นักวิชาการ มธ.เสนอแผน 3 ระยะ แก้วิกฤต‘ซากขยะ’หลังน้ำลด ต้องป้องกันสารเคมีปนเปื้อนลงดิน

นักวิชาการ มธ.เสนอแผน 3 ระยะ แก้วิกฤต‘ซากขยะ’หลังน้ำลด ต้องป้องกันสารเคมีปนเปื้อนลงดิน

วันอังคาร ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.32 น.

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เสนอแผน 3 ระยะแก้วิกฤตซากขยะ “หาดใหญ่” หลังน้ำลด ระยะเร่งด่วน “เทศบาล-อบต.” ต้องกำหนดจุดทิ้งขยะใกล้ชุมชน ควรอยู่ในที่สูงมีผ้าใบปูรองป้องกันสารเคมีไหลลงสู่ดิน พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนคัดแยกขยะอย่างง่ายก่อนทิ้ง ป้องกันปัญหาขยะอันตราย “เครื่องใช้ฟ้า-แบตเตอรี่-สารเคมี” ลอยไปกับน้ำ

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 รศ.ดร.น้ำฝน เอกตาเเสง อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลายลง พบว่า จ.สงขลา กำลังเผชิญกับวิกฤติซากขยะหลังน้ำลด หน่วยงานกำลังเร่งเก็บกู้ขยะที่มีมากกว่า 2.5 หมื่นตัน ส่วนตัวจึงขอเสนอแผนระบบการจัดการขยะหลังน้ำลด ออกเป็น 3 ระยะ คือระยะเร่งด่วน ระยะกลางเพื่อการฟื้นฟู และระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืน


รศ.ดร.น้ำฝน กล่าวว่า ในระยะเร่งด่วนเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ควรจะมีการกำหนดจุดทิ้งขยะในบริเวณที่ใกล้กับชุมชนมากที่สุด และเร่งรณรงค์ให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องการคัดแยกขยะ เพื่อให้ประชาชนคัดแยกในเบื้องต้นก่อนจะนำไปกองรวมที่บริเวณจุดทิ้งขยะที่ท้องถิ่นกำหนด เพราะขณะนี้มีขยะที่เกิดขึ้นหลายประเภท อาทิ ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล และที่น่ากังวลคือขยะอันตรายจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สารเคมี ฯลฯ ที่ลอยมากับน้ำท่วม

อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่อาจเกิดข้อจำกัดทำให้ประชาชนไม่สามารถดำเนินการคัดแยกขยะได้ด้วยตนเอง ควรจะมีหน่วยงานจากภาครัฐเข้าไปตั้งศูนย์เฉพาะกิจในบริเวณที่ใกล้กับชุมชนเพื่อดำเนินการคัดแยกขยะให้ประชาชน นอกจากนี้อยากจะให้หน่วยงานในพื้นที่ได้มีการประเมินความเสี่ยงจุดพื้นที่ในการทิ้งขยะ เพราะจากการพยากรณ์อากาศอาจจะยังคงมีฝนอยู่เล็กน้อย

“ตอนนี้จากที่ดูในภาพข่าวเหมือนนำขยะไปเทกองไว้ ส่วนตัวจึงอยากให้ประเมินเรื่องพื้นที่ในการทิ้งรวม อาจจะต้องเป็นพื้นที่สูง ห่างจากแหล่งน้ำ และมีระบบในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมซ้ำ เช่น ถ้าสามารถปูผ้าใบรองลงไปก่อนที่จะนำขยะมาเททิ้ง อย่างน้อยในกรณีที่มีฝนตกซ้ำ หากมีขยะอันตรายเข้ามาผ้าใบที่ปูไว้ก็จะเป็นปราการด่านแรกในป้องกันไม่ให้สารเคมีรั่วซึมปนเปื้อนลงดินได้ เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพของคนในพื้นที่” รศ.ดร.น้ำฝน กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปด้วยว่า ในระยะกลางเพื่อการฟื้นฟู ซึ่งอาจกินระยะเวลา 1 - 3 เดือน หลังจากนี้ ควรจะมีการประเมินการเก็บข้อมูลเชิงสถิติในปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นหลังภัยพิบัติ ว่ามีมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการออกแบบการรับมือขยะหลังภัยพิบัติต่อไป จากนั้นก็จะต้องเริ่มต้นกำหนดตำแหน่งและเส้นทางการขนย้ายขยะให้เกิดความรวดเร็วที่สุด

นอกจากนี้ หากภาครัฐ ภาคเอกชน มีกำลังไม่เพียงพอในการจัดการ ควรจะสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชนในชุมชน เช่น การคัดแยกขยะ หรือการนำขยะประเภทที่สามารถรีไซเคิลได้ไปสร้างมูลค่าเพิ่มแทนที่จะนำไปกำจัดอย่างเดียว และ ควรจะต้องเกิดกระบวนการทำงานที่บูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีการสื่อสาร และกำหนดมาตรการอย่างมีส่วนร่วม

รศ.ดร.น้ำฝน กล่าวถึงการแก้ปัญหาระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืนว่า การรับมือภัยพิบัติไม่เพียงแค่การประเมินเรื่องน้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือแผนในการเผชิญเหตุเท่านั้น แต่การวางระบบเชิงโครงสร้างเพื่อการจัดการปัญขยะภายหลังเกิดภัยพิบัติควรจะเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ควรจะมีการวางแผน การเตรียมความพร้อมเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ในระดับจังหวัดควรจะมีการกำหนดขั้นตอน มาตรฐาน หรือคู่มือการจัดการขยะหลังภัยพิบัติที่จะสามารถถ่ายทอดไปยังหน่วยงานท้องถิ่นได้ นอกจากนี้ก็จะเป็นเรื่องการสร้างและกำหนดเครือข่ายการทำงาน ว่าหากเกิดวิกฤติแล้วหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือ รวมไปถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยี เช่น การมีระบบรายงานแจ้งเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนสามารถแจ้งเข้ามาได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ โดยภาครัฐก็จะเข้าไปแก้ไขได้อย่างทันท่วงที หากทำได้ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะสามารถปรับโครงสร้างในการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตได้ ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าจุดในการทิ้งขยะ การรวมขยะควรจะเป็นตรงไหน และหน่วยงานก็จะเข้าใจบทบาทว่าควรขับเคลื่อนต่ออย่างไร

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top