'มาร์ค'จี้รบ.ขจัดโกงก่อนถูกเมิน ชี้อย่าใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียว
วันศุกร์ ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558, 13.22 น.
Tag :
2 ม.ค. 58 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาราคาสินคาเกษตรของรัฐบาลว่า ตนมีแนวความคิดในเรื่องการแก้ปัญหาที่อาจจะไม่ตรงกับรัฐบาล เพราะตนมองว่า จะด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือด้วยความกังวลทางการเมือง ทางรัฐบาลก็ไปมองว่า นโยบายการประกันรายได้ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์กับนโยบายจำนำข้าว เป็นโยบายลักษณะเดียวกับซึ่งมันไม่ใช่ เพราะนโยบายการประกันรายได้ ไม่ได้ไปกระทบกับการซื้อข่ายในตลาดข้าว แล้วเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง ถ้าจะมีประเด็นต้องปรับปรุงคือ ดูความรัดกุมในด้านการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การกำหนดราคาอ้างอิงที่ใช่ในการคำนวณการจ่ายเงินให้เกษตรกร ที่สะท้อนความเป็นจริงให้ดี แต่จะเป็นนโยบายที่ทำให้เกษตรกรมีความมั่นใจ ในเรื่องการประกันรายได้ รัฐบาลปฏิเสธการช่วยเหลือในเรื่องนี้ และปฏิเสธนโยบายจำนำข้าว แล้วไปยึดถือเอาว่า จ่ายเงินต่อไร่ โดยที่คิดว่า เร่งจ่ายจะทำให้เกิดผลที่ดีกว่า หรือ แต่อาจจะมองข้ามไปว่าการจ่ายไปแล้ว ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าราคาข้าวซื้อขายอยู่ที่เท่าไร และในความเป็นจริงผู้ที่อยู่ในตลาดข้าว ทราบว่าเกษตรกรได้รับความช่วยเหลือก็จะส่งผลต่อการซื้อขาย ทำให้ราคาต่ำลง เมื่อราคาต่ำ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไรหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่าในส่วนของข้าว เนื่องจากมีปัญหาเรื่องน้ำ ก็จะมีประเด็นเรื่องรายได้จากนาปรัง รัฐบาล ใช้คำว่าขอความร่วมมือมีโครงการงดปลูกข้าว แต่ความจริงในความคิดของตนที่เสนอว่า ควรมีความชัดเจนว่ารายได้เกษตรกรที่งดปลูกข้าวจะมาจากตรงไหนอย่างไร และรัฐจะช่วยเกษตรกอย่างไร หากเกษตรกรให้ความร่วมมือในเรื่องของนาปรัง ถึงวันนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะมีนโยบายอะไรออกมาอีก
ส่วนเรื่องยางพารานายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็เช่นเดียวกัน ในยุคที่ราคายาง มีการบริหารจัดการและได้ราคาดีพอสมควร มาตรการหลักไม่เคยมีการเอาเงินมาทุ่มเพื่อซื้อ และปัญหาที่มีในปัจจุบันคือ สต๊อกที่เกิดจากการไปซื้อมาแล้วมาเก็บเอาไว้ของรัฐบาลที่แล้ว สิ่งที่จะช่วยคือถ้ารัฐบาลมีความชัดเจนว่า ยางในส่วนนี้ จะทำอย่างไร ไม่ให้มากระทบกับตลาด หลักพื้นฐานคือ ทำอย่างไรไม่ให้มีการเอามาขายอีก ปัญหาคือรัฐบาลยังพูดไม่ชัด และเมื่อพูดไม่ชัดในตลาดเขาก็มองออกว่ามียางในส่วนนี้อยู่ ก็ทำให้ราคายางขยับยาก อดีตส.ส.ของพรรคเองก็เคยไปยื่นหนังสื่อว่ารัฐบาลควรมีความชัดเจน สภาพตลาด ก็แน่นอนอาจจะไม่เอื้ออำนวยให้ได้ราคาสูงเหมือนในอดีต แต่ในราคาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันชาวสวนยางเดือดร้อนอย่างมาก ทำให้กระทบกำลังซื้อทั้งหมด และยังมาเจอนโยบายพลังงานที่ออกมาซ้ำเติมในเรื่องก๊าซหุงต้ม
“ คงมีประเทศไทยประเทศเดียว ในภาวะที่น้ำมันโลกลดลงไปครึ่งหนึ่ง แต่ราคารถแท็กซี่กลับมีการปรับราคาสูงขึ้น และนโยบายนี้จากการตรวจสอบแล้วพบว่า ความคิดที่จะให้ประชาชนกับภาคอุตสาหกรรม ต้องจ่ายในราคาเดียวกัน คือราคาที่สูงกว่าที่ ปิโตรเคมี ใช้ ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่ถูกต้องตามหลักการ เพราถือว่าก๊าซธรรมชาติเป็นของประชาชนทุกคนและเขาควรจะได้ใช้ในเรื่องการหุงต้มในราคาต้นทุน และไม่ถูกต้องเพราะเป็นการไปซ้ำเติมปัญหาเรื่องกำลังซื้อของประชาชนอย่างชัดเจน และ ทั้งหมดยังเป็นปัญหาอยู่ ก็จะเป็นเรื่องยากในการกระตุ้นเศรษฐกิจ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ในเรื่องนโยบายพลังงานดูเหมือนจะสวนทางกับตลาดโลก ในปี 2558 ปัญหาจะมีต่อเนื่อง ไปหรือไม่อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ที่คาดหมาย เชื่อว่าราคาน้ำมันตลาดโลกค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ว่าเราจะใช้ประโยชน์ อย่างไร กับก๊าซหุงต้มก็เช่นกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่รัฐบาลไปมีนโยบายเองว่า ทุกคนต้องจ่ายเท่ากันแต่ความจริง ปิโตรเคมีขณะนี้จ่ายถูกกว่า และในส่วนของน้ำมันที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งที่จะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ที่ขณะนี้มีเงินอยู่เกือบหมื่นล้านนท หากทำอย่างนี้ต่อไปก็จะมีเงินไหลเข้ากองทุนฯเดือนละ 3-4 พันล้านบาท เลยกลายเป็นว่า ราคานำมันโลกถูกลงแต่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์ด้วยการเก็บเงินเข้ากองทุนมากกว่าที่จะส่งต่อให้ประชาชน เพื่อให้เขามีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นและตนคิดว่าในที่สุด นโยบายแบบนี้รัฐบาลต้องปรับ และถ้าปรับช้าเท่าไรก็จะทำเสียโอกาสของประชาชนและเศรษฐกิจ และหลังจากที่มีเสียงเรียกร้องให้มีการลดราคาน้ำมันดีเซล สุดท้ายเริ่มส่งผลในเรื่องของเรือขนส่ง รถร่วมบขส.จะเห็นได้ว่า ถ้าตระหนักว่า ตรงนี้คือต้นทุนของประชาชนและของระบบเศรษฐกิจ และเมื่อลดแล้วจะเกิดประโยชน์กับทุกคน มันก็จะไปได้ แต่เผอิญว่ารัฐบาลนี้กลับไปมีนโยบายอีกว่า ดีเซลกับเบนซินเป็นน้ำมันเหมือนกัน ไม่มีการแยกว่า อันหนึ่งเป็นการใช้ส่วนบุคคล หรือ อีกอันเป็นการใช้ในภาคธุรกิจ จึงมีนโยบายเก็บภาษีเบนซินและดีเซลให้เท่ากันอีก จึงเป็นปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมกระเตื้องยาก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า ในเรื่องท่องเที่ยวก็เช่นกันแม้จะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังมีปัญหาในเรื่อง กฎอัยการศึก ที่เป็นปัญหา เพราะชาวต่างประเทศที่มาเที่ยวประเทศไทย เมื่อเขาซื้อประกันไม่ได้ เขาก็ไม่ลงไปดูในรายละเอียดเรื่องที่ว่ารัฐบาลจะให้อะไรพวกเขาหรือไม่อย่างไร ตรงนี้จึงเป็นจุดที่ต้องรอการตัดสินของรัฐบาลว่าจะมีการทบทวนการเรื่องหลักๆอย่างนี้หรือไม่ เพราะการจะไปหวังการส่งออกหรือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลดูจะเป็นเรื่องยาก และในเรื่องการลงทุนโดยธรรมชาติของนักลงทุน จะมองว่าหากประเทศยังมีภาวะไม่ปกติ เขาก็จะรอในปีถัดไป การกระตุ้นกำลังซื้อประชาชนเองก็เป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อถามว่า เรื่องการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศมองว่า เราต้องมีนโยบายอะไรใหม่ๆมานำเสนอหรือไม่หรือคงต้องรอความชัดเจนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อน นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนโยบาย ไม่จำเป็นต้องรอรัฐธรรมนูญ ตนเข้าใจว่า ทาง บีโอไอ ก็มีการปรับนโยบาย เพื่อจัดระบบใหม่ โดยต้องการให้มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีหรือเพิ่มมูลค่าเสริม และ ให้แรงจูงใจเรื่องที่จะมีการวิจัย ซึ่งก็เป็นทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนรายละเอียดเรื่องสิทธิ์ประโยชน์ก็จะต้องมีการประเมินและติดตาม แต่โดยรวม ถ้าเร่งทำให้เกิดความมั่นใจ ในระยะปานกลาง ระยะยาว ว่าประเทศไทยเดินได้ตามภาวะปกติ ตัวนั้นจะเป็นตัวช่วยมากที่สุด ในแง่ของความเชื่อมั่น และรวมถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เป็นอุปสรรคมาโดยตลอด ต้องมีรูปธรรมว่ามีการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นตัวที่ทำให้นักลงทุน มองว่าเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมามากถึง 20-30% ที่ต้องตัดออกไปให้ได้