อธ.อัยการสอบสวน เตรียมชงคดีพระคึกฤทธิ์ ให้อัยการสูงสุด ชี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร

อธ.อัยการสอบสวน เตรียมชงคดีพระคึกฤทธิ์ ให้อัยการสูงสุด ชี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร

วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 14.38 น.

อธ.อัยการสอบสวน เตรียมเสนอคดีพระคึกฤทธิ์ ยักยอก-ฟอกเงินวัดดังนาป่าพงเปย์สีกา ให้ อสส.ชี้เป็นคดีนอกราชฯ เสนอตั้งอัยการร่วมสอบกับตำรวจ ปปป.ด้วย

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 นาย วัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวถึงความคืบหน้าคดีพระคึกฤทธิ์” อดีตเจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ย่าน จ.ปทุมธานี ที่ตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.)ดำเนินคดีข้อหายักยอกและฟอกเงิน 


กรณีอดีตพระคึกฤทธิ์ถูกกล่าวหาว่าโอนเงินวัดจำนวน 12 ล้านบาทเข้าบัญชีสีกาในประเทศเยอรมนี เเละถูกตรวจสอบเส้นเงินหมุนกว่า 500 ล้านบาท ที่พนักงานสอบสวน ปปป.ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อให้วินิจฉัยในประเด็นคดีนอกราชอาณาจักรว่า  

ตำรวจบก.ปปป. ได้ทําหนังสือกราบเรียนอัยการสูงสุดมา ส่งมาที่สำนักงานอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญเพื่อให้อัยการสูงสุดวินิจฉัยว่าคดีดังกล่าวเป็นการ กระทําความผิดนอกราชอาณาจักรหรือไม่

คดีนี้มีผู้มาร้องทุกข์ กล่าวโทษอดีตพระคึกฤทธิ์ เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ข้อหายักยอกเงินวัด เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบรวมทั้งลักษณะการกระทําความผิดฐานฟอกเงิน  และฉ้อโกงเงินวัดจํานวนมาก 

โดยหลักเเล้วคดีนอกราชอาณาจักรทั้งประเทศไทยเมื่อมีการยื่นเรื่องไปยังอัยการสูงสุด สำนวนจะต้องถูกส่งมายังอัยการสํานักงานการสอบสวนก่อน ซึ่งอัยการสํานักงานการสอบสวนจะมีหน้าที่ในการวินิจฉัยเบื้องต้นว่าคดีที่ตํารวจ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนมาเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร โดยเราก็จะวินิจฉัยเบื้องต้นในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าเข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับความผิดนอกราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 หรือไม่แล้ว กราบเรียนเสนออัยการสูงสุดไป  ถ้าเราวินิจฉัยว่าเป็นคดีนอกราชฯ เเล้วถ้าอัยการสูงสุดเห็นด้วยกับอัยการสำนักงานการสอบสวนอัยการสูงสุดก็จะสั่งว่า เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นคดีสําคัญ ที่ประชาชนให้ความสนใจ และความเสียหายของจำนวนยอดเงินจำนวนมากซึ่งผู้กล่าวหาเห็นว่าทางวัดและทางประชาชนที่นับถือท่านเสียหายดังนั้นทางสำนักงานการสอบสวนเราจะไม่มอบพนักงานสอบสวนสอบ บก.ปปป.สอบสวนฝ่ายเดียว จะต้องมอบให้อัยการเข้าไปร่วมสอบสวน ซึ่งเรื่องนี้เราจะตั้งเป็นคณะทํางานใหญ่ขึ้นมา โดยผู้ที่ตั้งคณะทำงานก็คือ ตนในฐานะอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน คณะทํางานของอัยการที่ว่านี้ จะมีหน้าที่ตามกฎหมายก็คือมีหน้าที่ให้คําแนะนํา และก็มีอํานาจในการสั่งการให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติตามแนวทางการสอบสวนที่อัยการได้เห็นควร เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เป็นคนร้องทุกข์กล่าวโทษหรือว่าฝ่ายทางผู้ต้องหาซึ่งเป็นพระเองก็ตาม 

เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ เมื่อรับเรื่องกลับมาจากอัยการสูงสุดแล้ว เราจะตั้งเป็นรูปแบบของคณะทํางานของอัยการเข้าไปสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวน ปปป. โดยทางเราจะกําหนดว่าการสอบสวนจะดําเนินการสอบพยานอย่างไร จะดําเนินคดีอย่างไร 

สำหรับขั้นตอนนี้ยังเป็นขั้นตอนการกลั่นกรองเสนอกราบเรียนอัยการสูงสุด ซึ่งตนมอบให้สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 5 เป็นผู้พิจารณา แล้วจะทําความเห็นเสนอขึ้นมายังตน เป็นผู้ดําเนินการสั่งการ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เพราะเมื่อตรวจสอบแล้ว เรื่องนี้สำนักงานการสอบสวนจะเร่งดำเนินให้อย่างรวดเร็วจากนั้นก็จะทําหนังสือกราบเรียนอย่างอัยการสูงสุดต่อไป คาดว่าจะไม่นาน ภายในสัปดาห์นี้ก็จะรู้เรื่อง ทราบว่าอัยการสูงสุดจะมีคําสั่งลงมาอย่างไร

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top