชาวอำเภอคูเมือง เปิดเผยว่า ที่บ้านได้รับสิทธิคนละครึ่ง 2 คน แต่สามีไม่มีโทรศัพท์ ส่วนโทรศัพท์ของตนเป็นรุ่นเก่า ทำให้ไม่สามารถลงทะเบียนได้ จึงตัดสินใจ ลงทุนซื้อโทรศัพท์ใหม่ถึง 2 เครื่อง ในราคาเครื่องละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 5,000 บาท

"ถึงแม้จะได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลคนละ 2,000 บาท รวมแล้วได้ 4,000 บาท เท่ากับขาดทุนไป 1,000 บาท แต่ก็จำเป็นต้องสู้ เพราะเผื่อรัฐบาลจะมีโครงการดี ๆ แบบนี้ต่อไปอีก อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือคนจนแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ" นางนิศาชนกล่าว

นายทองสา เพ็ชรรัก วัย 61 ปี อาชีพทำนา ชาวอำเภอแคนดง เล่าด้วยความรู้สึกน้อยใจว่า ตนใช้โทรศัพท์มาเกือบ 4 ปีแล้ว และได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ธนาคารว่า โทรศัพท์ของตนเป็นรุ่นเก่า ไม่สามารถลงทะเบียนได้ จำเป็นต้องซื้อเครื่องใหม่ แต่ตนไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ แม้แต่เงินใช้จ่ายในครัวเรือนซื้อพริกน้ำปลายังต้องรับจ้างหาเงินมาเลี้ยงชีพในแต่ละวัน จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลหาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์รุ่นเก่าซึ่งยังมีอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้พวกเขาเสียโอกาสรับสิทธิโครงการของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม นางโฮม เพชรล้ำ วัย 76 ปี ชาวอำเภอแคนดงที่สามารถลงทะเบียนได้สำเร็จ กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งถือเป็นโครงการที่ดีมาก เพราะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ซื้อหมากพลูในราคาถูกได้