วันจันทร์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สนามบินสุวรรณภูมิประชุมด่วนฝ่ายความมั่นคงป้องกันโดรนเข้าพื้นที่เตรียมจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันเร่งด่วนหลังจาก สมช. ผ่านกฎหมายและอนุมัติให้จัดหา
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงทุกหน่วยงานแบบเร่งด่วน วางแผนเผชิญเหตุกรณีพบโดรนใกล้พื้นที่สนามบิน พร้อมเดินหน้าจัดหาอุปกรณ์ต่อต้านโดรนขั้นสูง หลังสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เห็นชอบและอนุมัติให้ดำเนินการตามกรอบกฎหมาย เพื่อยกระดับความปลอดภัยสูงสุดด้านการบิน
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ที่ ห้องประชุมสำนักงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นาย กิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค พล.ต.ต.ภูมินทร์ สิงหสุต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ นั่งเป็นประธานหัวโต๊ะในการเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากกองทัพอากาศ กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และฝ่ายปกครอง รวมถึงฝ่ายข่าวกรองด้านความมั่นคง เข้าร่วมประชุมถกวาระสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องแผนเผชิญเหตุกรณีพบโดรนใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โดยที่ประชุมใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงเศษ ก่อนที่จะเลิกการประชุมและออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
นาย กิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ออกมาแถลงข่าวบอกว่า จากกรณีช่วงค่ำคืนของวันที่ 20 ธันวาคม 68 ที่ผ่านมา มีชาวบ้านแจ้งเบาะแสพบโดรนบินรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ทางสนามบินได้ดำเนินการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิร่วมกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานออกตรวจหาโดรนตามที่ชาวบ้านแจ้งเบาะแส ซึ่งในค่ำคืนดังกล่าวตนเองและผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ลงพื้นที่ตรวจหาด้วยตนเองเช่นกัน ซึ่งจากการตรวจสอบในค่ำคืนดังกล่าว พบว่ามีโดรนบินใกล้เคียงสนามบินจริงแต่เน้นย้ำว่ายังไม่มีการเข้ามาในพื้นที่ชั้นในของสนามบินแต่อย่างใด หลังจากมีการตรวจพบโดรนบินนอกรั้วของสนามบิน จึงมีการเข้าแผนเผชิญเหตุทันที ซึ่งมีการประสานการปฏิบัติฝ่ายความมั่นคงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกองทัพอากาศ ได้นำเครื่องมือในการตรวจจับและป้องกันโดรนที่จะเข้ามาในพื้นที่สนามบิน เข้ามาติดตั้งทันทีภายในค่ำคืนดังกล่าว เพื่อไม่ให้ลุกล้ำเข้ามาในเขตของสนามบิน โดยประสานร่วมกับศูนย์บังคับการบินหรือวิทยุการบินเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของเครื่องบินในการขึ้นลงที่สนามบิน หลังจากนั้นในค่ำคืนที่สองยังปรากฏพบโดรนบ้างปะปลายตามข่าว ซึ่งจากการพิสูจน์ทราบพบว่ามีจำนวนน้อยกว่าในค่ำคืนวันแรก ขณะนี้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีหน่วยงานความมั่น3 หน่วยงานหลักในการเข้ามาบูรณาการกำลังในการเฝ้าระวัง คือ กองทัพบก กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะคอยมอนิเตอร์และเฝ้าระวังโดรนที่จะเข้าในพื้นที่ จึงขอให้ความมั่นใจแก่ประชาชนหรือนักท่องเที่ยวที่จะมาใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นั้น มีความปลอดภัยสูงสุดแน่นอนทั้งนี้จึงอยากฝากเตือนสำหรับใครก็ตามที่คิดจะฝ่าฝืนบินโดรนในพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิหรือท่าอากาศยานทุกแห่ง นั้น จะมีโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต จึงขอให้คิดและตะหนักไว้ให้ดีถึงโทษสูงสุด เนื่องจากพื้นที่สนามบินเป็นพื้นที่ความปลอดภัยและความมั่นคงสูงสุด
ส่วนมาตรการระยะยาว หลังจากที่นายกรัฐมนตรีและฝ่ายความมั่นคงเรียกประชุมด่วนที่ สมช. ซึ่งที่ประชุมได้มีการอนุมัติให้ทางท่าอากาศยานไทยจำกัดได้จัดซื้อเครื่องมือที่จะแอนตี้โดรนที่ทันสมัยที่สุดเพื่อรองรับภัยจากโดรนทุกรูปแบบ ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการจัดหาเครื่องมือดังกล่าวในระยะหนึ่ง แต่ก็จะเร่งรัดในการดำเนินการ ส่วนมาตรการเร่งด่วนเกี่ยวกับเครื่องมือดังกล่าวในระหว่างที่รอจัดหานั้น ขณะนั้นทางด้านกองทัพอากาศจัด ชุดอุปกรณ์ต่อต้านอากาศยาน Red Sky-II จำนวน 1 ชุด ปืน Drone Killer จำนวน 1 กระบอก ปืน Drone Defender จำนวน 2 กระบอก ปืนลูกซอง Tomahawk จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุน 20 นัด นอกจากนั้นทางด้าน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังสนับสนุน ระบบ Anti-Drone จำนวน 1 ชุด ยืนยันในขนาดนี้ทุกอย่างอยู่ในแผนการปฏิบัติอย่างรัดกุม และมีความปลอดภัยสูงสุด พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ไปยังนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพื่อสร้างความมั่นใจที่จะเข้ามายังประเทศไทย ผ่านทางสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินในสังกัด ทอท. ทุกแห่ง
ด้าน พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ระบุว่า ในส่วนของยุทธการในการดำเนินการป้องกันและเฝ้าระวังโดรนที่จะเข้ามาในพื้นที่ของสนามบินสุวรรณภูมินั้น ขณะนี้มีทางด้านกองทัพอากาศเป็นแม่งานหลักในการทำงาน ซึ่งมีตำรวจภูธรภาค 1 โดยเฉพาะตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ในการเข้าแผนการปฏิบัติ ซึ่งขนาดนี้นอกจากกองทัพอากาศที่จะส่งเครื่องมือในการป้องกันโดรนเข้ามายังสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังส่งเครื่องมือดังกล่าวเข้ามาสนับสนุนด้วยเช่นกัน ส่วนมาตรการเฝ้าระวังนอกจากนี้ ตนเองยังสั่งการไปยังผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ให้ควบคุมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ด้วยตนเอง พร้อมกำชับการตั้งด่านตรวจโดยรอบของสนามบินตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรายงานผลการปฏิบัติมายังตนเองโดยตรง ส่วนมาตรการเชิงลุกนั้น ได้สั่งการให้ออกสำรวจผู้ที่ครอบครองโดรนทุกชนิดต้องจัดทำประวัติทั้งตัวโดรนและผู้ครอบครอง อีกทั้งต้องมีการขึ้นทะเบียนและขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมประชาสัมพันธ์ในเรื่องของมาตรการการรักษาความปลอดภัย นอกจากนั้นยังให้อกสำรวจร้านค้าที่จำหน่ายโดรนรวมถึงคลังสินค้าที่เก็บโดรนในพื้นที่เพื่อป้องกันการลักลอบน้ำโดรนผิดกฎหมายมาใช้ นอกจากนั้นยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ไปสำรวจตามหอพักและสำรวจบุคคลต้องสงสัยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาจเกี่ยวข้องด้านความมั่นคงในพื้นที่อีกด้วย ส่วนประเด็นที่มีชาวบ้านไปพบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขับขี่รถเข้ามายังพื้นที่ของเอกชนเพื่อถ่ายรูปเครื่องบินนั้น ตรงนี้ยังไม่ได้รับรายงาน
ขณะที่แหล่งข่าวของทีมข่าวออกมาระบุว่ากรณีดังกล่าวเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชื่นชอบการถ่ายรูปเครื่องบินเท่านั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องของความมั่นคงแต่อย่างใด มีการพบตัวและเชิญตัวมาพิสูจน์ทราบแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
ทั้งนี้ทางด้าน ผู้นวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังฝากทิ้งท้ายถึงพี่น้องประชาชนโดยรอบสนามบิน เกี่ยวกับการสังเกตแสงไฟบนท้องฟ้า ขอให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนกเมื่อพบเห็นแสงไฟ โดยรอบสนามบิน ซึ่งส่วนใหญ่ที่ชาวบ้านพบเห็นนั้นจะเป็นแสงไฟจากเครื่องบิน เนื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิจะมีไฟท์บินเข้าออกวันละเกือบพันไฟท์ โดยข้อสังเกตของการมองดูระหว่างโดรนกับเครื่องบินนั้น หากเป็นแสงไฟ ถ้าเป็นเครื่องบินจะมีแสงไฟแฟลซกระพริบสีขาว ส่วนโดรนจะไม่มีแต่อย่างใด และหากเป็นโดรนจะต้องได้ยินเสียงของบัดพัดที่ค่อนข้างได้ยินชัดเจนโดยเฉพาะหากบินไม่สูงมากนัก ทั้งนี้ฝ่ายความมั่นและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิพร้อมที่จะเข้าไปพิสูจน์ทราบหากมีประชาชนแจ้งเบาะแสเข้ามา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี