โจทย์ใหญ่รัฐบาลหน้า! ‘ก.ม.ขจัดการเลือกปฏิบัติฯ’ ต้องเร่งผลักดัน-แม้ไม่ทันรัฐบาลนี้

โจทย์ใหญ่รัฐบาลหน้า! ‘ก.ม.ขจัดการเลือกปฏิบัติฯ’ ต้องเร่งผลักดัน-แม้ไม่ทันรัฐบาลนี้

วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 15.15 น.

โจทย์ใหญ่รัฐบาลหน้า! เวทีสาธารณะชี้ ‘ก.ม.ขจัดการเลือกปฏิบัติฯ’ ต้องเร่งผลักดัน-แม้ไม่ทันรัฐบาลนี้

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ณ กระทรวงยุติธรรม กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) จัดเวทีสาธารณะ ‘เห็นคุณค่าทุกชีวิต เดินหน้ากับ (ร่าง) พระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. ...’ เพื่อสร้างความเข้าใจและผลักดันกฎหมายสำคัญฉบับนี้


พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและลดความเหลื่อมล้ำ ประกอบกับรัฐบาลมีเจตนารมณ์ในการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจึงเสนอร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นกฎหมายขับเคลื่อนสังคมที่เท่าเทียม ขณะนี้ร่างกฎหมายอยู่ระหว่างกระบวนการตามขั้นตอน และเวทีนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วนจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดการลดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม

ขณะที่ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. เปิดเผยข้อมูลวิจัยที่ สสส. สนับสนุน โดยระบุว่า กลุ่มคนไร้บ้าน ต้องเผชิญอคติสูงสุดในทุกมิติ ทั้งการถูกเหมารวมในเชิงลบ และการถูกมองด้วยความไม่ไว้วางใจ ส่วนกลุ่ม LGBTQIAN+ เผชิญกับการเลือกปฏิบัติและถูกตีตราด้านอัตลักษณ์ทางเพศสูงกว่าประชากรทั่วไป ขณะที่กลุ่มผู้พิการ ถูกมองด้วยความสงสาร หรือชื่นชมเกินจริง และกลุ่มประชากรข้ามชาติ ถูกมองเป็นเพียงแรงงาน มากกว่าการเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน

นพ.พงศ์เทพ กล่าวย้ำว่า การผลักดันกฎหมายโดยเฉพาะฉบับภาคประชาชนที่เสนอให้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาขับเคลื่อนอย่างเชิงรุก เป็นหลักประกันสิทธิมนุษยชนที่แท้จริงให้กับคนทุกคน

ในการเสวนาหัวข้อ ‘ผ่าทางตันการเลือกปฏิบัติในประเทศไทย’ ตัวแทนจากพรรคการเมืองได้แสดงความคิดเห็นดังนี้ นายกัณวีร์ สืบแสง (พรรคเป็นธรรม) มองว่าปัญหาการเลือกปฏิบัติมีทั้งด้านโครงสร้าง ทัศนคติ ระบบบริการภาครัฐ และมาตรการช่วยเหลือ ที่ผ่านมาการทำกฎหมายเน้นการลงโทษแต่ขาดการป้องกัน เยียวยา และขาดกฎหมายกลางในการเชื่อมโยง จึงขอฝากร่างกฎหมายนี้ไว้กับรัฐบาลหน้า

ขณะที่ นายกฤช เอื้อวงศ์ (พรรคเพื่อไทย) ยอมรับว่าปัญหาความคุ้นชินของสังคมและภาครัฐเป็นอุปสรรคสำคัญ และแม้รัฐบาลก่อนเคยผลักดันแล้วแต่มีการเปลี่ยนรัฐบาลไปก่อน ยอมรับว่าร่างกฎหมายนี้ไม่น่าจะเสนอเข้าสภาได้ทันรัฐบาลนี้ แต่เชื่อว่าสมัยหน้าจะถูกหยิบยกเป็นเรื่องเร่งด่วน และเพื่อไทยจะผลักดันเต็มความสามารถ

ด้าน นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ (พรรคประชาชน) เสนอให้ใช้กลไกของสำนักงานยุติธรรมจังหวัดที่มีอยู่ทั่วประเทศแทนการตั้งหน่วยงานส่วนกลางเพียงหน่วยเดียว โดยแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม และดึงภาคประชาชนร่วมทำงาน พร้อมทั้งขอให้เพิ่มงบประมาณสำหรับการแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติเข้าไปด้วย

และ นายราเมศ รัตนะเชวง (พรรคประชาธิปัตย์) ชี้ว่าปัญหาเริ่มต้นตั้งแต่ผู้ปฏิบัติในหน่วยงานรัฐไปจนถึงนักการเมือง ควรเริ่มแก้ที่กฎหมายใหญ่คือ รัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้มีองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมาทำหน้าที่วินิจฉัยเรื่องการเลือกปฏิบัติโดยตรง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพราะการเลือกปฏิบัติสร้าง ‘การบาดเจ็บทางใจ’ ซึ่งเป็นเรื่องของสุขภาวะ

นอกจากนี้ นายสุนทร ผู้แทนเครือข่ายมูฟดิ กล่าวว่า การเลือกปฏิบัติเกิดจากทัศนคติที่ฝังรากลึกในสังคม การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตนเองที่มองคนที่แตกต่างเป็นมนุษย์ พร้อมเรียกร้องให้ 1) สนับสนุนกรมคุ้มครองสิทธิเสนอร่างกฎหมายเข้า ครม. และเข้าสภา และ 2) ให้พรรคการเมืองรับปากทำเป็น นโยบายเร่งด่วน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

/////-026

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top