วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ผู้ถือหุ้น‘ปริ้นซ์ฯไทย’แจง DSI ปัดเอี่ยว‘ปรินซ์ โฮลดิ้งฯ กัมพูชา’ ยอมรับเคยเจรจาจะทำธุรกิจด้วยแต่‘ดีลล่ม’ หลังจากนั้นคนของบริษัทปริ้นซ์ฯไต้หวัน มาก่อตั้งบริษัทในไทย แต่ยืนยันไม่ได้มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกัน
24 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำโดย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม คณะพนักงานสืบสวนเรื่องที่ 134/2568 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางเข้าพบผู้ถือหุ้น2คนชาวไทยของบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International) ซึ่งเช่าสำนักงานอยู่ที่ชั้น 7 ของอาคารซิโนไทย ทาวเวอร์ เพื่อบันทึกการสอบปากคำ และรับมอบพยานเอกสาร เนื่องจากถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ของนายเฉิน จื้อ ที่ถูกทางการสหรัฐกล่าวหาในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน จากการดำเนินศูนย์สแกมเมอร์โดยใช้แรงงานบังคับในประเทศกัมพูชา
หลังให้ปากคำเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง หนึ่งในผู้ถือหุ้นชาวไทยของบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า วันนี้ทางบริษัทได้เชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์และชี้แจงข้อเท็จจริงว่าบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป
พร้อมกันนี้ ได้มอบเอกสารหลักฐานเป็นรายชื่อผู้ถือหุ้น บัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีงบประมาณ และเอกสารเส้นทางการเงินย้อนหลังของบริษัท ให้กับดีเอสไอ ซึ่งจะช่วยยืนยันว่ารายได้ของบริษัทไม่ได้เป็นรายได้จากต่างประเทศ รวมถึงฐานข้อมูลลูกค้าก็มาจากการให้คนไทยเช่าอสังหาริมทรัพย์กว่า 90% ตั้งแต่เปิดบริษัทมา เพื่อยืนยันว่าเราไม่เคยมีเงินจากต่างประเทศเข้าบริษัทเลย ข้อมูลฐานลูกค้า รวมถึงการทำงานของพนักงานต่าง ๆ ซึ่งตรวจสอบได้เลยว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เป็นบริษัทนอมินี หรือบริษัทลูกของปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป

ส่วนประเด็นที่ให้ปากคำ เป็นการตอบข้อซักถามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในประเด็นความเกี่ยวข้องกับบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป หรือเป็นนอมินี หรือตัวกลางให้กับแก๊งสแกมเมอร์ในการฟอกเงินหรือไม่ ซึ่งก็ยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเป็นบริษัทในเครือใดๆ แต่ยอมรับว่า ตอนเริ่มทำธุรกิจ ได้เคยเจรจากับบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป เพื่อจะขายสินค้าไทยไปยังกัมพูชา เนื่องจากเห็นว่าบริษัทดังกล่าวน่าเชื่อถือ เป็นบริษัทใหญ่ของกัมพูชาและเปิดช่องทางในการทำธุรกิจ แต่เนื่องจากเจรจาเรื่องผลประ
โยชน์ไม่ลงตัว จึงเปลี่ยนจากการขายสินค้าเป็นการทำธุรกิจนายหน้าเจรจากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในไทย เพื่อให้ไปลงทุนร่วมกับบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ในกัมพูชา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ร่วมมือกัน เพราะบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ได้นำแนวคิดดังกล่าวไปสร้างธุรกิจของตนเอง โดยที่บริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่ได้ร่วมทุนด้วย
ทั้งนี้ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นชาวไต้หวัน คือ นาย หวัง ยู่ ถัง ซึ่งก็ยอมรับว่านาย หวัง ยู่ ถัง เคยเป็นคนของบริษัทปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ ในไต้หวัน ซึ่งอยู่ในเครือบริษัทปรินซ์โฮลดิ้ง กรุ๊ป แล้วระหว่างนั้นก็มาตั้งบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในประเทศไทย และได้ชักชวนตนเองกับผู้ถือหุ้นชาวไทยมาร่วมธุรกิจด้วย
ส่วนที่มาที่ไปของการตั้งชื่อบริษัทฯ เนื่องมาจากก่อนที่ตนจะเริ่มทำธุรกิจนี้ ตนเคยได้เดินทางไปดูบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) พบว่าค่อนข้างมีความมั่นคง และเป็นบริษัทที่ครอบ คลุมปัจจัย 4 ของคนกัมพูชา และการที่เราเข้าไปทำธุรกิจ หากเรามีชื่อที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเขา ตอนนั้นเราคิดว่าจะเป็นจุดดีของเราในการที่จะมีความเชื่อมโยงกับบริษัท อีกทั้งยังได้นำชื่อบริษัทไปอยู่ภายใต้เครือบริษัท ปรินซ์ฯ ไต้หวัน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักชวนคนไต้หวันมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย แต่สุดท้ายการเจรจาก็ล่มเหมือนเดิม ทำให้สุดท้ายแล้วบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่น แนล จำกัด จึงไม่ได้ร่วมลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทใดในเครือปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป หรือมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกันเลย ส่วนความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น คือ แค่ชื่อบริษัทคล้ายกัน และเป็นบุคคลที่เคยทำงานในสององค์กร ก็คือดำรงตำแหน่งกรรมการเพราะ เคยเป็นกรรมการที่บริษัทปรินซ์ เรียลเอท สเตท อินเวสเมนท์ หรือบริษัทปรินซ์ไต้หวัน ซึ่งเขาได้ออกจากการเป็นกรรม การที่บริษัทปรินซ์ไต้หวัน ตั้งแต่ปี 2567
ทั้งนี้ เมื่อเราไม่สามารถขายสินค้าของกัมพูชาได้ ก็เลยเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ โดยการหาผู้ประกอบการของไทย ที่มีโครงการต่างๆ เราก็เริ่มติดต่อบริษัทดังๆที่เขาได้รับความเสียหายตรงนี้ จึงขอพื้นที่สื่อช่วยชี้แจงด้วยว่าเขาไม่ได้ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายอะไรเลย เราเเค่เอาโครงการของเขาไปโปรโมตที่ไต้หวัน ทำให้ชื่อโครงการของ SC ASSET และแสนสิริ ไปปรากฏในหน้าเว็บไซต์ของบริษัทปรินซ์ที่ไต้หวัน (หรือบริษัท ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์) อันนั้นก็เป็นที่มาของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย เพราะบริษัทปรินซ์ไต้หวัน เขาจะออกงานสัมมนา โดยการโปรโมตสินค้า และโครงการใหม่ ๆ ให้กับบริษัทดัง ๆ ในไทย ซึ่งพอมีลูกค้าสนใจ เขาก็จะเอาลูกค้ามาซื้อในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เขานำไปโปรโมต อย่างไรก็ดี ออฟฟิศของไทยจะมีหน้าที่ดูแลลูกค้าหลังการขาย และเก็บค่าเช่าต่าง ๆ จึงทำให้ชื่อของเราไปปรากฏในบริษัทปรินซ์ไต้หวัน ทำให้เป็นความสับสนที่สื่อและคนทั่วไปอาจเข้าใจไปว่าเราไปเกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group)

ต่อข้อถามว่าบริษัทปรินซ์ไต้หวันมาเป็นผู้ชักชวนทำธุรกิจ แต่เขาเอาชื่อบริษัทเราไปแปะไว้ที่เว็บไซต์เขา ทราบหรือไม่และเหตุใดไม่แจ้งให้ทางนั้นนำชื่อออก หนึ่งในผู้ถือหุ้นชาวไทย ระบุว่าก่อนเกิดเหตุไม่มีใครทราบว่าสิ่งที่บริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) ดำเนินการนั้น เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต้องย้อนกลับไปว่าในอดีตไม่มีใครทราบ เพราะเขามีทั้งสนามบิน ธนาคาร เขาคุมปัจจัย 4 ของคนกัมพูชา ทำให้เราคิดว่าการที่เราเข้าไปทำธุรกิจกับเขาในตอนนั้นเป็นโอกาสที่เราจะสร้างตัวเองขึ้นมาและสามารถต่อยอดทำธุรกิจได้
หนึ่งในผู้ถือหุ้นชาวไทย ระบุว่า รายรับของบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในปัจจุบัน เกิดจากการที่เราเป็นนายหน้าการเช่า และอสังหาริมทรัพย์ หรือที่เราพาลูกค้าในไทยไปปิดดีลได้ก็ไทยหมดเลย เจ้าของเป็นคนไทย 99% ส่วน 1% เป็นสัญชาติอังกฤษหรืออเมริกา ตรงนี้ก็ตรวจสอบได้ นอกจากนี้ หากถามว่าตนเคยได้เจอกับนายเฉิน จื้อ หรือไม่ ยืนยันว่าไม่เคยเจอ
ส่วนสาเหตุที่ชื่อบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ของไทย ยังปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ของบริษัทปรินซ์ฯไต้หวันนั้น เนื่องจากนายหวัง ยู่ ถัง ถูกอายัดบัญชีไว้ตรวจสอบ จึงทำให้ไม่มีอำนาจในการบริหารบริษัทปรินซ์ฯไต้หวัน และไม่สามารถถอดถอนชื่อบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ออกจากเว็บได้จนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีบริษัทที่ใช้ชื่อ "Prince" อีกแห่ง จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย จึงได้มอบข้อมูลทั้งหมดให้กับดีเอสไอไปเรียบร้อยแล้ว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี