นักการเมือง-จนท.รัฐ มีหนาว! ปปง.เตรียมเรียกบุคลลในภาพถ่ายคู่ เบน สมิธ ชี้แจงสัมพันธ์

นักการเมือง-จนท.รัฐ มีหนาว! ปปง.เตรียมเรียกบุคลลในภาพถ่ายคู่ เบน สมิธ ชี้แจงสัมพันธ์

วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 18.43 น.

'นักการเมือง-จนท.รัฐ'มีหนาว!! ใครถ่ายภาพคู่ 'เบน สมิธ' จ่อเชิญชี้แจง'ปปง.-ป.ป.ช.' หลังประสานเดินหน้าลุยตรวจสอบเส้นทางเงิน - ธุรกรรมเชื่อมโยง -เอื้อประโยชน์หรือไม่  ป.ป.ช. พร้อมฟันร่ำรวยผิดปกติ  โดยไม่ต้องรอใครร้องทุกข์กล่าวโทษ ขณะที่ประเด็นยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน ก๊วน"ก๊กอาน-เฉิน จื้อ-เบน สมิธ" ทั้งหมดต้องชี้แจงภายใน 30 วัน ก่อน ปปง. สรุปสำนวนส่งอัยการเสนอศาลสั่งชดใช้คืนผู้เสียหาย

เวลา 15.30 น. วันที่ 11 ธันวาคม 2568 ที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน( ปปง. )กรุงเทพฯ นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. ในฐานะโฆษก ปปง. และนายพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. ร่วมกันเปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมหารือครั้งที่ 1/2568 ในประเด็นที่ ปปง. ได้ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สินเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติกว่า 10,165 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 4 รายคดีสำคัญ คือ รายคดีนายเฉิน จื้อ, รายคดีนายก๊ก อาน, รายคดี น.ส.แตงไทย กับพวก และรายคดีนายเอื้ออังกูร  กับพวก ว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าพนักงานของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเอื้อประโยชน์อย่างไร หรือไม่ รวมถึงประกาศสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เรื่อง บุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง พ.ศ. 2568 และกรณีที่นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ประสานขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงาน ปปง. ดำเนินการตรวจสอบบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอีฯ ในยุคสมัยของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore หลังจากพบเส้นทางเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก แต่ใน MOU ได้ระบุว่า จะร่วมกันจัดทำโครงการศูนย์กลาง ธุรกิจดิจิทัลและการเงิน (TIDC)


โดย นายพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ตามที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงาน ปปง. ได้มีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติกว่าหมื่นล้านบาท ที่อาจมีเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าพนักงานของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง มาเอื้อประโยชน์ หรือมาร่วมหรือไม่ และเรายังขอชื่นชมประกาศของ ปปง. ที่มีการกำหนดรายละเอียดบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง เพราะจะเป็นไปตามที่ กฎหมาย ป.ป.ช. ได้กำหนดไว้อยู่แล้ว ทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อจะได้ประสานข้อมูลร่วมกันในอนาคต และบังคับใช้กฎหมายร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังได้ประสานข้อมูลสำคัญกับ ปปง.เพื่อป้อง กันการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าพนัก งานของรัฐเพื่อรับแจ้งข้อมูลเบาะแสจากสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนสกัดเหตุได้ทันท่วงที

นายพัฒนพงศ์ เผยอีกว่า สำหรับข้อมูลการยึดและอายัดทรัพย์สินหมื่นล้านบาทของ ปปง. ในคดีสแกมเมอร์ข้ามชาติที่ผ่านมา จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น เบื้องต้น ป.ป.ช. ได้รับแจ้งว่า ปปง.อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบ แต่ตอนนี้ตอบได้ว่ายังไม่มีปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ระหว่างการขยายผลนี้ ปปง.ก็จะดูว่ามีการโอนเงินมาจากแหล่งเงินใดบ้าง แล้วจะนำไปสู่การดูเพิ่มเติมว่าเงินนั้นมีเจ้าหน้าที่รัฐมาเกี่ยวโยงหรือไม่ หรือมีบริษัท หน่วยงานรัฐใดไปทำธุรกรรมร่วมกับตรงนั้นบ้าง อาทิ เรื่องภาษี เป็นต้น โดยการทำงานร่วมกันระหว่าง ป.ป.ช.และ ปปง.จะใช้กฎหมายของทั้งสองหน่วยงานควบคู่กัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งในเชิงรุกและเชิงลึก พร้อมเปิดรับข้อมูลจากสื่อและประชา ชน เพื่อเร่งสกัดปัญหาทุจริตให้ทันท่วงที

นายพัฒนพงศ์ ยังชี้แจงบทบาทของ ป.ป.ช.ว่า จะตรวจสอบเส้นทางการเงินและเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นระดับปฏิบัติการหรือระดับผู้บริหารนโยบาย หากพบว่ามีการใช้อำนาจมิชอบ หรือเอื้อประโยชน์ จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หากเจ้าหน้าที่รัฐมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ป.ป.ช. สามารถไต่สวนเรื่องร่ำรวยผิดปกติได้ รวมถึงการตรวจสอบภาพถ่ายกับบุคคลตามข่าว ซึ่งภาพถ่ายเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ถูกกล่าวหาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น จะต้องดูพฤติการณ์ว่ามีการเอื้อประโยชน์โดยมิชอบหรือไม่ โดยไม่ต้องรอเจ้าทุกข์แจ้งเรื่องร้องเรียน ทาง ป.ป.ช. ทำหน้าที่แทนรัฐ สามารถเริ่มไต่สวนได้ทันทีหากมีเหตุอันควรสงสัย โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ

นายพัฒนพงศ์ ระบุว่า กรอบเวลาไทม์ไลน์ว่าเราจะตรวจสอบย้อนหลังไปกี่ปีนั้น ด้วยความที่ ปปง. อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบจึงขอรอข้อมูลตรงนี้ก่อน แต่ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่ไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหน่วยงานกระทรวงใดที่ปรากฏเป็นข่าว เราก็ต้องไปดูรายละเอียดว่ามีอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐไปเอื้อประโยชนหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจใช้อำนาจปกติ ไม่ได้มีเจตนาอื่น หรือเข้าไปเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ แต่ถ้าหากเอื้อประโยชน์จริงก็จะเข้าข่ายความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ตามอำนาจกฎหมายป.ป.ช.
ซึ่งมีกรอบอายุความที่ 15-20 ปี ระยะเวลาเรามีพอสมควร แต่เราจะไม่รอให้ถึงวันนั้น เราจึงต้องทำงานเชิงรุก ให้ ปปง. เดินหน้าตรวจสอบธุรกรรม แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์จริง ป.ป.ช. จะเข้าไปจัดการในส่วนนี้

สำหรับเรื่องภาพถ่ายที่ปรากฏว่ามีข้าราช การระดับสูงของไทยหลายคนไปเกี่ยว ข้องกับนายเบน สมิธ อีกทั้งชื่อของนายเบนฯ ก็ยังไปอยู่โครงการอื่นๆในรัฐบาลก่อนหน้านี้ ดังนั้น หากกระทรวง หน่วยงานใดของไทยเคยมีการทำกิจกรรมโครงการร่วมกับนายเบน หรือบริษัทของนายเบน ทาง ปปง. และ ป.ป.ช. จะตรวจสอบตรงนี้เลยหรือไม่นั้น นายพัฒนพงศ์ ยืนยันว่า เราจะเริ่มจากตรงนี้เช่นกัน และจะเริ่มจากข้อมูลของสื่อมวลชนที่มีการนำเสนอรายงานกันด้วย โดยจะนำไปประมวลข้อเท็จจริงว่าเกี่ยวข้องกับบริษัทใดบ้าง และบริษัทต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการรัฐนั้นๆๅๅๅได้อย่างไร มาอย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ มีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนไปเอื้อประโยชน์ ช่วยเหลือ สนับสนุนหรือไม่ เพราะว่าคดีอาญาในส่วนของ ป.ป.ช. เราต้องทำตามพยานหลักฐาน เพื่อให้สอด คล้องกับอำนาจกฎหมายฐานทุจริตต่อหน้าที่

เมื่อถามว่าบางภาพถ่ายก็ปรากฏถึงขนาดมีอดีตนายกรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงไปร่วมถ่ายภาพกับนายเบน สมิธ จะต้องเชิญให้ข้อมูลด้วยหรือไม่ นายพัฒนพงศ์ ระบุว่า ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระ เรามีอำนาจตรวจสอบระดับผู้บริหารสูงสุด ทั้งข้าราชการฝ่ายการเมืองและระดับปฏิบัติการ เราเป็นหน่วยงานมืออาชีพอยู่แล้ว ถ้ามีเจ้าหน้าที่รัฐไปเกี่ยวข้อง ป.ป.ช. ก็ต้องถือธงนำดำเนินการ

ด้าน นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. และฐานะโฆษก ปปง. เผยว่า กรณีว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐมาเกี่ยวข้องกับเงินหมื่นกว่าล้านบาทที่ ปปง. ยึดและอายัดมาจากคดีสแกรมเมอร์ข้ามชาติหรือไม่นั้น ยืนยันว่า เราต้องดูทุกกระบวนการ แต่ในเบื้องต้น ปปง.เน้นไปที่การยึดอายัดทรัพย์สินที่เชื่อได้ว่ามาจากการกระทำความผิดก่อน ๆหลังจากนั้น จึงจะดูที่กระบวนการโอนเงิน การรับโอน เส้นทางการเงินว่ามันมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องในส่วนไหน อย่างไร นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องบันทึกข้อตกลง MOU ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้มีการจัดทำร่วมกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ นั้น ประเด็นนี้ ป.ป.ช. ก็มีข้อสังเกตว่ามันจะเป็นเรื่องเดียวกันด้วยหรือไม่ จึงทำให้ ปปง. และ ป.ป.ช. ต้องประสานข้อมูลกันต่อไปสักระยะ เพื่อติดตามดำเนินการ แต่เราก็ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดแน่นอน ซึ่งถ้าเรื่องใดมันพอขยายผลไปต่อได้ อย่างน้อย ป.ป.ช. ก็จะได้ทำในส่วนของมูลฐานคดีทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ได้ ส่วน ปปง. ก็ค่อยมาต่อยอดในคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินที่มาจากการกระทำความผิด หรือแม้ท้ายสุดไม่เจอคดีมูลฐาน แต่เรากลับเจอธุรกรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมากที่ไม่สามารถให้คำตอบได้ ไม้ตายของ ป.ป.ช. ก็คือการดำเนินการเกี่ยวกับร่ำรวยผิดปกติ ทั้งนี้ โดยกระบวนการมันต้องมีเจ้าหน้ารัฐไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่มันก็ต้องดูว่าเขาทำถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าไปรู้เห็นเป็นใจให้คนเหล่านี้ เราก็ต้องพิสูจน์ทราบต่อไป

นายวิทยา ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวนหมื่นกว่าล้านบาทในคดีสแกมเมอร์ และการขยายผลสู่เจ้าหน้าที่รัฐว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนยึดและอายัดทรัพย์สินชั่วคราว โดยเจ้าของทรัพย์สินมีเวลา 30 วันในการเข้ามาชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน ว่าไม่ได้มาจากการกระทำความผิด โดยให้นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือจาก ปปง. และหากชี้แจงที่มาของทรัพย์ไม่ได้ ทาง ปปง. จะส่งเรื่องให้อัยการเพื่อเสนอศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินมาเฉลี่ยชดใช้คืนให้ผู้เสียหาย​ส่วนการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐ นายวิทยา บอกว่า เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงชัดเจน แต่กำลังขยายผลดูเส้นทางการเงินว่ามีส่วนไหนที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปรู้เห็นเป็นใจ หรืออำนวยความสะดวกในการโอนย้ายถ่ายเทหรือไม่

ส่วนกรณีภาพถ่ายคนดังกับผู้ถูกกล่าวหา นายวิทยา ยอมรับว่าเป็น "จุดเริ่มต้น" ของการตรวจสอบความสัมพันธ์ แต่ลำพังแค่ภาพถ่ายยังบอกไม่ได้ว่าผิด ต้องพิสูจน์ทราบถึง "ความสัมพันธ์เชิงลึก" และธุรกรรมทางการเงิน พร้อมยืนยันว่าหน่วยงานรัฐสงสัยเช่นเดียวกับประชาชน และขอเวลาตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย​เมื่อถามว่าอาจมีการโยกย้ายทรัพย์สินไปก่อน ปปง. จะมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์ได้นั้น นายวิทยา ยอมรับว่า อาจมีข่าวรั่วนานแล้ว ก็อาจมีการโยกย้ายทรัพย์ไปบ้าง แต่ ปปง. ใช้มาตรการ "มีเหตุอันควรเชื่อ" เข้ายึดและอายัดทรัพย์ไว้ก่อน ซึ่งยอด 1 หมื่นล้านบาทถือว่าจำนวนมากและเป็นรูปธรรมแล้ว

การตรวจสอบเรื่องนี้มีความกังวลว่าจะไม่ถึงตัวการใหญ่ นายวิทยา บอกว่า ขอให้รอดูเพราะทุกอย่างเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ส่วนใครจะปรามาสอย่างไรขอให้รอดูบทสรุป ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


ส่วนกรณีที่เบน สมิธถ่ายภาพร่วมกับบุคคลร่วมกับบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงระดับประเทศ จะมีการเรียกมาตรวจสอบหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า จะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาตรวจสอบถึงความสัมพันธ์ โดย ปปง. ระบุว่าภาพถ่ายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถชี้ชัดความผิด จะต้องมีปัจจัยอื่นๆ ถึงจะมีความเป็นธรรมกับทุกคน ซึ่งจะต้องตรวจสอบเชิงลึกว่ามีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินมากน้อยเพียงใด ส่วนสุดท้ายจะเป็น "มวยล้มต้มคนดู" หรือไม่ หรือมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปก่อนหน้าที่จะมีการยึดและคืนในที่สุด นายวิทยา ระบุว่า ขอให้รอดูผลการปฏิบัติของเรา


ส่วนกรณีที่กระทรวงดีอีฯ ได้ทำ MOU ร่วมกับบริษัทเอกชนในสิงคโปร์ นั้น นายวิทยา บอกว่า เรื่องนี้จะต้องมีการติดตามสืบสวนสอบสวนให้เกิดความชัดเจนก่อนว่าเป็นโครงการดำเนินการอย่างไรบ้าง  เพราะในกระบวนการโดยปกติจะต้องมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่จะต้องดูในขั้นตอนการดำเนินการว่าทำถูกต้องหรือไม่ และรู้เห็นเป็นใจให้กับกลุ่มบุคคลเหล่านี้หรือไม่ นอกจากนี้ กรณีที่เคยมีกระทรวงหน่วยงานใดของไทย หรือบริษัทนิติบุคคลใดได้เคยทำโครงการ หรือสัญญาการจ้างกับนายเบน สมิธ หรือบริษัทของนายเบน สมิธ นั้น เราก็จะดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังเช่นเดียวกัน 
///

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top