6ชาติเห็นพ้อง วาง21กลไกเชือด‘สแกมเมอร์’ ทลายรัง-ยึดทรัพย์-ปิดบัญชี

6ชาติเห็นพ้อง วาง21กลไกเชือด‘สแกมเมอร์’ ทลายรัง-ยึดทรัพย์-ปิดบัญชี

วันอาทิตย์ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

6ชาติเห็นพ้อง
วาง21กลไกเชือด‘สแกมเมอร์’
ทลายรัง-ยึดทรัพย์-ปิดบัญชี

ประชุม 6 ชาติ ลุ่มน้ำโขง เห็นพ้องปราบสแกมเมอร์ วางกลไก 21 ข้อ รับมือ เน้น “บล็อก–อายัด–ตรวจสอบ” ส่งกลับผู้กระทำผิด “บิ๊กก้อง” ชู 3 มาตรการเร่งด่วน แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ จัดทำฐานข้อมูล “บัญชีม้า - เบอร์โทร-IP” ใช้ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกประเทศสามารถนำไปเชือดคนร้ายได้ทันควัน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุม ประชุมระดับรัฐมนตรี ว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ ระหว่าง 6 ประเทศ ได้แก่ จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม ที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา


โดยที่ประชุมได้หารือสถานการณ์การหลอกลวงข้ามชาติและโทรคมนาคมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสังคม และสิทธิประโยชน์ของประชาชนทุกประเทศอย่างร้ายแรง และได้บรรลุฉันทามติร่วมในการยกระดับความร่วมมือเชิงปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ ที่ประชุมรัฐมนตรีทั้ง 6 ประเทศมีข้อสรุปความร่วมมือที่สำคัญ 21 ข้อ คือ

1. ปฏิบัติการร่วมกวาดล้าง “สวนสแกม–เขตพนัน–ศูนย์หลอกลวง” และดำเนินการอย่างครบวงจร โดยไทยมีตัวอย่างความสำเร็จที่นำเสนอให้เป็นแบบอย่างได้ 2. จัดปฏิบัติการร่วม (Joint Operations) เพื่อล้อมปราบเขต/นิคมที่เป็นฐานพนันออนไลน์และศูนย์หลอกลวง ทางไทยพร้อมส่งเจ้าหน้าที่ประสานงานไปร่วมปฏิบัติในทุกประเทศทุกกรณี เรียกร้องให้มีการเปิดเผยแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานเพื่อให้เกิดการขยายผลโดยไม่มีเขตจำกัด 3. จับกุมผู้ต้องสงสัยร่วมกัน ประสานการสอบสวน–เก็บพยานหลักฐานในคดีเดียวกัน และพร้อมแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานระหว่างกัน ส่งมอบพยานหลักฐานทางคดีอย่างเป็นระบบ (full transfer of criminal evidence)

4. ส่งตัวผู้ต้องหา (repatriation/extradition) กลับประเทศที่ต้องการตัว แบบครบถ้วน เพื่อมิให้เกิดอาชญากรข้ามชาติที่กระทำผิดในต่างประเทศและอยู่อาศัยอย่างลอยนวลในอีกประเทศ 5. อายัด–ยึด–ติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดี เพื่อนำส่งคืนผู้เสียหายหรือรัฐที่เกี่ยวข้อง 6. จัดตั้งกลไกประชุมอย่างเป็นทางการ 6 ฝ่าย ทั้งระดับรัฐมนตรีและระดับกรม/สำนักงาน/หน่วยงาน 7. จัดตั้ง “กลไกระดับรัฐมนตรี 6 ฝ่าย ว่าด้วยการร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์”

8. จัดประชุมประจำปีโดยหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพทั้ง 6 ประเทศ เพื่อรายงานความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค และร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติการระยะต่อไป

9. ภายใต้กลไกระดับรัฐมนตรี จะมีการประชุมระดับกรม/สำนักงาน (working-level/局级) เป็นประจำ ทำหน้าที่แปลงมติระดับนโยบายให้เป็นการปฏิบัติจริงและติดตามผลอย่างใกล้ชิด 10. พัฒนาระบบประสานงานคดี–ข่าวกรองข้ามแดนร่วมกัน 11. จัดทำและปรับปรุงช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวกรองเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Call Center เว็บไซต์/แอป ตัวการสำคัญ บัญชีม้า (money mule) และสกุลเงินดิจิทัล 12. กำหนดมาตรฐานร่วมด้านการสืบสวนสอบสวนดิจิทัล เช่น รูปแบบข้อมูล Log และหลักฐานดิจิทัลที่สามารถใช้ในกระบวนการยุติธรรมของแต่ละประเทศได้ 13. สนับสนุนการติดตามเส้นทางเงินและข้อมูล (fund & data flow) เพื่อเชื่อมคดีข้ามประเทศให้เป็น “คดีเดียวกัน” ที่ช่วยกันขยายผลได้

14. ขยายความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม และบริษัทเทคโนโลยี 15. สนับสนุนปฏิบัติการร่วมระดับภูมิภาค (regional joint operations) อย่างต่อเนื่อง 16. แลกเปลี่ยนกรณีศึกษาและแนวทางกำกับดูแลแพลตฟอร์ม ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ระบบชำระเงิน และ Crypto Exchange 17. เชิญชวน NGO และบริษัทเทคโนโลยี ร่วมมือด้านการแชร์ข้อมูล–แจ้งเตือน การปิดเว็บไซต์–ปิดหมายเลข–ปิดบัญชี การวิจัยกฎหมาย–แนวทางปฏิบัติ การพัฒนาเทคโนโลยีและฝึกอบรม (AI, Big Data, OSINT, Blockchain Analytics ฯลฯ) และจัดทำแคมเปญรณรงค์ป้องกันเหยื่อแบบหลายภาษา ข้ามพรมแดน 18. ยืนยันกรอบยุทธศาสตร์ร่วมภายใต้ความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (MLC) และหลักนิติธรรม

19. ทุกประเทศจะใช้กฎหมายภายในของตนอย่างเต็มที่ในการปราบปรามศูนย์สแกมในเขตแดนตนเอง และ ไม่ปล่อยให้มี “Safe Haven” ของแก๊งสแกมเมอร์ในภูมิภาค 20. ยึดกรอบ Global Security Initiative, Global Governance Initiative และ MLC (Mekong-Lancang Cooperation) 21. เน้นหลักความโปร่งใส ยึดหลักนิติธรรม และผลประโยชน์ร่วมกันเป็นฐานของทุกโครงการความร่วมมือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมหนนี้ผู้นำฝ่ายไทยนำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร และได้กล่าวถ้อยแถลงในนามฝ่ายไทย โดยชี้ให้เห็นว่า ปัญหา “สแกมเซ็นเตอร์” ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมิใช่เพียงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่เป็น “เครือข่ายอาชญากรรมข้ามพรมแดน” ที่ทำร้ายประชาชนทุกประเทศ พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยเป็นทั้งประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบของตนเอง จะดำเนินการอย่างจริงจังและรวดเร็ว โดยให้ทุกประเทศสามารถติดตามตรวจสอบได้ และประเทศไทยก็คาดหวังว่าทุกประเทศจะปฏิบัติต่างตอบแทนเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ได้นำเสนอผลการสืบสวนเชิงลึกของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (Anti-Cyber Scam Center: ACSC) ซึ่งบูรณาการข้อมูลจากธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และหน่วยข่าวกรองทางเทคนิค พบว่า เส้นทางการเงินจากบัญชีม้า (Mule Accounts) ส่วนใหญ่ถูกโอนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน, ที่อยู่ IP และสัญญาณเทคนิคจำนวนมากชี้ไปยังพื้นที่นอกประเทศไทย

นอกจากนี้ได้เสนอ “ข้อเท็จจริงเชิงเทคนิค” ว่า ศูนย์สแกมจำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและเขตเศรษฐกิจของบางประเทศในภูมิภาค และไทยได้ส่งมอบข้อมูลดังกล่าวให้ประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการแล้ว โดยย้ำว่าไทยต้องการความร่วมมือแบบตรงไปตรงมาและเป็นรูปธรรมจากทุกฝ่าย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top