“พรรคการเมือง”ดาหน้าถล่มยับ 4 ปี คสช. “เพื่อไทย”ออกตัวแรง แฉ 7 ข้อล้มเหลว พาชาติดำดิ่งสู่ยุคมืด ประกาศ “บอยคอตต์” ไม่ร่วมสังฆกรรมกำหนดวันเลือกตั้ง “หญิงหน่อย” อัดซ้ำเลวร้ายกว่ายุค รสช. “ประชาธิปัตย์” ร้องยี้ จวกอย่าทำตัวเป็นคู่ขัดแย้ง ด้าน“ทหาร”เตรียมจัดหนักแจ้ง 3 ข้อหา “เพื่อไทย” จับตาโดนหนักยกพรรค ตั้งแต่เด็กยันกรรมการบริหาร
ยิ่งใกล้วันครบรอบ 4 ปี การรัฐประหารของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มากเท่าไร ก็ยิ่งดูเหมือนว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะยิ่งร้อนระอุเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ที่เริ่มแผลงฤทธิ์เปิดหน้าออกมาชนกับ คสช. ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวในการบริหารงานช่วง 4 ปีทีผ่านมา กันอย่างดุเดือนและรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เพื่อไทยลองของ!ถล่ม4ปีคสช.
โดยเมื่อวันที่ 17 พฤษพคม พรรคเพื่อไทยได้มีการจัดแถลงข่าว “4 ปีที่ล้มเหลวของรัฐบาล และ คสช. นำประเทศไปสู่ความมืดมนและอันตราย”โดยมีแกนนำและสมาชิกพรรค อาทิ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค, นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค, นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายชูศักดิ์ ศิรินิล, นายนพดล ปัทมะ, นายชัยเกษม นิติสิริ และ นายวัฒนา เมืองสุข เดินทางมาร่วมกันอย่างคับคั่ง
ตร.บุกขวาง-วัฒนาโวยกลัวความจริง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่การแถลงข่าวจะเริ่มขึ้น พ.ต.อ.เทียนชัย คามะปะโส รอง ผบก.น.1 พร้อมด้วย พ.ต.ท.ศักดิเดช กัมพลานุวงศ์ รอง ผกก.สส. สน.มักกะสัน ได้เข้ามาเจรจากับ พล.ต.ท.วิโรจน์ นายภูมิธรรม และ นายชูศักดิ์ เพื่อเตือนว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ อาจเข้าข่ายกระทำผิดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน โดยระหว่างนั้น นายวัฒนา ได้เดินมาบ่นกับผู้สื่อข่าวว่า “กลัวแม้กระทั่งการพูดความจริง” ก่อนจะเดินไปร่วมสังเกตการณ์การเจรจา
ยืนกรานแถลงต่อ-ตัดตอนไม่ให้กก.บห.ยุ่ง
ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทย ยืนยันจะแถลงตามเดิม โดยลดจำนวนผู้แถลงจากเดิม 7 คน เหลือ 3 คน ประกอบด้วย นายชูศักดิ์ นายจาตุรนต์ และ นายวัฒนา ส่วนแกนนำคนอื่นยืนอยู่ด้านล่างเวที โดยการแถลงครั้งนี้ ผู้ที่ขึ้นไปแถลงทั้ง 3 คน ล้วนไม่มีใครเป็นกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเกรงจะมีปัญหาทางกฎหมายจนกระทบกับพรรค จึงกันกรรมการบริหารทุกคนไม่ให้มายุ่งบนเวที
ซัดล้มเหลว 7 ข้อ-พาประเทศสู่ยุคมืด
โดยทั้ง 3 คน ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย เรื่อง “4 ปีที่ล้มเหลวของรัฐบาล และ คสช. นำประเทศไปสู่ความมืดมนและอันตราย” โดยย้ำว่า 4 ปี ของการรัฐประหาร เป็น 4 ปีแห่งความล้มเหลวที่รัฐบาลและ คสช. ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ทำให้ประชาชนและประเทศต้องสูญเสียโอกาส และจะนำประเทศไปสู่ความมืดมน และอันตราย โดยมีความล้มเหลวที่สำคัญถึง 7 ประการ ประกอบด้วย
โวยตระบัดสัตย์ซ้ำซากไม่คืนอำนาจให้ปชช.
1.ความล้มเหลวในการทำตามข้ออ้างในการยึดอำนาจ โดยหลังรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้า คสช. ประกาศจะมุ่งสร้างความปรองดองและปฎิรูปโครงสร้างทางการเมือง แต่ท้ายที่สุด กลับมีแต่สร้างความขัดแย้งแตกแยก และที่สำคัญ คสช. กลับลงมาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง การคืนความเป็นธรรมให้คู่ขัดแย้งไม่เคยเกิดขึ้น และที่เคยประกาศจะทำให้ประเทศกลับคืนสู่ประชาธิปไตยใน 15 เดือน ก็หาเหตุเลื่อนการเลือกตั้งมาตลอด จนกระทั่ง 4 ปี ยังไม่มีวี่แวว
ซัดทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง
2.ล้มเหลวในการสร้างความปรองดอง โดยคณะคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นขาดความเป็นอิสระมีแต่คนในรัฐบาล ข้าราชการในกองทัพ และข้าราชการอื่นๆ ไม่มีตัวแทนภาคประชาชน และองค์กรภาคเอกชนเข้าร่วม แนวทางการสร้างความปรองดองถูกควบคุมและเห็นชอบโดยหัวหน้า คสช. ไม่ศึกษาสาเหตุความขัดแย้ง และ หัวหน้า คสช. และคนใน คสช. เป็นส่วนหนึ่งของคู่ขัดแย้ง
อ้างคดีทุจริตปราบฝ่ายตรงกันข้าม
3.การปราบปรามการทุจริตถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติ เพียงเพื่อสร้างภาพ คสช. แต่งตั้งกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ แต่ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม ปัญหาคอรัปชั่น กลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาล และ คสช. ที่จะใช้จัดการฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อคนในรัฐบาลถูกกล่าวหาเรื่องทุจริต เช่น กรณีอุทยานราชภักดิ์ ตั้งบริษัทในค่ายทหาร นำเงินราชการลับไปใส่ในบัญชีภรรยา แม้แต่กรณีนาฬิกาหรู กลับมีการปกป้องพวกพ้อง
ใช้“ม.44”ริดรอนสิทธิ-กดหัวคนไทย
4.ล้มเหลวในการทำให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตย โดยนับแต่รัฐประหาร ประเทศต้องอยู่ภายใต้ประกาศและคำสั่ง คสช. ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนมาจนถึงปัจจุบัน การแสดงออกทางความคิดเห็นถูกปิดกั้น นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยังมีการคงอำนาจของ คสช. และหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 เพื่อให้หัวหน้า คสช. มีอำนาจพิเศษเหนือองค์กรอื่นๆ ตามรัฐธรรมนูญ
ดีแต่ใช้อำนาจปิดปากประชาชน
5.ล้มเหลวในการปกป้องสิทธิมนุษยชน มีการออกคำสั่งให้อำนาจทหารควบคุมตัวบุคคลได้ 7 วัน โดยไม่ต้องตั้งข้อหา ไม่ต้องมีหมายศาล เรียกคนเห็นต่างไปปรับทัศนคติ ดำเนินคดีกับบุคคลที่เรียกร้องให้ตรวจสอบการทุจริตหรือเรียกร้องการเลือกตั้ง มีคำสั่งให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร ริดรอนเสรีภาพสื่อมวลชน
6.ล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ โดยใช้งบประมาณเกินตัวจนเกิดภาวะงบประมาณขาดดุลที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอันมากตลอด 4 ปี แต่เศรษฐกิจกับไม่ดีขึ้น ประเทศตกอยู่ในสภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย”
ซัดบิ๊กตู่เสพติดอำนาจ-คิดแต่จะอยู่ต่อ
7.ล้มเหลวในภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. รับปากต่อประชาชนว่าจะเข้ามาชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา และจะอยู่ไม่นาน แต่กลับอยู่ยาวถึง 4 ปี และมีแนวโน้มจะมุ่งสืบทอดอำนาจต่อไป ประกาศว่าจะคืนประชาธิปไตยใน 15 เดือน แต่ผ่านมา 48 เดือน ประชาธิปไตยยังมืดมน รับปากต่อผู้นำประเทศและผู้นำองค์กรระหว่างประเทศจะมีการเลือกตั้งเมื่อนั้นเมื่อนี้ แต่สุดท้ายก็เลื่อนถึง 4 ครั้ง การกระทำและพฤติการณ์ส่อว่าได้เสพติดอำนาจ และวางกลไกเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป
สร้างรัฐเผด็จการ-ทำประเทศชาติมืดมน
โดยสรุปสิ่งที่ คสช. และหัวหน้า คสช.ทำในช่วง 4 ปี คือ การใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด การทำทุกวิถีทางเพื่อการสืบทอดอำนาจ คสช.ต้องการสร้างรัฐเผด็จการโดยใช้ระบบราชการเป็นกลไก ดังนั้น 4 ปีของ คสช. คือ การนำประเทศไปสู่อนาคตที่มืดมน และอันตราย ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยถูกมองเป็นเพียงบ่าว ทั้งๆ ที่พวกเขา คือ นาย จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนต้องช่วยกันนำประชาธิปไตยกลับคืนมา
“บอยคอตต์”ไม่ร่วมถกวันเลือกตั้ง
นอกจากนี้ นายชูศักดิ์ ยังเปิดเผยกรณีกรณีรัฐบาลจะเชิญพรรคการเมืองเข้าร่วมหารือเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งในเดือนมิถุนายนที่จะถึงว่า เรื่องการเลือกตั้งและการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล และยิ่ง คสช. มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเลือกตั้ง ซึ่งเห็นได้จากการเตรียมการเพื่อสืบทอดอำนาจโดยการตั้งพรรค เชิญคนนั้น คนนี้ มาร่วม และวางกลไกเพื่อให้ตัวเองอยู่ต่อ ดังนั้นการเชิญพรรคการเมืองไปร่วม ถือว่า ขาดความชอบธรรมอย่างยิ่ง คสช. ควรออกจากอำนาจด้วยซ้ำ ดังนั้น พรรคเพื่อไทยยืนยันจุดยืนว่าจะไม่ไปร่วม ไม่ว่ารัฐบาลจะเชิญหรือขอความกรุณาให้ไปก็ตาม
“หญิงหน่อย”อัดรุนแรงกว่ายุครสช.
ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม จัดงานเสวนา “วิสัยทัศน์ผู้นำพรรคการเมือง” ในงานรำลึก 26 ปี พฤษภาประชาธรรม โดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หากเทียบเคียงสถานการณ์สืบทอดอำนาจวันนี้ กับปีคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อปี 2535 ยุคนี้ถือว่ารุนแรงกว่า เพราะมีการวางกลไกกติกาที่ทำให้ตัวเองสามารถกลับคืนสู่อำนาจได้ การกระทำ 4 ปีผ่านมานี้ ทำให้เห็นว่าโรดแมปไม่ได้คืนประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน แต่เป็นโรดแมปของการการันตีการคืนสู่อำนาจต่อของ คสช.
“ภูมิใจไทย”ปัดผูกมัดประกาศจับมือคสช.
นายสรอรรถ กลิ่นประทุม แกนนำพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ในอนาคตพรรคภูมิใจไทยจะจับมือกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือไม่นั้น ขอพูดด้วยความเห็นส่วนตัวว่า คำถามนี้เร็วไปหน่อย โดยธรรมชาติการเมืองจะคุยกันหลังเลือกตั้ง ขอย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามกติการระบอบการเลือกตั้ง ถ้าเข้ามาตามครรลองถูกต้อง ไม่มีใครปฏิเสธ ดังนั้นอย่าไปตีกรอบให้ติดกับดักตนเอง เพราะนำไปสู่การเมืองทางตัน คิดว่าวันนี้นักการเมืองสามารถตกลงกันได้ แม้ว่าเราจะเป็นพรรคเล็ก แต่การเมืองในมิติใหม่ ไม่มีข้อจำกัด
“มาร์ค”เตือน250สว.กับดักความขัดแย้ง
นายอภิสิทธิ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทำให้เกิดคำถามว่า การเมืองจะเดินหน้าได้แค่ไหน ผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้เอาความคิดเกือบ 40 ปีที่แล้วมาใส่ มีวิธีการบริหารจัดการการเมืองหลังการเลือกตั้ง ด้วยการใช้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ส.ว. 250 คน ชุดแรกมาจากกการแต่งตั้งของ คสช. มาทำหน้าที่พี่เลี้ยงประคับประคองเหมือนรัฐธรรมนูญ 2521 นี่คือความคิดของผู้ร่าง ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะเป็นผู้ทำให้เกิดความขัดแย้งตามมาในอนาคต โดยเฉพาะการแทรกแซงการเสนอนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลของพรรคที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ ซึ่งหาก ส.ว. ไม่เคารพการตัดสินของประชาชน ก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งได้
“นิพิฏฐ์”ซัด4ปีคสช.บริหารชาติติดลบ
ด้าน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า 4 ปีที่ผ่านมา ต้องแบ่งให้คะแนนการบริหารประเทศของ คสช. เป็น 2 ระยะคือ ระยะแรกให้ 7 จาก 10 คะแนน เพราะมีความตั้งใจแก้ปัญหาและไม่มีส่วนได้เสีย แต่ระยะกลางจนถึงปัจจุบันให้คะแนนติดลบ เนื่องจากเห็นชัดเจนว่าต้องการสืบทอดอำนาจ กลายเป็นคู่ความขัดแย้งเสียเอง ดังนั้นจึงขอเตือนให้ทบทวนตัวเอง อย่าเอาตัวเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้ง และเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนถึงสาเหตุของปัญหา เพราะหากไม่ปลดชนวนเหล่านี้ ก็จะถูกนำมาปลูกปั่นจนเกิดปัญหาอีก ที่สุดเราอาจจะเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการทหารไปสู่เผด็จการพลเรือนอีกครั้ง
คสช.เตรียมเชือดเพื่อไทย-จัดหนักยันกก.บริหาร
วันเดียวกัน พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ คณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. เปิดเผยถึงการเตรียมดำเนินคดีกับพรรคเพื่อไทย กรณีแถลงข่าวโจมตี คสช. นำพาประเทศสู่ความมืดมนและหายนะ ว่า การแถลงดังกล่าวเข้าข่ายผิดคำสั่ง คสช. ที่ห้ามมีการประชุมพรรคการเมือง แต่พรรคเพื่อไทย กลับมีการแถลงข่าวพาดพิง คสช.ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เข้าข่ายความผิด 4 ข้อหา อาทิ ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. เรื่องการห้ามดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเก่าที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ประชุมพรรค, ผิด พ.ร.บ.การชุมนุม ที่มีการมั่วสุมเกิน 5 คน และความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีการไลฟ์สดทางเฟซบุ๊ค ฝ่ายกฎหมาย คสช. อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานว่าจะดำเนินคดีใครบ้าง หรือกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย
ตำรวจรับลูกพร้อมเชือดให้ทันที
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า คสช. สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษ ที่ใดก็ได้ ทั้งสถานีตำรวจพื้นที่หรือที่กองปราบปราม จากนั้นจะมีการส่งเรื่องมาให้พิจารณาว่าจำเป็นต้องตั้งเป็นคณะทำงานหรือไม่ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีการดำเนินคดีกับพรรคการเมืองที่ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช..-สำนักข่าวไทย
จัดหนัก4ข้อหา"ปลุกปั่นยุยง"
ขณะที่ต่อมาเวลา 19.45 น. พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฏหมาย คสช. และ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ได้เข้าแจ้งความพรรคเพื่อไทย 4 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ฝ่าฝืนประกาศ คสช ที่ 57/2557 ห้ามประชุมพรรคการเมือง 2.ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช ที่ 3/2558 ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง 3.พรบ.คอม และ 4.ยุยงปลุกปั่น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี