วันที่ 18 สิงหาคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหาตนเองและพวกรวม 17 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ โครงการก่อสร้างแฟลตตำรวจ 163 แห่ง และโรงพักทดแทน 396 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า วันนี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดลึกๆ ในหนังสือที่ สตช. เสนอถึงตนว่า แต่ละครั้งเขาเสนอด้วยเหตุผลอย่างไรถึงทำให้ตนต้องให้ความเห็นชอบ
โดยฉบับแรก ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้น เป็นผู้เสนอ โดยได้ท้าวความถึงเรื่องที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ดำเนินโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจและข้อเท็จจริ ว่า ครม. ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ อนุมัติหลักการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เรื่องการปรับปรุงแก้ไขมติ ครม. ที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง
“ในข้อ 2 เขาบอกไว้เลยว่า สำนักงบฯ มีความเห็นให้ สตช. ดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วนที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 30 ปีขึ้นไป 396 หลังภายในวงเงิน 6,672 ล้านบาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณระยะเวลา 3 ปี พ.ศ.2552-2554 โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2552 ให้ สตช. ปรับแผนปฏิบัติการของตัวเอง นำเงินมาใช้ในโครงการนี้ 333.6 ล้านบาท งบประมาณส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณรายจ่ายปี 2553 และ 2554 โดยให้สตช.เสนอขอตั้งงบประมาณประจำปีรองรับค่างานตามสัญญา ให้ไปตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบฯอีกครั้ง แล้วต้องนำเสนอครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปีงบประมาณรายการดังกล่าว”
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ตรงนี้อยากจะเน้นกับประชาชนว่า ที่อ่านให้ฟังว่า สตช.ระบุว่า สำนักงบฯมีความเห็น จะเห็นว่าเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณที่ใช้ในปี 2552 เอามาจากไหน งบประมาณปี 2553-2554 จะเอามาจากไหน จะต้องขออนุมัติครม.เรื่องการผูกพันงบประมาณข้ามปี ไม่มีเลยตรงไหนที่จะเขียนว่าสำนักงบฯจะมีความเห็นว่าต้องใช้วิธีการจัดจ้างแบบรายภาค 9 ภาค เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ สตช. ไปตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาแนวทางที่จะจัดจ้าง คือ 1.รวมการจ้างในครั้งเดียวสัญญาเดียว 396 หลัง 2.รวมการจ้างครั้งเดียว แยกเสนอเป็นรายภาค ภาค 1-9 ทำสัญญา 9 สัญญา 3.จัดจ้างโดยตำรวจภูธรภาค 4.จัดจ้างโดยตำรวจภูธรจังหวัด กรรมการชุดนี้มี พล.ต.ท.พงศ์พัศ พงษ์เจริญ ผช.ผบ.ตร. เป็นประธานกรรมการ
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า การที่เอาชื่อ พล.ต.ท.พงศพัศ มาพูดถึงเพราะมีชื่ออยู่ในเอกสารนี้ และ พล.ต.อ.พงศ์พัศ เป็นอดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม. ของพรรคเพื่อไทย แข่งกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ในวันนั้นพรรคเพื่อไทยออกมาโจมตีว่าตนทุจริตโครงการนี้ และบอกว่า พล.ต.อ.พงศ์พัศ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นไม่จริง ในเอกสารนี้มี คณะกรรมการที่มี พล.ต.อ.พงศ์พัศ เป็นประธาน ได้พิจารณาข้อดีข้อเสียและมีมติว่าเห็นควรดำเนินการสร้าง โดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค พล.ต.อ.พัชรวาท ก็เห็นชอบด้วย และก็นำเสนอให้ตนพิจารณาว่า เห็นควรดำเนินการจัดจ้างโดยส่วนกลางครั้งเดียว โดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค เสนอให้พิจารณาให้ความเห็นชอบ หรือเห็นควรประการใดได้โปรดสั่งการ ตรงนี้ถ้าประชาชนเป็นรองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบ สตช.เหมือนอย่างตนในวันนั้น ฟังเหตุผลข้อเสนอขั้นตอนการปฏิบัติที่ สตช. เสนอมา ก็เชื่อว่าต้องให้ความเห็นชอบอย่างที่ตนได้ทำลงไป โดยตนได้สั่งการว่าเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 นี่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติโดยสุจริตชอบธรรม ไม่มีเป้าหมายอะไรแอบแฝง ซึ่งการเห็นชอบนั้น ตนไม่มีโอกาสทราบว่าใครเป็นผู้ได้รับสัญญาใครชนะประมูลประกวดราคาทั้ง 9 ภาค เพราะเป็นเรื่องที่ สตช. จะต้องดำเนินการ เป็นกระบวนการที่ สตช. ต้องปฏิบัติและมีข้อกฎหมายมีระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการพัสดุว่าด้วยวิธีผ่านอิเล็คทรอนิคกำหนดเอาไว้ ถ้าใครฝ่าฝืนหรือทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดี
หลังจากมีการอนุมัติ สตช. ก็ได้ไปตั้งคณะกรรมการกำหนดทีโออาร์ สเปค คุณสมบัติผู้ร่วมประมูล วิธีการประมูลแบบอีอ๊อคชั่น จนเกือบจะได้ผู้ดำเนินการทางอีอ๊อคชั่นแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท ก็พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยมี พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ได้รับการแต่งตั้งให้รักษาราชการ ผบ.ตร.
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ปทีป ได้เข้าไปดูเรื่องและบรรดาตำรวจที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เขาพิจารณาดำเนินการจัดจ้าง และเห็นปัญหาและทำหนังสือมาถึงตนใหม่เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 โดย สตช. เสนอมาที่ตนว่า วิธีการจัดจ้างที่อนุมัติไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 จะปฏิบัติไม่ได้ ขัดต่อกฎหมายงบประมาณ โดยให้เหตุผลมาชัดเลยว่า พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2553 สตช. ได้รับการจัดสรรงบประมาณดำเนินโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง วงเงิน 6,298 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณปี 2552 จำนวน 311 ล้านบาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายปี 2553 จำนวน 1,174 ล้านบาท ปี 2554 จำนวน 4,812 ล้านบาท
โดย สตช.ได้ยกระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการพัสดุ วิธีการทางอิเล็คทรอนิค พ.ศ.2549 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 เอกสารแนบ 9 และบอกว่า ได้พิจารณาตามระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอนิค และระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พบว่า โครงการก่อสร้างอาคาร 396 แห่ง ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นโครงการที่ครม.อนุมัติในลักษณะโครงการเดียว ผูกพันงบประมาณ พ.ศ.2552-2553-2554 จำนวนเงิน 6,298 ล้านบาท การดำเนินการจัดจ้าง จึงต้องประกาศประกวดราคาจัดจ้างในครั้งเดียว แล้วถ้าทำอย่างนี้จะทำให้เปิดกว้างและภาคเอกชนทุกรายสามารถเข้าเสนอราคาได้อย่างเป็นธรรม ทำให้ได้ผู้ประกอบการอย่างมีความพร้อมและมีความมั่นคงทางการเงินสามารถเสนอราคาได้ต่ำกว่างบประมาณทำให้ประหยัดงบประมาณ อาจก่อสร้างได้ในเวลาที่กำหนด สอดคล้องกับการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2552-2554 สตช.สามารถบริหารสัญญากับผู้ประกอบการายเดียว หรือผู้ประกอบกิจการหลายรายที่เสนอราคาร่วมกันในลักษณะกิจการร่วมค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ สตช. เช่น ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา หรือการทิ้งงาน
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า เขาให้เหตุผลมาอย่างนี้ ข้อเท็จจริง คือ วันที่ผมอนุมัติตามข้อเสนอของ สตช. ที่ พล.ต.อ.พัชรวาท เป็น ผบ.ตร.นั้น ยังไม่มีกฎหมายประมาณรายจ่ายปี 2553 เพราะผมอนุมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 งบประมาณรายจ่ายปี 2553 เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2552 และผมไปเปิดดูรายการในเล่มที่ 10 อยู่ที่หน้า 134 เขียนเลยว่าค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง 1,174 ล้านบาทตามที่ พล.ต.อ.ปทีป เสนอมา เขาบอกเลยว่าประมาณทั้งสิ้น6,298 ล้านบาท ปี2552 ตั้งงบประมาณ 311ล้านบาท ปี 2553 จำนวน 1,174 ล้านบาท และปี 2554 จำนวน 4,812 ล้านบาท เป็นโครงการเดียวจริงๆ
“ผมจึงเชื่อตามที่สตช.เสนอว่า เมื่อเป็นพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายแผ่นดินออกมาใช้บังคับแล้ว แก้ไขไม่ได้ ไม่สามารถที่จะเอาโครงการที่มีโครงการเดียว แตกย่อยเป็น 9 โครงการ ไปแยกประมูล ทำสัญญา 9 สัญญาได้ เหตุนี้เป็นเหตุผลที่สมัย พล.ต.อ.พัชวาท ไม่เคยเสนอผมพิจารณา เพราะในขณะนั้นยังไม่มี พ.ร.บ.ประมาณรายจ่ายปี 2553 ยังไม่มีการตั้งงบประมาณแยกเป็นปีๆ เพราะฉะนั้นเมื่อผมพิจารณาอย่างนี้ ผมก็ต้องเชื่อ พล.ต.อ.ปทีป เสนอ ผมก็อนุมัติตามที่เขาเสนอ”
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า การปฏิบัติหน้าที่ การสั่งราชการคราวนี้ เป็นการดำเนินการโดยใช้ดุลยพินิจด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยข้อเท็จจริงโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาทุจริต และตนอนุมัติไปเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2552 ไม่มีทางที่จะทราบได้เลยว่า ในการไปดำเนินการไปประกวดราคาตามระเบียบที่ สตช. ไปปฏิบัตินั้น จะได้ใครเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด จะได้ใครเป็นผู้รับจ้างเพราะตนอนุมัติวันที่ 20 พฤศจิกายน เขาไปประกวดราคาวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 หรือ 7 เดือนหลังจากนั้น เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่า หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงตามเหตุผลตามหลักฐานเอกสารทางราชการไม่มีอะไรซับซ้อนไม่มีอะไรที่จะมาตั้งข้อสงสัยว่าตนทุจริตเลย
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยได้กล่าวหาในช่วงที่ พล.ต.อ.พงศพัศ ลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่า กทม. โดยอ้าง พล.ต.อ.พงศพัศ ไม่เกี่ยวข้อง นายสุเทพ กล่าวว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. เรื่องจะเสนอ พล.ต.อ.พัชรวาท เสนอ พล.ต.อ.ปทีป ต้องผ่าน พล.ต.อ.พงศพัศ ถ้า พล.ต.อ.พงศพัศ เชื่ออย่างที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาตนว่า ตนทุจริต โครงการนี้มีทุจริตทำไม พล.ต.อ.พงศพัศ ที่มีตำแหน่ง ผช.ผบ.ตร. จึงเซ็นหนังสือให้ความเห็นชอบมาตามลำดับ ถ้า พล.ต.อ.พงศพัศ รู้ว่าตนทำผิดทำไมไม่ดำเนินคดี การไม่ดำเนินคดีทั้งๆที่รู้ เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำไมป.ป.ช.ไม่สนใจประเด็นนี้ ทำไมมุ่งมาที่ตนทั้งๆที่ในทุกขั้น ทุกตอนของการพิจารณาดำเนินการของสตช.เขามีความเหมาะสม มีความสมบูรณ์ อย่างนี้ ทุกขั้นทุกตอนทำอนุกรรมการไต่สวนป.ป.ช.จึงไปฟังพรรคเพื่อไทย แล้วไม่ฟังเหตุผลข้อเท็จจริงหลักฐานของตน ตนจึงมีสิทธิที่จะสงสัยว่า มีอคติกับตนหรือไม่ ตอนต่อไปตนจะมาบอกประชาชนทำไมถึงอนุมัติให้เขาทำ โครงการนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี