วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ถึงคิว13.4ล้านคน
ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
เงินเข้า2เดือนรวม1,700บ.
ถึงคิวผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันนี้ 13.4 ล้านคน เตรียมรับ 1,700 บาท 1 พฤศจิกายน 2568 และ 1 ธันวาคม 2568 ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีบัตรฯ“สิริพงศ์” เผยกระทรวงพาณิชย์ลงตรวจร้านค้ารายย่อย ติดป้าย “คนละครึ่ง พลัส เพิ่มราคา 10 บาท” เตือนได้ไม่คุ้ม เสีย โทษหนักปรับไม่เกิน 140,000 บาท จำคุกไม่เกิน 7 ปี ตัดสิทธิร่วมโครงการ
เมื่อวันที่ 1 พ.ย.68 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้แล้วที่เงินช่วยเหลือสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะถูกโอนเข้าบัญชีทุกวันที่ 1 ของเดือน ซึ่งคาดว่า เงินช่วยเหลือจะโอนเข้าบัญชี ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 และ 1 ธันวาคม 2568 จำนวน 850 บาทต่อคนต่อเดือน รวม 1,700 บาทต่อคน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งปี 2568 เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาค่าครองชีพ รวมถึงช่วยเพิ่มกำลังซื้อ และเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2568 ส่งผลให้เกิดการบริโภค การผลิต และการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นลูกโซ่ ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม และจัดประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติมเป็นการชั่วคราวให้แก่ผู้มีบัตรฯ ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 จำนวน 13.4 ล้านคน
ทั้งนี้ ผู้มีบัตรฯ จะได้รับวงเงินเพิ่มอีกจํานวน 850 บาทต่อคนต่อเดือน โดยเพิ่มเติมจากวงเงินที่ได้รับเดิมจํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 กรณีมีวงเงินคงเหลือในเดือนใด จะไม่มีการสะสมไปในเดือนถัดไป สามารถใช้วงเงินได้ที่ร้านธงฟ้าฯ และร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม
“ผู้มีบัตรฯ สิทธิประโยชน์เป็นไปตามเดิมทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยน โดยได้วงเงินเพิ่มอีกจํานวน 850 บาท ทั้งนี้ รัฐบาลเตรียมเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ คาดในช่วงต้นปี 2569 โดยมีการทบทวน และปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณสมบัติใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และให้เข้าถึง “กลุ่ม” ที่ต้องการอย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีบัตรฯ” นายสิริพงศ์ กล่าว
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ เปิดเผยว่า จากกรณีในโลกโซเซียลได้มีการแชร์ข้อความร้านค้าขึ้นป้ายราคาสินค้า โดยระบุว่า “เงินสด 159 คนละครึ่ง 169” ซึ่งมีส่วนต่างราคาสินค้า จำนวน 10 บาท นั้น กระทรวงพาณิชย์ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พบเป็นร้านค้ารายย่อยขนาดเล็กแห่งหนึ่ง โดยได้ตักเตือนและให้นำป้ายสินค้าออกแล้ว พร้อมกำชับให้ดำเนินการขายสินค้าตามราคาจริง หากฝ่าฝืนอีกจะต้องถูกดำเนินคดี พร้อมถูกตัดสิทธิจากโครงการคนละครึ่งพลัส รวมถึงโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลในอนาคตด้วย
“ขอย้ำเตือนร้านค้า ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ให้จำหน่ายสินค้าในราคาเดียวกันทั้งกรณีชำระด้วยเงินสด และชำระผ่านสิทธิคนละครึ่งโทษ และไม่มีเหตุผลที่ต้องทำ เนื่องจากโครงการก็ไม่ได้มีการส่งข้อมูลภาษี ให้นำมาใช้เป็นข้ออ้าง หากฝ่าฝืนมีความผิดตาม พรบ. กำกับดูแลสินค้าและบริการพ.ศ. 2542 ในการติดป้ายแสดงราคา หากพบการกระทำความผิดปรับไม่เกิน 10,000 บาท และการฉวยโอกาสหรือบิดเบือนราคา โทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท” นายสิริพงศ์ ย้ำ
ทั้ง หากประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นการขายเกินราคาจริง หรือการกระทำใด ๆ ที่ฝ่าฝืนผิดวัตถุประสงค์โครงการฯ ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ โดยขอให้ระบุสถานที่ที่กระทำความผิด กรมการค้าภายในพร้อมส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบทันที เพื่อไม่ให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น พร้อมกันนี้ ขอให้ผู้ประกอบการรายย่อยปฏิบัติตามเงื่อนไขของโครงการฯ ให้ถูกต้อง ไม่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ซึ่งโครงการ “คนละครึ่งพลัส” รัฐบาลมุ่งลดรายจ่ายให้ประชาชน ส่งเสริมให้มีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และสร้างรายได้แก่ร้านค้ารายย่อย นำไปสู่การกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี