เปิดมุมมอง รมว.ศึกษาฯ‘ศ.ดร.นฤมล’เมื่อ ศธ. มีนโยบาย ภาคเอกชนมีนวัตกรรม  ซีพีเดินหน้าร่วมพัฒนาการศึกษา ส่งเยาวชนไทยร่วมประชุม‘สุดยอดผู้นำเยาวชนโลก 2025’

เปิดมุมมอง รมว.ศึกษาฯ‘ศ.ดร.นฤมล’เมื่อ ศธ. มีนโยบาย ภาคเอกชนมีนวัตกรรม ซีพีเดินหน้าร่วมพัฒนาการศึกษา ส่งเยาวชนไทยร่วมประชุม‘สุดยอดผู้นำเยาวชนโลก 2025’

วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.
Tag :

ปัจจุบันถึงแม้ว่า “การศึกษาไทย” จะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ยังคงเผชิญปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องของ “คุณภาพการศึกษาต่ำ” และ “ความเหลื่อมล้ำ”ยิ่งไปกว่านั้นปัญหา “เด็กหลุดจากระบบ” เพิ่มขึ้นทุกปีเนื่องจากครอบครัวยากจน ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จัดทำนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งในยุครัฐบาลของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ส่งนักวิชาการ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หรือ “อาจารย์แหม่ม” มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นับว่าเป็นความหวังของระบบการศึกษาไทยที่จะได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เผยมุมมอง “อนาคตการศึกษาของไทย” ว่าการศึกษาควรปราศจากการเมือง เพราะเรื่องของเด็กและเยาวชนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่พวกเขาจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ช่วยพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต และในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯจะต้องรับฟังปัญหาจากทุกฝ่าย เพื่อนำเสียงสะท้อนจากครู ผู้ปกครอง
มาสอดรับกับความเห็นของ ศธ. เพื่อแก้ไขไปด้วยกัน


“ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของเด็กๆ ถ้าครูมีปัญหาแล้วจะดูแลนักเรียนเต็มที่ได้อย่างไร” ความห่วงใยจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถึงคุณครูทั้งประเทศ ที่ต้องการผลักดัน “สวัสดิการครู”เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ครูทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ครู, บ้านพักครู รวมถึงวิทยฐานะ เพราะเกี่ยวกับรายได้ของครูด้วย เพราะถ้าครูได้รับการดูแลที่ดี ก็จะมีความกังวลน้อยลงและดูแลเด็กๆ ได้เต็มที่

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน ศธ. ได้จัดหลักสูตรอบรมพัฒนาศักยภาพครู โดยครูต้องปรับการเรียนการสอนให้ทันต่อสถานการณ์ โดยบทบาทหน้าที่ครูไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการเท่านั้น แต่ต้องบ่มเพาะกล่อมเกลาจิตใจเด็กและใส่ใจเด็กในด้านอื่นๆ ด้วย เพราะเด็กๆ สามารถเรียนรู้และหาคำตอบได้เองจากสื่อออนไลน์ถ้าเทียบกับสมัยก่อนแล้วถือว่าพัฒนามาไกลมาก

แต่อย่างไรก็ตาม อนาคตการศึกษาจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่ได้อยู่ที่ กระทรวงศึกษาธิการอย่างเดียว แต่อยู่ที่คนไทยทุกคน และทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ในการเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษาไปด้วยกัน โดยกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบาย ส่วนภาคเอกชนมีนวัตกรรม ถ้าร่วมมือกันก็จะพัฒนาการศึกษาไทยไปแบบก้าวกระโดด เพราะจะลดช่องว่างการเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้มาก อย่างเวที One Young World Summit 2025 ที่ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) สนับสนุนคนรุ่นใหม่ ส่งตัวแทนไปเวทีนานาชาติ นั่นเป็นตัวชี้แล้วว่า “เด็กไทย..ไม่แพ้ชาติใดในโลก” เพียงแต่ขอแค่มีโอกาสให้เขาได้โชว์ฝีมือ และเวทีดังกล่าวเป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวมสุดยอดผู้นำเยาวชนโลก มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง และหนึ่งในนั้นคือเรื่องของการศึกษาไทยคาดว่าเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกคัดเลือกไปร่วมเวทีฯ เมื่อกลับมาแล้วจะสามารถพัฒนาการศึกษาไทยให้ก้าวหน้าไปอีกระดับได้อย่างแน่นอน

“เด็กสมัยนี้เก่งกว่าเด็กสมัยก่อนเยอะ เพราะมีโอกาสมากกว่า โรงเรียนมีคุณภาพมากขึ้น แต่โรงเรียนขนาดเล็กที่ได้รับการจัดสรรแบบรายหัวทำให้ทรัพยากรน้อยจึงเกิดความเหลื่อมล้ำ เราจึงต้องแก้ไขเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น อนาคตการศึกษาจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่ได้อยู่ที่ ศธ. อย่างเดียว แต่อยู่ที่คนไทยทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษา และเข้ามามีส่วนร่วม เช่น เรียนฟรีแล้วมันไม่ฟรีจริงเพราะอะไร ถ้าเข้ามาดูจริงๆ โรงเรียนก็ต้องลงทุน และใช้ช่องว่างที่มี เพื่อจะหารายได้ เพื่อที่จะนำมาบริหารให้คุณภาพการเรียนการสอนดีขึ้น เพราะเงินรายหัวที่โรงเรียนได้ไป ก็อาจจะทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น ไม่เช่นนั้นโรงเรียนก็ไม่ได้รับการพัฒนาคุณภาพ จึงนำไปสู่สิ่งที่โรงเรียนจำเป็น ถ้าผู้ปกครองมีศักยภาพ โรงเรียนก็อาจจะเก็บบางส่วนเพื่อช่วยเติมเต็มให้เกิดการพัฒนา” รมว.ศธ. ระบุ

และในเร็วๆ นี้ ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนีจะมีการจัดประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนโลก “One Young World Summit 2025” โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) และบริษัทในเครือ ได้ส่ง 20 พนักงานรุ่นใหม่ เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย ซึ่ง 1 ในตัวแทนคนรุ่นใหม่ได้มีการเตรียมนำเรื่อง “การศึกษาเพื่อความเสมอภาค (Education)” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมกันหาทางออกบนเวทีนานาชาติครั้งนี้อีกด้วย

แพรวา อัครภูษิต Senior Associate, True Next Gen เปิดเผยว่า ในฐานะตัวแทนเยาวชนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่เข้าร่วม “One Young World Summit 2025” ได้เตรียมข้อมูลและมุมมองในหัวข้อ “การเข้าถึงการศึกษาและทักษะการเรียนรู้ของเยาวชนไทย” เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้ที่เท่าเทียมไม่ใช่แค่เรื่องของโรงเรียน แต่คือ “สิทธิพื้นฐานในการมีอนาคต” โดยตนเองได้มีการศึกษาเรื่องราวจากพื้นที่จริง ทั้งในโรงเรียนชนบทที่ขาดสื่อการสอนทักษะที่จำเป็น ไปจนถึงชุมชนที่ต้องพึ่งการเรียนรู้จากอาสาสมัคร เพื่อเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา พร้อมรวบรวมแนวทางจากโครงการในเครือฯ ไม่ว่าจะเป็น True Digital Academy ทรูปลูกปัญญา และ CONNEXT ED ที่เป็นตัวอย่างของการสร้างระบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Hybrid Learning) ให้เยาวชนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเปิดโอกาส ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่มช่องว่าง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของเครือฯ ที่ได้ช่วยให้ประชาชนกว่า 33 ล้านคนเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต และกำลังเดินหน้าสู่50 ล้านคน ภายในปี 2573

“ที่เลือกประเด็นการเข้าถึงการศึกษา เพราะมันไม่ใช่เพียงปัญหาด้านทรัพยากร แต่คือเรื่องของ ความหวังและโอกาสในการเปลี่ยนชีวิต เด็กไทยจำนวนมากไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาด “ทางเดิน” ที่จะเดินไปสู่โอกาสนั้น หากเราสามารถสร้างระบบการเรียนรู้ที่เปิดกว้างทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้กับทุกคนได้จริง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในเมืองหรือในหมู่บ้านห่างไกล เราจะได้เห็นประเทศที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ที่“มีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น” และพร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคต เพราะเชื่อว่า “การศึกษาที่ดีไม่ใช่สิ่งที่สอนให้เด็กจำเก่งขึ้น แต่สอนให้เขามีทางเลือกมากขึ้น” และนั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนที่สุดที่เราทำได้ในฐานะคนรุ่นใหม่” แพรวา กล่าว

สำหรับการได้เป็นตัวแทนประเทศไทยและเครือเจริญโภคภัณฑ์ในเวทีระดับโลก แพรวา กล่าวว่า คือเกียรติที่มาพร้อมความรับผิดชอบ ดังนั้น จึงตั้งใจจะนำแรงบันดาลใจและแนวทางจากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้กลับมาต่อยอดในโครงการจริง และใช้โอกาสนี้สร้าง “สะพานความร่วมมือ” ระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐและเยาวชน เพื่อให้เกิดโครงการที่ต่อยอดได้จริง เช่นแนวคิด “Digital Learning Hub” ที่จะเป็นพื้นที่กลางสำหรับเยาวชนไทยในการเรียนรู้ทักษะดิจิทัลจากผู้เชี่ยวชาญจริง เชื่อมต่อกับ Mentor จากภาครัฐและเอกชน และเปิดโอกาสให้เข้าถึงการฝึกงานในเครือฯ หรือหน่วยงานพันธมิตร เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ตลาดแรงงานในอนาคต สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาเยาวชน แต่ยังเป็นการเชื่อมต่อระบบ “การเรียนรู้-การทำงาน-การเติบโต” เข้าด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม เพราะสิ่งที่ประเทศเราขาดไม่ใช่คนเก่ง แต่คือ “คนที่มีโอกาสได้เก่ง”

"ปัจจุบันถึงแม้ว่า “การศึกษาไทย” จะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ยังคงเผชิญปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องของ “คุณภาพการศึกษาต่ำ” และ “ความเหลื่อมล้ำ”ยิ่งไปกว่านั้นปัญหา “เด็กหลุดจากระบบ” เพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากครอบครัวยากจน ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จัดทำนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งในยุครัฐบาลของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ส่งนักวิชาการ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หรือ “อาจารย์แหม่ม” มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นับว่าเป็นความหวังของระบบการศึกษาไทยที่จะได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด"

“จุดแข็งของเราคือการเชื่อมโยง “ความคิดเชิงกลยุทธ์” เข้ากับ “ความเข้าใจมนุษย์” จากประสบการณ์ทำงานในหลายบริบท ทั้งสายธุรกิจ การตลาดดิจิทัลและโครงการเพื่อสังคม แฟร์เวย์เคยฝึกงานในสตาร์ทอัพ EdTech ที่สิงคโปร์ และเป็นอาสาสมัครใน NGO ที่นำอาสาสมัครต่างชาติเข้าไปสอนเด็กในชนบท ซึ่งทำให้ได้เห็นทั้งมุมของเทคโนโลยีและความจริงของพื้นที่หน้างานทำให้เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเริ่มจาก “การฟัง”เข้าใจ และออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เพราะความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนไม่ได้เกิดจากแนวคิดใหญ่ แต่เกิดจากการทำที่ถูกจุดและต่อเนื่อง “ไม่มองปัญหาแค่จากตัวเลข แต่มองจากชีวิตของคนที่อยู่ข้างในมัน” แพรวา อัครภูษิต กล่าว

ทั้งนี้ Senior Associate, True Next Gen ยังกล่าวอีกว่า ระบบการศึกษาไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ตนเองเห็นความพยายามของภาครัฐในการ ผลักดันนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และการส่งเสริม ทักษะดิจิทัลในโรงเรียน ผ่านโครงการต่างๆ ที่ช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่พร้อมกับโลกอนาคต

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมีการร่วมมือระหว่างภาครัฐภาคเอกชน และภาคชุมชน เพราะแต่ละภาคส่วนต่างมีจุดแข็งเฉพาะที่สามารถเกื้อหนุนกันได้ โดยที่ภาครัฐมีนโยบายและโครงสร้างระดับชาติ ภาคเอกชนมีนวัตกรรม เทคโนโลยี และระบบการจัดการที่คล่องตัวส่วนภาคชุมชนเข้าใจปัญหาและบริบทของพื้นที่จริง หากเราสามารถผสานพลังกันในแนวทาง “Education Partnership for the Future” จะทำให้ประเทศไทยสร้างระบบการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง เท่าเทียม และยั่งยืนได้จริง อีกทั้ง ระบบที่ไม่เพียงผลิต “คนเก่ง” แต่หล่อหลอม “คนดีที่เข้าใจบทบาทของตนเองต่อโลก” ตามแนวคิด Sustainable Intelligence (SI Model) ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ยึดเป็นหลักในการพัฒนาคน

“เพราะการศึกษาไม่ควรเป็นภาระของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งประเทศ เพื่อสร้างอนาคตที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งเชื่อว่าพลังของคนรุ่นใหม่จะมีความหมายมากขึ้น เมื่อได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนในการสร้างระบบการเรียนรู้ที่เท่าเทียมและยั่งยืน เพราะการศึกษาไม่ได้เปลี่ยนเพียงชีวิตของคนคนหนึ่ง แต่เปลี่ยนอนาคตของประเทศได้ และนี่คือเหตุผลที่ดิฉันอยากเป็นหนึ่งในพลังเล็กๆ ที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง เท่าทันโลก และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แพรวา อัครภูษิต Senior Associate, True Next Gen กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนโลก One Young World Summit 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–20 พฤศจิกายน 2568 นี้ ณ เมืองมิวนิก เยอรมนี ร่วมกับเยาวชนกว่า 190 ประเทศ ภายใต้แนวคิด “Brave the Future, For a Better Tomorrow – กล้าก้าวสู่อนาคต เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมกันหาทางออก ทั้งนี้ ในที่ประชุมไม่ได้มีเพียงเรื่องการศึกษาเท่านั้น ยังมีวาระสำคัญอื่นๆ อีกด้วย อาทิ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy), การต่อต้านความเกลียดชังและการแบ่งแยก (Anti-Hate), การพัฒนาและใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Tech) และ สันติภาพและความมั่นคงของโลก (Peace & Security) เป็นต้น

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top