‘อิ๊งค์’ ยินดี หลังสภาฯ ผ่าน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ก้าวสำคัญของการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
6 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ซึ่งผ่านการพิจารณาและแก้ไขเพิ่มเติมโดยวุฒิสภา ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 421 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง นับเป็นก้าวสำคัญในการตรากฎหมายว่าด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ฉบับแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม สร้างความเสมอภาค และส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดีกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศ โดยระบุว่า "วันนี้คือหมุดหมายสำคัญของสังคมไทย รัฐบาลและกระทรวงวัฒนธรรมได้ผลักดันกฎหมายฉบับนี้อย่างเต็มที่ เพราะเป็นสิ่งที่พี่น้องชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์รอคอยมานาน เพื่อให้มีหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม เข้าถึงโอกาสอย่างเต็มภาคภูมิ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดิฉันเชื่อมั่นว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานทุนวัฒนธรรม และทำให้วิถีวัฒนธรรมชาติพันธุ์จะได้รับการคุ้มครอง”
นางสาวแพทองธาร กล่าวด้วยว่า “องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 9 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันรณรงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ การผ่านพระราชบัญญัติในช่วงเดือนสิงหาคมมีความสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่งสำหรับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่พร้อมโอบรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม สร้างสังคมแห่งความเสมอภาค ยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกกลุ่มคน ดิฉันจึงขอแสดงความยินดีและบอกกับพี่น้องชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยว่า นี่เป็นหมุดหมายสำคัญของสังคมไทยที่จะโอบรับพี่น้องทุกกลุ่มวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันเป็นพลังสร้างสรรค์ชาติของเรา”
พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ มีเจตนารมณ์ให้เป็นกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรม ตามหลักการมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 คือการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม โดยคุ้มครองชาวไทยทุกกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิ และสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อสร้างโอกาสแห่งการพัฒนาของประเทศ และสร้างความเสมอภาค ด้วยความเท่าเทียมอย่างเป็นธรรม โดยจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนด้วยทุนวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในเวทีระดับสากลในฐานะประเทศที่โอบรับความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์และวิถีวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเห็นชอบ มีสาระสำคัญ ในการกำหนดหลักพื้นฐานแห่งสิทธิและการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีสิทธิและเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุความแตกต่างทางเชื้อชาติ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดนโยบายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พร้อมกับสร้างกลไกการส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยกำหนดให้จัดตั้งสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแนวทางหรือมาตรการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีการจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ เพื่อคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ รวมทั้งมีการกำหนดให้มีการจัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในการเข้าถึงทรัพยากร เป็นแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตบนฐานเศรษฐกิจวัฒนธรรม ที่ให้หลักประกันว่าชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์จะมีความมั่นคงในชีวิต สามารถประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ดำรงอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติจะถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป และถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทยในการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี