วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นายกฯร่วม DSI แถลงปฏิบัติการ Operation Coppernead ทลายเหมืองบิทคอยน์เถื่อน โยงขบวนการจีนเทา-พม่า ยึดครื่องขุด 3,642 เครื่อง ทำรัฐเสียกว่า 3 พันล้านบาท
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะกรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงยุติธรรม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสอบสวนคดีพิเศษ นายธนะ โชค พระสมบัติ รองผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แถลงปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อนภายใต้ชื่อปฏิบัติการ "Operation Copperhead"
นายอนุทิน กล่าวว่า ได้รับเชิญมารับทราบความคืบหน้าจากดีเอสไอ กระทรวงยุติ ธรรม ในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและอุทัยธานี ซี่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ที่หัวใจสำคัญ คือเดินหน้าปราบปราม อาชญากรรมไซเบอร์ อาชญากรรมดิจิตอล สแกรมเมอร์ และการกระทำผิดออนไลน์ โดยรัฐบาลให้ความมั่นใจว่าจะดำเนินการอย่างเข้มงวดจริงจังกับอาชญา กรรมทางเทคโนโลยี จะตรวจสอบเส้นทางการเงิน การฟอกเงิน ยึดอายัดทรัพย์ สินที่กระทำผิดรวมถึงบัญชีม้า วันนี้ทำให้เห็นไอเดียเพิ่มขึ้นมากมายที่รัฐบาลต้องแก้ไข โดยได้เห็นอาชญากรรมอีกรูปแบบ กลุ่มจีนเทาหรือสัญชาติพม่า ที่เราไม่ต้องการให้อยู่ในไทย นอกจากทำธุรกิจผิดกฏหมายแล้ว ยังอุกอาจลักลอบขโมยกระแสไฟฟ้าใช้ ทำให้รัฐสูญเสียพลังงานสูงมาก รัฐบาลจึงต้องใช้ทุกหน่วยงานสืบสวนปราบปรามเพื่อจัดการเรื่องนี้ ซึ่งจะปกป้องเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นให้ประเทศไทย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงมหาดไทย จะได้ให้การไฟฟ้าภูมิภาค ดำเนินการตรวจสอบเรื่องลักลอบใช้ไฟฟ้าด้วย
ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการจับกุมครั้งนี้ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 ดีเอสไอและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน "Operation Copperhead" ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 6 จุด และจังหวัดอุทัยธานี จำนวน 1 จุด รวมจำนวน 7 จุด ประกอบด้วยโกดัง 4 จุด และบ้านพัก 3 จุด ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึด/อายัดเครื่องชุดบิดคอยที่จากโกดัง รวมทั้งสิ้น 3,642 เครื่อง ประมาณ 270 ล้านบาท มูลค่าระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ 30 ล้านบาท ประ เมินมูลค่าของอุปกรณ์ทุนตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์เถื่อนทั้งระบบรวม 4 จุด มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนใหญ่ซุกช่อนบิตคอยท์ไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ ที่ถูกดัดแปลงด้วยนวัตกรรมใหม่ในการเก็บเสียง และใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบการลักลอบใช้ไฟฟ้า
จากการขยายผลการสืบสวนพบว่าผู้บงการรายใหญ่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม "จีนเทา" เครือข่ายในพม่า ซึ่งโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติตรวจพบเส้นทางการเงินและผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกันเป็นเครือข่ายอย่างชัดเจน ดำเนินการกว่า 3 ปี ทำให้รัฐสูญรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อขยายผลเกี่ยวกับเส้นทางการฟอกเงินและการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง โดยเตรียมประสานความร่วมมือกับประเทศผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงทางการของจีน ซึ่งมีการหารือร่วมกันเบื้องต้นแล้ว เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีและสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ตรวจพบ คาดว่ามีเงินหมุนเวียนภายในเครือข่ายมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเส้นทางการเงินบางส่วนโยงเข้าสู่ระบบสินทรัพย์ดิจิตอล ประเภทบิตคอยน์ ทำให้เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้ให้กับกลุ่มจีนเทาและเครือข่ายสแกมเมอร์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ (31 ม.ค.2568) ดีเอสไอได้ปฏิบัติการ "รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ" (Bitforge Operation) ตรวจยึดเครื่องขุดบิตคอยน์จำนวน 1,788 เครื่อง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และทำการขยายผลสอบ จนพบการลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการชุดบิดคอยในกรณีดังกล่าว
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอ ได้ร่วมกันตรวจสอบของกลาง อุปกรณ์ที่ลักลอบใช้ไฟฟ้า ที่ดีเอสไอยึดมาได้จำนวนมาก พร้อมมอบนโยบายให้ดีเอสไอขยายผลปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบนี้ต่อไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี