วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
กรมส่งเสริมการเกษตรเผยผลความคืบหน้าการบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควันและ PM2.5 จากการเผาในพื้นที่เกษตร ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของภาครัฐ โดยผลการดำเนินงานตลอดปี 2568 พบว่ามีพัฒนาการเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการมีส่วนร่วมของชุมชน สะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินงานลดการเผาในพื้นที่เกษตรทั่วประเทศปี 2568 ส่งสัญญาณบวกทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมชี้ว่า จุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่เกษตรลดลง 12.70% เมื่อเทียบกับปี 2566 ตัวอย่างเช่น ในจังหวัดเชียงใหม่ช่วงมีนาคม 2566 - 2567 ลดลงสูงถึง 27% สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของมาตรการลดการเผาอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมากรมส่งเสริมการเกษตรขับเคลื่อนและส่งเสริมการบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรแก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เช่น การไถกลบเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ การทำปุ๋ยหมัก - ปุ๋ยอินทรีย์ การใช้ฟางเลี้ยงสัตว์ และการสร้างรายได้จากการจำหน่ายเศษวัสดุชีวมวล เป็นต้น ทำให้สามารถนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว 29.7 ล้านตัน จากทั้งหมด 48.6 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 61 สร้างมูลค่ากว่า 3.3 พันล้านบาท ช่วยลดต้นทุนการประกอบอาชีพแก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี โดยในด้านการมีส่วนร่วม มีเกษตรกรเข้าร่วมอบรมความรู้ด้านการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรแล้วกว่าแสนราย เกิดเครือข่ายเกษตรกรปลอดเผาหลายพันราย และมีชุมชนต้นแบบขยายผล เช่น ชุมชนบ้านโนนงิ้ว อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ จำนวน 168 ครัวเรือน พื้นที่ 2,160 ไร่ สร้างเงื่อนไขและกฎร่วมกันของชุมชน ดำเนินการปลอดการเผาอย่างเข้มแข็ง
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปี 2569 กรมส่งเสริมการเกษตรกำหนดทิศทางขับเคลื่อน 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การลดการเผาในพื้นที่การเกษตรและการสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศษวัสดุเหลือใช้ในการเกษตร โดยเน้นให้ทุกพื้นที่จัดทำแผนที่ที่แสดง ระดับความเสี่ยงการใช้ไฟหรือการเผาในพื้นที่เกษตร โดยอ้างอิงจากข้อมูล hot spot และ burn scar ย้อนหลัง 3-5 ปี ประกอบกับข้อมูลชนิดพืช เพื่อให้ชุมชนเห็นภาพร่วมกันว่าพื้นที่ใดเผาบ่อย เผาซ้ำ รวมถึงร่วมกับชุมชนในการวิเคราะห์สาเหตุ และออกแบบทางเลือกแทนการเผา และศึกษาวิเคราะห์ห่วงโซ่มูลค่าวัสดุชีวภาพ เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย เพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมชีวมวลและวัสดุชีวภาพ รวมถึงการจัดการระดับแปลงและระดับพื้นที่ เช่น ไถกลบ ปุ๋ยหมัก สับย่อยเชื้อเพลิง และการออกแบบโมเดลธุรกิจชุมชน และขยายการรณรงค์ผ่านโครงการ Green Gain และการสร้างเกษตรกรต้นแบบ รวมถึงชุมชนเกษตรปลอดเผา ครอบคลุม 62 จังหวัด
นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรยังสนับสนุนการนำเศษวัสดุไปใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจ เช่น กลุ่มแปลงใหญ่สหกรณ์โคนมโคกก่อ จ.มหาสารคาม ที่รวบรวมฟางข้าวและปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์กว่า 200 ตัน รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรมีการบริหารจัดการไฟอย่างถูกต้องผ่านแอพพิลเคชั่น Burn Check ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออก ประกาศมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 ภาคการเกษตร พ.ศ.2568 (ฉบับที่ 2) โดยเกษตรกรที่มีประวัติการเผาในพื้นที่การเกษตร ช่วงที่ผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2569 - 31 มีนาคม 2571 จะหมดสิทธิ์เข้าร่วม โครงการสนับสนุนจากรัฐทุกรายการ ยกเว้นการช่วยเหลือกรณีภัยพิบัติ ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรย้ำว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควันและ PM2.5 ในภาคเกษตรต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อให้การผลิตปลอดการเผาเป็นมาตรฐานใหม่ของเกษตรไทย และสร้างอากาศที่ดีให้ทุกคนอย่างยั่งยืน
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี