4 ธ.ค.61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
3. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการขอจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ในการเสนอเรื่องนี้ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการเสนอ เรื่อง การขอจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวง และ ก.พ.ร. แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
4. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้ในกรณีที่มีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในเรื่องใดแล้ว ก็ให้เป็นไปตามกฎหมายเฉพาะนั้น เว้นแต่กฎหมายนั้นกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการด้วยมาตรฐานที่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
2. ให้หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะในขั้นตอนต่าง ๆ เผยแพร่ข้อมูลนโยบายสาธารณะให้ประชนทราบ และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในกรณีที่นโยบายสาธารณะมีผลกระทบอย่างรุนแรง
3. กำหนดให้ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น หรือกำหนดมาตรการป้องกันความเสียหายจากนโยบายสาธารณะตามคำร้องขอของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้เสีย บุคคลดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ เพื่อพิจารณาวินิจฉัย โดยคณะกรรมการอาจส่งผลการพิจารณาไปยังหน่วยงานเพื่อให้ดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่เห็นด้วยกับผลการพิจารณาดังกล่าว ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้เสียนำเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองต่อไป
4. ให้มีคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่ เช่น พิจารณาวินิจฉัยคำร้อง กำกับดูแล ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน กำหนดขอบเขต ประเภท ชนิด และลักษณะของนโยบายสาธารณะ ที่อยู่ภายใต้บังคับของร่างพระราชบัญญัติ และเสนอแนะหน่วยงานของรัฐในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นต้น
5. ให้มีสำนักงานคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ อยู่ในสังกัด สปน. มีหน้าที่ เช่น รับผิดชอบงานด้านธุรการของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ส่งเสริมหน่วยงานของรัฐในการให้ความรู้ประชาชนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะ และรับเรื่องร้องทุกข์จากผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสาธารณะ เป็นต้น
6. กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำการใด ๆ เพื่อมิให้มีการดำเนินการ หรือทำให้การดำเนินการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะไม่เป็นไปตามร่างพระราชบัญญัตินี้ อาศัยกระบวนการนโยบายสาธารณะบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ
7. กำหนดให้โครงการของรัฐที่เริ่มดำเนินการไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และได้เริ่มดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 ดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 ดังนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “สินเชื่อ” ให้หมายความรวมถึง “ธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตประกาศกำหนด”
2. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “สถาบันการเงิน” ให้หมายความรวมถึง “นิติบุคคลอื่นที่ประกอบกิจการเกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตประกาศกำหนด”
3.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติ ดังนี้
1. เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราประโยชน์ตอบแทนท้ายร่างพระราชกฤษฎีกา โดยกำหนดอัตราประโยชน์ตอบแทน ประธานกรรมการ จำนวน 15,000 บาท กรรมการ จำนวน 12,000 บาท เลขานุการ จำนวน 10,000 บาท และผู้ช่วยเลขานุการ จำนวน 5,000 บาท ตามมติของที่ประชุมที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561
2. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราประโยชน์ตอบแทนท้ายร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ปรับปรุงอัตราประโยชน์ค่าตอบแทนคณะกรรมการ และเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
2. กำหนดให้ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่กำหนด
3. แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราประโยชน์ตอบแทนท้ายร่างพระราชกฤษฎีกานี้ ให้เป็นไปตามมติที่ประชุมที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561
4.เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
มท. เสนอว่า
1. มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ได้ขอความอนุเคราะห์ ให้กรมที่ดิน มท. พิจารณาเสนอขอออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมโอนอสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นผู้รับโอนหรือผู้โอน โดยเรียกเก็บตามราคาประเมินทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ 0.001 เนื่องจากในการดำเนินกิจการของมูลนิธิฯ ได้มีประชาชนที่มีจิตศรัทธาแสดงความประสงค์บริจาคที่ดินให้มูลนิธิฯ เพื่อทำประโยชน์ในที่ดิน และดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และความมุ่งหมาย ซึ่งค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์อันได้แก่ค่าจดทะเบียน โอนอสังหาริมทรัพย์ มูลนิธิฯ ต้องเป็นผู้รับภาระในการชำระค่าใช้จ่ายเหล่านี้แทนผู้บริจาคที่ดินทั้งสิ้น หากมูลนิธิฯ ไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวหรือชำระในอัตราที่ลดลงแล้วก็สามารถนำค่าใช้จ่ายนั้น ไปดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประสบภัยได้มากขึ้น
2. มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นมูลนิธิซึ่งตั้งขึ้นโดยพระราชดำริของ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ องค์นายกกิตติมศักดิ์ ตลอดชีพของมูลนิธิฯ ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2543 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกองทุนสนับสนุน การดำเนินงานช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมจากอุทกภัย ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด ถือได้ว่าเป็นมูลนิธิที่จัดตั้งโดยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ปรากฏจากวัตถุประสงค์ของมูลนิธิที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ และในการดำเนินงาน ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มูลนิธิฯ อาจประสานงานกับส่วนราชการและองค์การต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี รวมทั้งการรับบริจาคที่ดินจากประชาชนที่มีจิตศรัทธา เพื่อทำประโยชน์ในที่ดินและดำเนินการให้เป็นไปตามความมุ่งหมาย ซึ่งหากมูลนิธิฯ ไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์อันได้แก่ค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์แล้ว มูลนิธิฯ จะสามารถนำเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าว ไปดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ได้มากขึ้น จึงสมควรกำหนดค่าธรรมเนียม การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ในกรณีที่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นผู้รับโอนหรือผู้โอน โดยเรียกเก็บตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ในอัตราร้อยละ 0.001 เช่นเดียวกับมูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มูลนิธิสายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สภากาชาดไทย มูลนิธิสงเคราะห์เด็ก ของสภากาชาดไทย มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา และมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมความใน (ค) ของ (7) ในข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 56 (พ.ศ. 2558) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 เพื่อกำหนดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ เฉพาะในกรณีที่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นผู้รับโอนหรือผู้โอน โดยเรียกเก็บตามราคาประเมินทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ 0.001
5.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
กค. เสนอว่า
1. ได้มีกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบ หรือควบคุมงานก่อสร้าง
พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นการกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบ หรือควบคุมงานก่อสร้างประเภทงานสถาปัตยกรรม โดยเป็นอัตราค่าจ้างแบบคงที่ (Fixed rate)
2. โดยที่พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 90 วรรคสอง บัญญัติให้อัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่ง กค. พิจารณาแล้วเห็นสมควรปรับปรุงประเภทงานเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากงานสถาปัตยกรรม รวม 11 ประเภทงาน ได้แก่ งานขนส่งระบบราง งานทางหลวง งานสะพาน/ทางด่วน งานเขื่อน งานชลประทาน งานประปา ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย การระบายน้ำและการป้องกันน้ำท่วม งานสนามบิน งานท่าเรือ และงานระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน รวมทั้งปรับปรุงอัตราค่าจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้างของประเภทงานดังกล่าวข้างต้น จากอัตราค่าจ้างแบบคงที่ (Fixed rate) เป็นอัตราค่าจ้างไม่เกินร้อยละของวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้าง ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายกฎกระทรวง
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบ หรือควบคุมงานก่อสร้าง พ.ศ. 2560
2. กำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง ประกอบด้วย
2.1 กำหนดประเภทงานก่อสร้าง จำนวน 12 ประเภทงาน ได้แก่ งานสถาปัตยกรรม งานขนส่งระบบราง งานทางหลวง งานสะพาน/ทางด่วน งานเขื่อน งานชลประทาน งานประปา ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย การระบายน้ำและการป้องกันน้ำท่วม งานสนามบิน งานท่าเรือ และงานระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน และกำหนดวิธีการคำนวณอัตราค่าจ้าง โดยนำหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษามาใช้โดยอนุโลม และคิดย้อนกลับเป็นร้อยละของวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้าง ทั้งนี้ ต้องไม่เกินอัตราร้อยละของวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้าง
2.2 ประเภทงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้างที่มิได้กำหนดวิธีการคำนวณราคากลางไว้ ให้นำหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษามาใช้โดยอนุโลมและคิดย้อนกลับเป็นร้อยละของวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้าง
6.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
กำหนดให้การโอนอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของวิสาหกิจชุมชนและมีอยู่ก่อนวันยื่นคำขอจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ระหว่างสมาชิกวิสาหกิจชุมชนกับวิสาหกิจชุมชน ซึ่งได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคลนั้น ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อเป็นการลดภาระค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่สมาชิกวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจชุมชนที่จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนนั้น
7.เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า กค. มีนโยบายกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศด้วยการใช้มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการกระตุ้นความต้องการผลผลิตสินค้าเกษตรที่มีราคาตกต่ำ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการเรียนรู้ทางหนังสือ และการส่งเสริมให้มีการกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านมาตรการภาษีนี้จะเป็นปัจจัยหนึ่งในการช่วยให้มีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น อันจะช่วยส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม กค. จึงเห็นควรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายใต้หลักการ ดังนี้
1. กำหนดให้ผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถนำค่าซื้อสินค้าไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ ดังนี้
1.1 สินค้าประเภทยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ และยางล้อรถจักรยาน ที่ซื้อจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายซึ่งได้ซื้อยางล้อดังกล่าวจากผู้ผลิตที่ซื้อวัตถุดิบยางจากการยางแห่งประเทศไทย ที่ได้รวบรวมหรือรับซื้อจากสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง โดยผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป และจะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานของการซื้อวัตถุดิบยางจากการยางแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ สินค้าประเภทยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ และยางล้อรถจักรยาน จะต้องไม่ผ่านการใช้งานมาก่อนและไม่รวมถึงค่าบริการอื่น ๆ
1.2 หนังสือ รวมถึงหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต แต่ไม่รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ สำหรับการซื้อหนังสือจากผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ
1.3 สินค้าจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน โดยผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป และต้องระบุว่าเป็นรายการซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)
2. กำหนดให้ค่าซื้อสินค้าตามข้อ 1.1 – 1.3 สามารถนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยเป็นค่าซื้อสินค้าระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 16 มกราคม 2562
3. กรณีผู้มีเงินได้มีการจ่ายค่าซื้อสินค้าตามข้อ 1.1 – 1.3 ในช่วงดังกล่าวทั้งสองปีภาษี ให้ได้รับลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงในแต่ละปีภาษี แต่รวมกันสองปีภาษีแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อสินค้าประเภทยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ ยางล้อรถจักรยาน หนังสือ รวมถึงหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แต่ไม่รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ และสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ สำหรับการซื้อสินค้าดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 16 มกราคม 2562
เศรษฐกิจ-สังคม
8.เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ของกระทรวงการคลัง (กค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ตามที่ กค. เสนอ ดังนี้
1. คงหลักการให้รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ต่อไป
2. มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน (รง.) กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามหน้าที่และอำนาจของพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่พนักงานรัฐวิสาหกิจควรได้รับและแนวนโยบายของรัฐบาลแต่ละเรื่อง พร้อมทั้งให้เร่งรัดดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 (เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต) เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของพนักงานรัฐวิสาหกิจในกรณีเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉินต่อไป
9.เรื่อง การแก้ไขปัญหากรณีดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในพื้นที่ที่ต้องได้รับอนุมัติ/อนุญาต
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอผ่อนผันให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้กำหนดโครงการไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ซึ่งโครงการนั้นดำเนินการในพื้นที่ที่ต้องได้รับการขออนุมัติ/อนุญาตให้ใช้พื้นที่จากส่วนราชการ ให้ส่วนราชการผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาตเร่งรัดพิจารณาให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาต ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะต่อไป มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ปรับปรุงระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถดำเนินการได้ทันต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว
ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
2. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแล ให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดปฏิบัติตามนโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ฉบับทบทวน และหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (รายละเอียดตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร (ก.บ.ภ.) 1112/ว 5886 ลงวันที่ 20 กันยายน 2561 เรื่อง นโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ฉบับทบทวน และหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563) อย่างเคร่งครัดด้วย
10.เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ 1)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยกรมชลประทาน ดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ 1) มีกำหนดแผนงานโครงการ 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567) กรอบวงเงินงบประมาณโครงการรวมทั้งสิ้น 3,440 ล้านบาท และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ กษ. (กรมชลประทาน) เสนออย่างเคร่งครัด ตามที่ กษ. เสนอ โดยให้ กษ. เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องที่มีการดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนและการบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างสอดคล้องและเชื่อมโยงกัน รวมทั้งให้ดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้ กษ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
2. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้ กษ. โดยกรมชลประทาน ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 รายการประตูระบายน้ำกุดสวง โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ (ระยะที่ 1) จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 60 ล้านบาท และรายการประตูระบายน้ำห้วยเสียว โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ (ระยะที่ 1) จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 60 ล้านบาท ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัดเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
3. ให้ กษ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างของโครงการและพื้นที่บริเวณโดยรอบเกี่ยวกับประโยชน์ของการดำเนินการเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงกันด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กษ. แจ้งว่า เนื่องจากอำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนบนซึ่งมีลักษณะเป็นที่ราบเชิงเขา ในช่วงฤดูฝนจะเกิดน้ำหลากจากภูเขาไหลลงสู่พื้นที่ราบอย่างรวดเร็วตามสภาพภูมิประเทศที่มีความลาดชันสูง และไม่มีแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวเกิดอุทกภัยเป็นบริเวณกว้างเป็นประจำ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิที่มีลักษณะเป็นแอ่งจะถูกน้ำท่วมขังประมาณ 30,000 ไร่ หรือร้อยละ 90 ของพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ โดยเมื่อปี 2553 น้ำจากลุ่มน้ำลำปะทาวและห้วยยางบ่าได้ล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ มีระดับน้ำท่วมสูงสุดประมาณ 120 เซนติเมตร กรมชลประทานจึงได้ศึกษาความเหมาะสมการพัฒนาแหล่งน้ำ และการบริหารจัดการน้ำลำปะทาวและห้วยยางบ่าเพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน (จากการศึกษาพบว่า น้ำที่ไหลผ่านเข้าตัวเมืองจังหวัดชัยภูมิมีประมาณ 325 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แต่มีศักยภาพการระบายน้ำเพียง 145 ลูกบาศก์เมตร/วินาที และสรุปแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ (1) การดำเนินการก่อสร้างระบบผันน้ำลำปะทาวฝั่งตะวันออก เพื่อตัดมวลน้ำหลากเลี่ยงเมืองด้านฝั่งตะวันออก จำนวน 200 ลูกบาศก์เมตร/วินาที คงเหลือปริมาณน้ำไหลผ่านตัวเมือง จำนวน 125 ลูกบาศก์เมตร/วินาที (2) การดำเนินการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่เพื่อชะลอมวลน้ำหลากให้อยู่ในปริมาณที่สามารถบริหารจัดการได้ดียิ่งขึ้น (3) การดำเนินการก่อสร้างระบบผันน้ำห้วยยางบ่า – ลำชีลอง เพื่อตัดมวลน้ำหลากเลี่ยงเมืองด้านฝั่งตะวันตก และ (4) การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำหลาก เพื่อรองรับการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลเสียหายจากการเป็นพื้นที่รับน้ำหลากจากการผันน้ำเลี่ยงเมือง โดยกรมชลประทานมีแผนจะดำเนินการระยะที่ 1 ก่อน โดยได้ศึกษาวางโครงการและสำรวจ - ออกแบบแล้วเสร็จ และมีแผนเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2562 ส่วนการดำเนินการอีก 3 ระยะที่เหลือ อยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสม
2. โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ (ระยะที่ 1) ซึ่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 เห็นชอบในหลักการแล้ว โดยโครงการฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
วัตถุประสงค์ |
1. เพื่อผันน้ำหลากส่วนเกินไม่ให้ท่วมเมืองชัยภูมิ 2. เพื่อผันน้ำจากลำปะทาวผ่านคลองผันน้ำส่งช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกบริเวณโครงการ 3. พัฒนาเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน 4. ใช้ถนนบนคันคลองเป็นเส้นทางสัญจรและลำเลียงผลผลิต |
ที่ตั้งโครงการ |
อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านเล่า ตำบลโพนทอง ตำบลกุดตุ้ม ตำบลบุ่งคล้า และตำบลหนองไผ่ |
กิจกรรมหลัก |
1. คลองผันน้ำลำปะทาว - สระเทวดา ความยาว 8.45 กิโลเมตร สามารถระบายน้ำ 150 ลูกบาศก์เมตร/วินาที พร้อมประตูระบายน้ำ 3 แห่ง 2. ขุดคลองเชื่อมลำปะทาว – ห้วยดินแดง ความยาว 1.33 กิโลเมตร และปรับปรุงคลองเดิมให้สามารถระบายน้ำได้ 50 ลูกบาศก์เมตร/วินาที พร้อมประตูระบายน้ำ 1 แห่ง 3. ประตูระบายน้ำในลำน้ำเดิม จำนวน 6 แห่ง |
ระยะเวลาดำเนินโครงการ |
6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567) |
งบประมาณที่ใช้ |
3,440 ล้านบาท [รวมค่าที่ดิน จำนวน 222.6 ล้านบาท (ค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน และค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน จำนวน 210.0 ล้านบาท) และค่าใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมของโครงการ จำนวน 80.0 ล้านบาท] |
การจัดหาที่ดิน |
เป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ 445 แปลง เนื้อที่ประมาณ 414 ไร่ ซึ่งภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการแล้ว กรมชลประทานจะดำเนินการจัดหาที่ดินด้วยวิธีเจรจาซื้อขายเป็นลำดับแรก |
ผลกระทบจากการดำเนินโครงการ |
1. ผลกระทบต่อที่ดินและทรัพย์สินของราษฎร ประมาณ 414 ไร่ ซึ่งกรมชลประทานได้เตรียมมาตรการในการจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สินไว้ในแผนงานโครงการแล้ว 2. ผลกระทบต่อระบบนิเวศ - โครงการฯ ไม่จำเป็นต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เนื่องจากไม่เข้าข่ายตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 - กรมชลประทานได้จัดทำแผนอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งแผนงบประมาณเพื่อสนับสนุนแผนงานดังกล่าวให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วงเงินงบประมาณ 80 ล้านบาท |
11.เรื่อง แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)
2. เห็นชอบแผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของสำนักงาน กกพ. วงเงินงบประมาณรายจ่าย 947.54 ล้านบาท และประมาณการรายได้ 947.89 ล้านบาท
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ผลการดำเนินงานของสำนักงาน กกพ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกำกับดูแลอัตราค่าบริการ ด้านส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรมพลังงาน ด้านคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้พลังงาน และด้านพัฒนาองค์กรให้มีสมรรถนะสูงเป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้กรอบแผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2561 – 2564) ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560 อย่างครบถ้วน ส่วนการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 สำนักงาน กกพ. มีรายได้มากกว่าจำนวนที่ได้ประมาณการไว้ ทำให้มีเงินส่งคลังจำนวน 38.02 ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
(1) ประมาณการ ณ ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 |
(2) รายได้จริง ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 |
(3) รายได้ที่หาได้มากกว่าประมาณการ (2) - (1) |
(4) วงเงินงบประมาณรายจ่าย |
(5) เงินคงเหลือที่นำส่งคลัง (2) – (4) |
902.37 |
940.34 |
37.97 |
902.32 |
38.02 |
2. แผนการดำเนินงานของสำนักงาน กกพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มีสาระสำคัญเป็นการสานต่อแผนการดำเนินงานของปีก่อนหน้า และมีการปรับแผนให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2561 – 2564) และแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ประกอบด้วย 4 แผนงาน ได้แก่ (1) แผนงานกำกับกิจการพลังงานเป็นเลิศ (2) แผนงานส่งเสริมการแข่งขัน และก้าวทันนวัตกรรมพลังงาน (3) แผนงานพัฒนาการมีส่วนร่วมและสื่อสารงานกำกับกิจการพลังงาน และ (4) แผนงานองค์กรมีสมรรถนะสูง เป็นมืออาชีพ
3. งบประมาณรายจ่ายและประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของสำนักงาน กกพ. มีการปรับขึ้นจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 สรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ประมาณการ |
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 |
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 |
หมายเหตุ |
รายได้ |
902.37 |
947.89 |
แหล่งรายได้หลัก : การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการอนุญาตและการประกอบกิจการพลังงานรายปี ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการอนุญาตและการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2551
|
รายจ่าย |
902.32 |
947.54 |
ค่าใช้จ่ายหลัก : ด้านบุคลากร การจัดการและบริหารสำนักงานการจัดหาครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง (รวมถึงค่าก่อสร้างอาคารทำการสำนักงาน กกพ. เป็นการถาวร ปัจจุบันงานออกแบบดำเนินการแล้วเสร็จ คาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างงานก่อสร้างได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562) เงินอุดหนุนสนับสนุนกิจกรรมภาคสังคม และการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงานและแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน |
12.เรื่อง มาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ และให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานด้านผู้สูงอายุนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า
1. ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด) ตั้งแต่ปี 2548 และในปี 2564 ประเทศไทยจะเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว มาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ จึงมีความจำเป็นเพื่อให้การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุอยู่ในลำดับสำคัญและได้รับความสนใจให้มีการขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่อง และมีการกำหนดประเด็นเร่งด่วนและผู้รับผิดชอบหลักในการบูรณาการการทำงานอย่างเป็นองค์รวม โดยมีเป้าหมายหลักคือให้ผู้สูงอายุไทยเป็น Active Aging : Healthy Security, and Participation และเน้นการบูรณาการจากหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
2. คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นประธาน ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 เห็นชอบให้ พม. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบให้สังคมสูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ โดยในเบื้องต้น พม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนและจัดทำมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ เพื่อรองรับการดำเนินงานดังกล่าว
3. มาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
สาระสำคัญ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อขับเคลื่อนมาตรการฯ อย่างเป็นระบบ สร้างการบูรณาการการทำงานด้านผู้สูงอายุทั้งประเทศ ทั้งระดับนโยบาย หน่วยงาน และพื้นที่ รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ |
มาตรการขับเคลื่อน |
2 มาตรการหลัก 10 มาตรการย่อย แบ่งเป็น มาตรการหลักที่ 1 การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนทุกวัย 6 มาตรการย่อย มาตรการหลักที่ 2 การยกระดับขีดความสามารถ สู่การบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 4 มาตรการย่อย |
ระยะเวลาการขับเคลื่อน |
3 ปี (พ.ศ. 2562 – 2564) |
การติดตามและประเมินผล |
หน่วยงานเจ้าภาพหลัก [พม. กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)] ติดตามผลการดำเนินงานและรายงานผลทุกไตรมาส รวมทั้งประเมินผลการดำเนินงานโดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ พร้อมทั้งรายงานผลการประเมินต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
|
ประโยชน์ที่ได้รับ |
ระดับหน่วยงาน มีความร่วมมือและบูรณาการการทำงานด้านผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นทั้งในเชิงประเด็น และพื้นที่ ระดับสังคม ประชาชนมีความตระหนักและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ |
13.เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค เป็นโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
2. สำหรับเงินงบประมาณในการดำเนินการ จำนวน 800 ล้านบาท เพื่อดำเนินงานโครงการ ประมาณการงบดำเนินการรายปีในลักษณะงบเงินอุดหนุนการศึกษาของนักศึกษาในสถาบันไทยโคเซ็นและงบดำเนินงานของสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น จำนวน 1,200 ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 2,700 ล้านบาท จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) สำหรับการดำเนินงานโครงการ ให้เป็นไปตามความเห็นสำนักงบประมาณ โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย
3. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
3.1 พิจารณาทบทวนองค์ประกอบคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ตามความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม
3.2 พิจารณาทบทวนการจัดตั้งสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ตามความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
3.3 รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รายงานว่า
(Thai KOSEN) จำนวน 2 วิทยาเขต ได้แก่ สถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KOSEN KMITL) และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KOSEN KMUTT) และพัฒนาหลักสูตรที่มีความชำนาญเฉพาะด้านการผลิต วิศวกรนักปฏิบัติ นักเทคโนโลยีและนวัตกรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญสูงในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม และสามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีของประเทศ สนับสนุนการต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมและการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต จัดทำหลักสูตรด้านวิศวกรรมศาสตร์ และจัดให้มีทุนการศึกษาวิจัยและพัฒนา ฝึกอบรมเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์แก่นักศึกษาในหลักสูตรโคเซ็น 4 ประเภท โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 13 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2574) งบประมาณที่ใช้จ่ายภายใต้โครงการทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินนอกงบประมาณ 2,700 ล้านบาท และเงินงบประมาณของประเทศไทย วงเงิน 800 ล้านบาท (ไม่รวมงบดำเนินงานที่ขอรับการสนับสนุนแยกต่างหากอีก 1,200 ล้านบาท (13 ปี))
เพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค มีรายละเอียดการปรับเปลี่ยนจากโครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการโครงการฯ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ดังนี้
รายการ |
โครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค (คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561) |
โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค (ศธ.เสนอขอปรับเปลี่ยนในครั้งนี้) |
จัดตั้งสถานศึกษา |
1. ปรับปรุงพื้นที่และก่อสร้างสถานศึกษา จำนวน 2 แห่ง คือ วิทยาลัยเทคนิคราชสิทธารามและวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี 2. จัดตั้งศูนย์ผลิตและพัฒนาสมรรถนะกำลังคนอาชีวศึกษา และ Career Development Center |
จัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น (Thai KOSEN) จำนวน 2 วิทยาเขต ได้แก่ สถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
พัฒนาหลักสูตร |
หลักสูตรต่อเนื่อง 5 ปี (ระดับ ปวช. และ ปวส.) สาขาอิเล็กทรอนิกส์และสาขาแมคคราทรอนิกส์ |
หลักสูตรด้านวิศวกรรมศาสตร์สำหรับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ใช้เวลาศึกษา 5 ปี (เทียบเท่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี รวมกับอนุปริญญาตรี 2 ปี) และการศึกษาในวิชาชั้นสูง (Advanced Courses) เวลาศึกษา 2 ปี (เทียบเท่าปริญญาตรี) หลักสูตรวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ และหลักสูตรวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ |
ทุนการศึกษา |
ผลิตช่างเทคนิคและนักเทคโนโลยีระดับพรีเมี่ยม 1. ทุนปริญญาตรี (2 ปี) ณ ประเทศญี่ปุ่น สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาที่มีผลการเรียนดี (เพื่อกลับมาเป็นครู) รวม 180 คน 2. ทุนปริญญาตรี (4 ปี) ณ ประเทศญี่ปุ่น สำหรับบุคคลทั่วไป (เพื่อกลับมาเป็นครู) รวม 40 คน 3. ทุนในประเทศไทยจะมีการเปิดสอน 2 สาขา สาขาละ 40 คน โดยมีค่าใช้จ่ายรายหัวนักเรียน 110,000 บาท/คน/ปี การจัดการเรียนการสอนด้วยความร่วมมือกับสถานประกอบการ 4. ทุนฝึกอบรม/อบรมครูในประเทศญี่ปุ่นให้กับสถานศึกษา 20 แห่ง รวม 700 คน 5. ทุนฝึกอบรมในประเทศไทย การพัฒนาหลักสูตร จ้างผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์ผลิตและพัฒนาสมรรถนะกำลังคนอาชีวศึกษา 6. ทุนฝึกอบรมประเทศญี่ปุ่น รวม 60 คน การผลิตและพัฒนาครูอาชีวศึกษา 7. ทุนศึกษาต่อปริญญาโท รวม 44 ทุน 8. ทุนฝึกอบรมในประเทศไทย การพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาการเรียนการสอน E-learning โดยมหาวิทยาลัยเครือข่าย จ้างผู้เชี่ยวชาญ การผลิตกำลังคนหลักสูตร MONOZUKURI 9. ทุนฝึกอบรมในประเทศไทย การพัฒนาหลักสูตร จ้างผู้เชี่ยวชาญ 10. นักเรียนหลักสูตร MONOZUKURI จำนวน 100 คน ค่าใช้จ่ายรายหัว 500,000 บาท/คน/หลักสูตร |
1. ทุนสำหรับนักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (7 ปี เทียบเท่าปริญญาตรี) ประเทศญี่ปุ่น (เพื่อกลับมาเป็นครู) รวม 72 คน 2. ทุนการศึกษาในสถาบันไทยโคเซ็น 2 ปี และในสถาบันโคเซ็นประเทศญี่ปุ่น 3 ปี จำนวน 180 คน 3. ทุนการศึกษาในสถาบันไทยโคเซ็น 5 ปี จำนวน 900 คน (แลกเปลี่ยนประเทศญี่ปุ่น 1 ภาคการศึกษา) 4. ทุนการศึกษาต่อเนื่องสำหรับ Advanced Courses จำนวน 328 คน (แลกเปลี่ยนประเทศญี่ปุ่น 2 ภาคการศึกษา) (ข้อ 2 – 4 เพื่อกลับมาทำงานหน่วยงานภาครัฐหรือภาคอุตสาหกรรมใน EEC โดยต้องมาปฏิบัติงานสอนแบบไม่เต็มเวลาที่สถาบันไทยโคเซ็นด้วย หรือเป็นครู/บุคลากรในสถาบันไทยโคเซ็น) |
งบประมาณดำเนินการ |
3,500 ล้านบาท เงินนอกงบประมาณ 2,700 ล้านบาทและเงินงบประมาณ 800 ล้านบาท |
สำหรับดำเนินงานโครงการ 3,500 ล้านบาท
ล้านบาท (จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น)
ประมาณการงบดำเนินงานรายปีในลักษณะงบเงินอุดหนุนของนักศึกษาและ งบดำเนินงานของสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น 1,200 ล้านบาท (13 ปี) โดยให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการมี ส่วนร่วมในการสนับสนุนงบประมาณ |
ระยะเวลาดำเนินการ |
10 ปี (พ.ศ. 2562 – 2571)
|
13 ปี (พ.ศ. 2562 – 2574) |
หน่วยงานผู้รับผิดชอบ |
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา |
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย (โรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค) ไปศึกษาต่อ ณ National Institute of Technology (KOSEN) ของประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 รุ่น รวม 24 คน ในปีการศึกษา 2561 – 2562 เพื่อกลับมาปฏิบัติราชการหรือปฎิบัติงานราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานรัฐบาลด้านวิศวกรรม ซึ่งเป็นโครงการในลักษณะใกล้เคียงกันกับโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาคที่เสนอมาในครั้งนี้ แต่มีระยะเวลาดำเนินการแตกต่างกัน โดยการดำเนินการสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยของโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ฯ ที่เสนอมาในครั้งนี้ จะเริ่มดำเนินงานในปี พ.ศ. 2563
เพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค เป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 โดยสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้ที่มีความรู้และศักยภาพสูงจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยส่งเสริมกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรม โดยมีการกำหนดแนวทางในการพัฒนาศัยกภาพของทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคน การวิจัยและนวัตกรรมภายใต้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560 – 2579
14.เรื่อง การเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้หน่วยงานที่อยู่ในเครือข่ายศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center) ของกระทรวงยุติธรม (ยธ.) จำนวน 8 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมคุมประพฤติ สำนักงานกิจการยุติธรรม กรมบังคับคดี และสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ได้ ตามที่ ยธ. เสนอ และให้ ยธ. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครอง รวมทั้งระบบการตรวจสอบหรือการป้องกันการนำเข้าข้อมูลดังกล่าวไปใช้นอกเหนือภารกิจหรือการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลให้ชัดเจนด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ยธ. รายงานว่า
1. สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 มาตรา 11 บัญญัติให้จัดตั้งสำนักงานกองทุนยุติธรรมขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม มีภาระหน้าที่ในการให้บริการประชาชนด้านกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จำเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม บริหารกองทุนยุติธรรมเพื่อให้การสนับสนุนเงินหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการฟ้องร้อง การดำเนินคดี หรือการบังคับคดี การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม การวางเงินประกัน การปล่อยตัวชั่วคราว การจ้างทนายความว่าความในคดีอาญา คดีแพ่ง คดีปกครองหรือการบังคับคดี การชำระค่าธรรมเนียมขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ในคดีแพ่งและคดีปกครอง ซึ่งในการดำเนินงานของสำนักกองทุนยุติธรรมมีความจำเป็นต้องใช้ข้อมูลภาพถ่ายใบหน้าจากฐานข้อมูลกรมการปกครองสำหรับประกอบการจัดทำรายงานเพื่อการให้ความช่วยเหลือประชาชน
2. ยธ. ได้แจ้งความประสงค์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้กับหน่วยงานที่อยู่ในเครือข่ายศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center) ของ ยธ. จำนวน 8 หน่วยงาน ได้แก่ อส. สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมคุมประพฤติ สำนักงานกิจการยุติธรรม กรมบังคับคดี และสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยหน่วยงานดังกล่าว จะนำข้อมูลไปใช้ในการตรวจสอบและยืนยันบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการประชาชนด้านกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ได้รับความเดือดร้อนให้เข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน
3. โดยที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีความประสงค์ขอเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎรในส่วนของทะเบียนอื่น (ภาพใบหน้าบุคคล) จากกรมการปกครอง ต้องดำเนินการตามมาตรา 15 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 โดยหน่วยงานที่ขอเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากกรมการปกครองจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้กำหนดให้เชื่อมโยงได้เฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ก่อน จากนั้นจึงนำเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เห็นชอบให้หน่วยงานที่อยู่ในเครือข่ายศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรมทั้ง 8 หน่วยงานเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองแล้ว
15.เรื่อง การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตในภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ในกรณีการขอจัดตั้งส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรม โดยไม่เพิ่มจำนวนกองหรือจำนวนหน่วยงานของราชการส่วนกลางที่ตั้งในภูมิภาค หรือจำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ ทั้งที่ปรากฏในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ หรือตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และยังคงจำนวน กองหรือหน่วยงานในภาพรวมเท่าที่มีอยู่เดิมของส่วนราชการให้ดำเนินการตามหลักการ เงื่อนไข และขั้นตอนที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ส่วนการกำหนดตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่ต่ำกว่าระดับกรม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กำหนด
สาระสำคัญ
สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานว่า การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการในปัจจุบันต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ดี การแบ่งส่วนราชการในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแบ่งส่วนราชการภายในกรมซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติโดยตรงมีกระบวนการขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาดำเนินการไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และมีกระบวนการที่ซับซ้อน ดังนั้น สำนักงาน ก.พ.ร. จึงเสนอหลักเกณฑ์การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรมให้หัวหน้าส่วนราชการ เพื่อให้การบริหารราชการภายในส่วนราชการมีความคล่องตัว รวดเร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนส่วนราชการให้ตอบสนองต่อประชาชนได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนสามารถขับเคลื่อนภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลได้ ซึ่งในคราวประชุม ก.พ.ร.ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561 [โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน] ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับหลักการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.เสนอ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
กรมได้เอง ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
1.3 เป็นการจัดหน่วยงานในต่างประเทศใหม่ โดยไม่เพิ่มจำนวนหน่วยงาน เช่น การย้ายสถานที่ตั้งของสำนักงานจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศประเภทเดียวกัน หรือจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งภายในประเทศเดียวกัน ทั้งนี้ สำนักงานดังกล่าวต้องเป็นสำนักงานตามกฎหมาย/ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ในส่วนของการแบ่งส่วนราชการในกรม กรณีเพิ่มจำนวนกองในภาพรวมของส่วนราชการ เช่น การจัดตั้งกอง การจัดตั้งหน่วยงานส่วนกลางในภูมิภาค การจัดตั้งส่วนราชการส่วนภูมิภาค การจัดตั้งหน่วยงานในต่างประเทศขึ้นใหม่ เป็นต้น ให้ส่วนราชการดำเนินการตามขั้นตอนปกติ
2. ก.พ.ร.มีข้อเสนอแนะต่อ ก.พ. ว่า ก.พ. อาจพิจารณาให้ตำแหน่งผู้อำนวยการกองของกองเดิมที่ปรับปรุงบทบาทภารกิจคงตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูงและให้ตำแหน่งผู้อำนวยการกองของกองที่จัดตั้งใหม่เป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง โดยไม่ต้องมีการประเมินคุณภาพงานของตำแหน่งด้วยโปรแกรมการประเมินค่างาน (Jethro) แต่ให้คณะกรรมการกำหนดตำแหน่งระดับสูงของกระทรวงพิจารณาประเมินคุณภาพของตำแหน่งโดยการเทียบเคียงความยุ่งยากซับซ้อนของงาน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.กำหนด
3. เพื่อให้การดำเนินการตามหลักการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรมมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเจตนารมณ์ สำนักงาน ก.พ.ร. จึงมีความจำเป็นต้องเสนอขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี และแก้ไขระเบียบและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
3.1 ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. แก้ไขหนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร 1200/ว 13 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2550 กรณีการขอจัดตั้งส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรม โดยไม่เพิ่มจำนวนกองในภาพรวมของส่วนราชการ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่สำนักงาน ก.พ.ร. ปรับปรุงแก้ไขใหม่ ดังนี้
(1) จัดตั้งคณะทำงานฯ ตามแนวทางที่กำหนดไว้เดิม โดยมีการกำหนดเพิ่มเติมใน 2 ส่วน คือ
(1.1) กำหนดให้มีเงื่อนไขเพิ่มเติมในการจัดทำข้อเสนอการแบ่งส่วนราชการภายในกรม ได้แก่ (1) ภารกิจไม่ซ้ำซ้อนกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐ (2) ความสอดคล้องของภารกิจของหน่วยงานกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล แผนการปฏิรูปประเทศ และมติคณะรัฐมนตรี พร้อมเหตุผลความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงหน่วยงาน (3) ผลสัมฤทธิ์ ตัวชี้วัดการดำเนินงานที่ชัดเจน (4) แสดงกระบวนการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานภายในกรม และ (5) กรณีการจัดหน่วยงานในต่างประเทศใหม่ (โดยไม่เพิ่มจำนวนหน่วยงาน) ต้องไม่ขัดกับนโยบายด้านการต่างประเทศและไม่กระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ตลอดจนคำนึงถึงภาระงบประมาณ ผลประโยชน์ ความคุ้มค่าของประเทศ และเหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน
(1.2) สำนักงาน ก.พ.ร. จะสร้างกลไกการทำงานร่วมกับสำนักงาน ก.พ.และส่วนราชการ ในการพิจารณาการแบ่งส่วนราชการภายในกรมเพื่อให้ได้ข้อยุติเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่และอำนาจของหน่วยงาน กรอบอัตรากำลัง และหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่ง และเมื่อคณะทำงานฯ พิจารณาข้อเสนอได้ข้อยุติในประเด็นดังกล่าวแล้วให้นำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้าง ฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
(2) คณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างฯ พิจารณาคำขอปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในกรม (สำหรับกรณีการจัดหน่วยงานในต่างประเทศใหม่ โดยไม่เพิ่มจำนวนหน่วยงาน ให้แต่งตั้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทน เป็นกรรมการเพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง) ทั้งนี้ มติที่ประชุมให้ถือเสียงของผู้แทนหน่วยงานกลางเป็นสำคัญ
เมื่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างฯ มีมติเห็นชอบคำขอปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในกรมแล้ว ให้ปลัดกระทรวงโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีเสนอคำขอปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในกรมพร้อมแนบรายงานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างฯ และหนังสือเสนอความเห็นของหน่วยงานกลางมายังสำนักงาน ก.พ.ร. ทั้งนี้ หากมีความเห็นแย้งระหว่างกระทรวงและหน่วยงานกลางให้ส่งสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณา
(3) สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของผลการพิจารณาคำขอปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในกรมที่ผ่านคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างฯ แล้วรายงาน ก.พ.ร.เพื่อทราบ และแจ้งผลให้ส่วนราชการดำเนินการต่อไป
(3.1) กรณีที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงการแบ่งส่วนราชการ ให้ส่วนราชการจัดส่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการให้ สคก. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนปกติต่อไป ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. จะร่วมกับ สคก. ในการปรับปรุงการเขียนกฎกระทรวงการแบ่งส่วนราชการ โดยจะเขียนหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการระดับกองให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการเขียนหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการระดับกรม
(3.2) กรณีที่ไม่ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ให้ส่วนราชการดำเนินการตามขั้นตอนปกติต่อไป เช่น การออกประกาศกระทรวง เป็นต้น
3.2 ให้สำนักงาน ก.พ. นำข้อเสนอแนะของ ก.พ.ร. เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไข การกำหนดตำแหน่ง เกี่ยวกับการประเมินคุณภาพงานของตำแหน่ง ตามหลักเกณฑ์การประเมินค่างานของตำแหน่ง เสนอต่อ ก.พ. เพื่อพิจารณาทบทวน ตลอดจนอาจพิจารณาแก้ไขหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1008/ว 2 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการมอบอำนาจการ แบ่งส่วนราชการภายในกรม ในส่วนที่ ก.พ.ร. ได้เสนอแนะไว้แล้วข้างต้น
3.3 ให้ กต. แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การบริหารราชการในต่างประเทศ พ.ศ. 2552 เกี่ยวกับการจัดตั้งหรือรวมหน่วยงานในต่างประเทศกรณีไม่เพิ่มจำนวนหน่วยงาน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม
16.เรื่อง การขอเพิ่มค่าป่วยการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เพิ่มค่าป่วยการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่ อสม.ในการปฏิบัติหน้าที่ จากเดิมอัตราเดือนละ 600 บาท/คน เป็นเดือนละ 1,000 บาท/คน ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สธ. รายงานว่า
1. ในปี 2552 รัฐบาลได้เริ่มให้มีการจ่ายค่าป่วยการให้แก่ อสม. โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (13 มกราคม 2552) เห็นชอบและอนุมัติการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 115,000 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการส่งเสริม อสม. เชิงรุก งบประมาณ 3,000 ล้านบาท และได้มีการออกระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าป่วยการของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) พ.ศ. 2552 ซึ่งข้อ 6 กำหนดให้เบิกจ่ายเป็นรายเดือนในอัตรา 600 บาท/คน
2. โดยที่ สธ. มีนโยบายพัฒนา อสม. ให้เป็น อสม. 4.0 โดยให้สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยให้ประชาชนมีความรอบรู้ เข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่ถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึง ทำให้ อสม. มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่า Smart Phone ค่าบริการอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ อสม. ยังได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น
2.1 ร่วมกับทีมหมอครอบครัวเพื่อดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และผู้ป่วยอื่นๆ ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเยี่ยมบ้านเพื่อติดตามดูแลผู้ป่วย และค่าโทรศัพท์ติดต่อประสานงานต่าง ๆ
2.2 เป็นพี่เลี้ยงให้กับอาสาสมัครประจำครอบครัว (อสค.) ในการดูแลสุขภาพของครอบครัวที่มีสมาชิกเจ็บป่วย โดย อสม. 1 คน ต้องเป็นพี่เลี้ยง อสค. จำนวน 4 คน
2.3 เป็นต้นแบบในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพรวมถึงการปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและภาคีเครือข่ายในการเชิญชวนประชาชนให้เลิกสูบบุหรี่
3. เนื่องจาก อสม. มีภาระในการดูแลสุขภาพประชาชนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ที่ผ่านมายังไม่มีการเพิ่มค่าป่วยการ อสม. ประกอบกับเดือนเมษายน 2562 จะเป็นวาระครบรอบ 10 ปี ของการดำเนินโครงการ อสม. เชิงรุก จึงเห็นควรปรับเพิ่มค่าป่วยการ อสม. ตามภาระงานที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 600 บาท เป็น 1,000 บาท โดยเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ปัจจุบันมี อสม. ทั้งหมด 1,054,729 คน [ของ สธ. 1,039,729 และของกรุงเทพมหานคร (กทม.) 15,000 คน]
17.เรื่อง แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2562 (ศปถ.) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2562 ซึ่งในคราวประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 ได้มีมติเห็นชอบแผนบูรณาการดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอ ใช้เป็นกรอบแนวทางใน การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2562 ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. หัวข้อในการรณรงค์ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร”
2. ช่วงเวลาการดำเนินการ กำหนดเป็น 2 ช่วง ดังนี้
2.1 ช่วงเตรียมความพร้อมและการรณรงค์ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน – 26 ธันวาคม 2561
2.2 ช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2561 – 2 มกราคม 2562
3. วัตถุประสงค์
3.1 เพื่อกำหนดเป้าหมาย มาตรการ แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ในการบูรณาการการดำเนินงานด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน และป้องกันการเกิดอุบัติภัยอื่นๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่
3.2 เพื่อให้หน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นำแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2562 ไปเป็นแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและมีเอกภาพ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานตามอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ
3.3 เพื่อกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งการติดตาม
และประเมินผลการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ทุกระดับในช่วงเทศกาลปีใหม่
4. การประเมินความเสี่ยง
ศปถ. ได้นำหลักเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงในระดับพื้นที่ตามระบบการเตือนภัยของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 มาวิเคราะห์ จากจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (พ.ศ. 2559 – 2561) โดยกำหนดให้มีระดับของความเสี่ยง 4 ระดับ ดังนี้
สีแดง หมายถึง สถานการณ์อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายสูงสุดโดยมีค่าเฉลี่ยจำนวนครั้ง
อุบัติเหตุในช่วงเทศกาล มากกว่าหรือเท่ากับ 2 ครั้งต่อวัน ขึ้นไป
สีส้ม หมายถึง สถานการณ์อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายสูงโดยมีค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งอุบัติเหตุ
ในช่วงเทศกาล ตั้งแต่ 1.00 – 1.99 ครั้งต่อวัน
สีเหลือง หมายถึง สถานการณ์อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตราย โดยมีค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งอุบัติเหตุ
ในช่วงเทศกาล ตั้งแต่ 0.01 – 0.99 ครั้งต่อวัน
สีเขียว หมายถึง สถานการณ์อยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงน้อย โดยมีค่าเฉลี่ยจำนวนครั้ง
อุบัติเหตุในช่วงเทศกาลเท่ากับ 0.00
ผลการประเมินความเสี่ยงในช่วงเทศกาลปีใหม่เฉลี่ย 3 ปี ย้อนหลัง (พ.ศ. 2559 – 2561)
ลำดับ |
ระดับความเสี่ยง |
ช่วงเทศกาลปีใหม่ |
1 |
อำเภอในระดับความเสี่ยงสีแดง |
จำนวน 35 อำเภอ |
2 |
อำเภอในระดับความเสี่ยงสีส้ม |
จำนวน 109 อำเภอ |
3 |
อำเภอในระดับความเสี่ยงสีเหลือง |
จำนวน 687 อำเภอ |
4 |
อำเภอในระดับความเสี่ยงสีเขียว |
จำนวน 47 อำเภอ |
5. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน
ได้กำหนดมาตรการในการดำเนินการช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2562 เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทั้งด้านคน ถนน ยานพาหนะและสิ่งแวดล้อม จำนวน 6 มาตรการหลัก และ 1 มาตรการเสริม ดังนี้
มาตรการ |
สาระสำคัญ |
หน่วยงานหลัก |
1. มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน |
- การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง - ด้านสังคมและชุมชน เช่น ให้สมาชิกในครอบครัว คอยตักเตือน และเฝ้าระวังคนในครอบครัว - การรณรงค์ประชาสัมพันธ์และสร้างจิตสำนึกความปลอดภัยทางถนน - การดำเนินการด้านมาตรการองค์กรของหน่วยงานภาครัฐ เช่น ให้หน่วยงานรัฐกำชับเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีด้านวินัยจราจร
|
- กระทรวงมหาดไทย - กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) - กระทรวงคมนาคม (คค.) - กรมสรรพสามัต - สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) - องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) - จังหวัด - อำเภอ - กรุงเทพมหานคร (กทม.) - สำนักงานเขต - หน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง - ทุกส่วนราชการ |
2. มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม |
- มาตรการถนนปลอดภัย “1 ท้องถิ่น 1 ถนนปลอดภัย”โดยให้ อปท. ทุกแห่งจัดให้มีถนนปลอดภัยและสร้างวินัยจราจรให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน - ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและตรวจสอบลักษณะกายภาพของถนน จุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดตัดรถไฟ และดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซมให้มีความปลอดภัย - ให้จัดเตรียมช่องทางพิเศษ ทางเลี่ยงทางลัดและจัดทำป้ายเตือนป้ายแนะนำต่าง ๆ ให้ชัดเจน - ให้จังหวัดจัดให้มีจุดพักรถและจุดบริการ ต่าง ๆ - ให้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าแสงสว่าง สัญญาณไฟจราจร เสาป้าย |
- คค. - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - ตช. - กรมชลประทาน - จังหวัด - กทม. - อปท. |
3. มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ |
- กำหนดมาตรการ แนวทาง เพื่อกำกับ ควบคุม ดูแลรถโดยสารสาธารณะ และรถโดยสารไม่ประจำทาง พนักงานขับรถโดยสาร พนักงานประจำรถ - ขอความร่วมมือกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งให้หยุดประกอบกิจการหรือหลีกเลี่ยงการใช้รถบรรทุกในการประกอบกิจการในช่วงเทศกาลปีใหม่ - เข้มงวด กวดขันกับผู้ใช้รถกระบะที่บรรทุกน้ำหนักเกิน - รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ผู้ขับขี่ ตรวจสอบสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทาง รวมถึงอันตรายจากการบรรทุกผู้โดยสารในกระบะท้าย |
- คค. - จังหวัด - กทม. |
4. มาตรการด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ |
- จัดเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล และหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยกู้ชีพ และกู้ภัย ทั้งด้านบุคลากร เครื่องมือระบบ การติดต่อสื่อสาร การสั่งการ ประสานงาน และการแบ่งมอบพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินในเครือข่ายและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน - จัดเตรียมความพร้อมของระบบการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบเหตุ ณ จุดเกิดเหตุของแต่ละพื้นที่ - ประชาสัมพันธ์ระบบการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ผู้ประสบเหตุควรจะได้รับ
|
- สธ. - สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ - ตช. - กระทรวงยุติธรรม - สำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมธุรกิจประกันภัย - บริษัทกลางคุ้มครอง ผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด - กทม. - จังหวัด - อำเภอ - อปท. |
5. มาตรการความปลอดภัยทางน้ำ
|
- ให้ คค. บูรณาการทำงานร่วมกับจังหวัด (เฉพาะจังหวัดที่มีการสัญจรทางน้ำและ แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ) กทม. อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการกำหนดมาตรการแนวทางการดูแลความปลอดภัยทางน้ำ เพื่อป้องกันการเกิด อุบัติต่าง ๆ |
- คค. - จังหวัด (เฉพาะจังหวัดที่มีการสัญจรทางน้ำและแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ) - กองบังคับการตำรวจน้ำ - กทม. - สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ |
6. มาตรการดูแลความปลอดภัย |
- ให้จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและกทม. พิจารณาหามาตรการหรือแนวทางในการป้องกันและ ลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นพิเศษตามความเหมาะสมของพื้นที่ เพื่อดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในช่วงเทศกาลปีใหม่ |
- จังหวัด - กทม. |
7. มาตรการเสริม |
- ในพื้นที่อำเภอสีแดงและสีส้ม ให้เข้มงวด กวดขัน และกำหนดมาตรการ แนวทางการดำเนินการเป็นกรณีพิเศษ - ให้มีรางวัลสนับสนุนการปฏิบัติงานกับจังหวัดและอำเภอที่มีสถิติผลการดำเนินงานด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนดีเด่น - ให้ ศปถ. จังหวัดและกทม. จัดตั้งคณะทำงานวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปประเด็นสำคัญและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหา นำเสนอต่อคณะกรรมการศปถ. จังหวัด/กทม. เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการ แนวทางในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนต่อไป |
- จังหวัด - อำเภอ |
ทั้งนี้ ให้ใช้งบประมาณปกติของแต่ละหน่วยงานในการดำเนินงานช่วงเทศกาลปีใหม่ สำหรับ อปท. ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการเบิกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนตามคำสั่งของ อปท.
18.เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 4/2561 ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
มติ กนป. ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ดังนี้
1. โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน
เห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร เสนอ เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ให้สามารถรักษาศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยจะช่วยเหลือค่าครองชีพให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่มีปาล์มน้ำมันซึ่งให้ผลผลิตแล้ว (อายุมากกว่า 3 ปี) และขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 150,000 ราย พื้นที่ไม่เกิน 2,250,000 ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริง ในอัตราไร่ละ 1,500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ วงเงินรวมทั้งสิ้น 3,458,206,250 บาท
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร รับผิดชอบโครงการฯ ทำหน้าที่กำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการกำกับดูแล และดำเนินการตามโครงการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ
มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับโรงไฟฟ้าบางปะกง จำนวน 160,000 ตัน ให้เสร็จโดยเร็ว โดยให้ กฟผ. รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ส่งที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง และให้หน่วยงาน เช่น โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ลานเท และ/หรือ องค์การคลังสินค้า ที่จำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้ กฟผ. จะต้องซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับ กรมส่งเสริมการเกษตร ในปริมาณที่สอดคล้องกับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ได้จำหน่ายให้กับ กฟผ. ในราคาที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ได้จำหน่ายให้กับ กฟผ. ณ อัตราน้ำมันร้อยละ 18 โดยให้ กฟผ. เป็นผู้รับภาระในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขนส่งและการเก็บรักษา ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
3. มาตรการกำหนดมาตรฐานโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม
มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องกำหนดวัตถุดิบและคุณภาพผลิตภัณฑ์ของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
4. มาตรการการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 10
มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานเร่งรัดการออกประกาศมาตรฐานคุณภาพบี 100 ใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับการผสม บี 10 โดยเร็ว
19.เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินงานโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน
2. อนุมัติวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน จำนวน 3,458,206,250 บาท แบ่งเป็น
2.1 ค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน วงเงิน 3,375,000,000 บาท ใช้เงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสํารองจ่ายไปก่อน
2.2 ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานและค่าธรรมเนียมโอนเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน 1,500,000 บาท และชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR + 1 (ปัจจุบัน FDR+1 = 2.175) วงเงิน 73,406,250 บาท
ทั้งนี้ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามความจําเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป เพื่อชดเชยตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง
2.3 ค่าบริหารจัดการโครงการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ในวงเงิน 8,300,000 บาท
3. มอบหมายคณะกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัดและระดับอำเภอ และคณะทํางานตรวจสอบสิทธิ์ระดับตําบล ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนด
สาระสำคัญ
น้ำมัน และช่วยเหลือค่าครองชีพของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน
2. เป้าหมาย เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรที่ให้ผลผลิตแล้ว (อายุมากกว่า 3 ปี) จำนวน 150,000 ราย พื้นที่ไม่เกิน 2,250,000 ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริงในอัตราไร่ละ 1,500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่
3. วิธีดำเนินการ
3.1 การเข้าร่วมโครงการ มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันจะต้องแจ้งยืนยันขอรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการกับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1) เกษตรกรต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น และบรรลุนิติภาวะ
2) เป็นหัวหน้าครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันกับกรมส่งเสริมการเกษตร ภายในเดือนธันวาคม 2561 กรณีที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วก่อนปี 2561 ให้มาปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันภายในเดือนธันวาคม 2561 เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ทะเบียนบ้านที่นำมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรจะต้อง มีการกำหนดบ้านเลขที่ และกรณีที่ย้ายเข้าทะเบียนบ้านใหม่ ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขของกระทรวงมหาดไทย ก่อนวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561
3) เป็นเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
4) เป็นเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน
ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ รวมทั้งสิ้น 47 รายการ ตามหนังสือของกรมป่าไม้ ที่ ทส. 1602.3/2454 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 และเป็นพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตแล้ว (อายุมากกว่า 3 ปี)
3.2 การตรวจสอบรับรองสิทธิ์เกษตรกร
1) ให้มีคณะทํางานตรวจสอบสิทธิ์ระดับตําบล เป็นผู้ตรวจสอบสิทธิ์
2) ให้มีคณะกรรมการบริหารโครงการระดับอําเภอ เป็นผู้รับรองสิทธิ์
3) ให้มีคณะกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัด กํากับดูแล และแก้ไขปัญหาการรับรองสิทธิ์ของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน
3.3 การขอใช้สิทธิ์เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ
1) กรมส่งเสริมการเกษตร ประกาศรายชื่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ที่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ให้เกษตรกรตรวจสอบข้อมูล เพื่อแจ้งยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ
2) การตรวจสอบสิทธิ์ โดยคณะทํางานตรวจสอบสิทธิ์ระดับตำบล มีหน้าที่ตรวจสอบสิทธิ์
3) การรับรองสิทธิ์ โดยคณะกรรมการบริหารโครงการระดับอําเภอ มีหน้าที่รับรองสิทธิ์และบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบสารสนเทศของกรมส่งเสริมการเกษตร
4) กรมส่งเสริมการเกษตรส่งผลการรับรองสิทธิ์ไปยังธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สํานักงานใหญ่ ตรวจสอบประมวลผลและโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ตลอดจนรับทราบขั้นตอนเข้าร่วมโครงการ เช่น การเตรียมเอกสารหลักฐาน ประกอบการยืนยันขอรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ
ให้ครบถ้วน รวมทั้งประชุมชี้แจงเจ้าหน้าที่ เพื่อทําความเข้าใจหลักเกณฑ์และขั้นตอนการรับเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตแล้ว เข้าร่วมโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ให้สามารถปฏิบัติงานได้ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
4.ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 - กันยายน 2562 หากไม่มีปัญหาอุปสรรค สามารถดําเนินการได้ ภายใน 3 เดือน
20.เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2561
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2561 ตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
กนย. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 มีมติในเรื่องสำคัญต่างๆ ดังนี้
1. ข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานการประชุม กนย.
1) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และการยางแห่งประเทศไทย จัดตั้งคณะทำงาน โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นฝ่ายเลขานุการ เพื่อศึกษาหารูปแบบการทำสวนยางแบบใหม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบแปลงสวนยาง โดยปลูกพืชร่วมยาง พืชแซมในสวนยาง พืชที่มีศักยภาพปลูกแทนยางพารา โดยใช้งบประมาณของการยางแห่งประเทศไทย
2) มอบหมายให้อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ประสานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งตรวจสอบการเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือด้านยางพาราตามมติ กนย. ที่กำลังดำเนินการต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบันของสถาบันเกษตรกร ทั้งโครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการรวบรวมยาง และโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา เกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของการเบิกจ่ายเงินไม่เต็มกรอบวงเงินที่อนุมัติ พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไข
3) ให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำแบบฟอร์มสำรวจจำนวนโครงการและปริมาณน้ำยางสดในการทำถนนที่มียางพาราเป็นส่วนผสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้การยางแห่งประเทศไทย ดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เรื่องการจัดทำถนนที่มียางพาราเป็นส่วนผสม
2. เรื่องที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ
1) โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง
เห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561–2562 โดยมีกรอบวงเงิน 17,512,734,883 บาท ให้ใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สำรองจ่ายไปก่อน จำนวน 17,007,204,860 บาทและให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามขั้นตอนต่อไป ตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ค่าธรรมเนียมโอนเงินและชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1 (ปัจจุบัน FDR+1 = 2.175) จำนวน 379,030,023 บาท
ทั้งนี้ ในส่วนค่าบริหารจัดการโครงการ จำนวน 126,500,000 บาท ให้ใช้จ่ายจากกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา 49 (3) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ.2558 ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยแล้ว ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทย นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
2) โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร
เห็นชอบในหลักการโครงการสร้างถนน 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ตามที่การยางแห่งประเทศไทยเสนอ และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
3) โครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร
เห็นชอบในหลักการโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร ตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์เสนอ และมอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
21.เรื่อง โครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร
2. เห็นชอบให้ใช้สินเชื่อจากสภาพคล่องของ ธ.ก.ส. ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 – 28 กุมภาพันธ์ 2563 ระยะเวลาจ่ายเงินกู้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 – 31 มีนาคม 2562 กำหนดชำระคืนไม่เกิน 12 เดือน นับจากวันกู้ โดยให้สถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.99 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ไม่เกิน 199.50 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระที่เกิดขึ้นจริง
3. เห็นชอบให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณอุดหนุนจ่ายขาดให้กับสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าบริหารจัดการในการรวบรวมยางพาราในอัตราร้อยละ 2 บาทต่อกิโลกรัม ผ่านกรมส่งเสริมสหกรณ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 200 ล้านบาท ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์จะเปิดบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. และให้ ธ.ก.ส. ทำหน้าที่โอนเงินให้สถาบันเกษตรกรตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพราคายางพาราไม่ให้ต่ำกว่าราคาตลาด เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันเกษตรกรสามารถรวบรวมยางพาราเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ และสนับสนุนสินเชื่อและเงินชดเชยค่าบริหารจัดการให้แก่สถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพเป็นแม่ข่ายในการรวบรวมยางพาราเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ
2. เป้าหมายการสนับสนุน คือ สถาบันเกษตรกร ได้แก่ สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 – 28 กุมภาพันธ์ 2563 โดยเสริมสร้างศักยภาพให้สถาบันเกษตรกรที่เป็นแม่ข่ายสามารถดำเนินธุรกิจรวบรวมและหรือแปรรูปยางพาราและหรือจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศและหรือผู้ส่งออก จำนวน 100,000 ตัน โดยใช้แหล่งเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
3. ธ.ก.ส. คิดดอกเบี้ยจากโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี สถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. อัตรารัอยละ 3.99 ต่อปี รวม 199.50 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ขอตั้งบประมาณเพื่อรับการชดเชยตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวงเงินที่ได้รับการเห็นชอบ
4. จัดสรรงบประมาณอุดหนุนจ่ายขาดการชดเชยค่าบริหารจัดการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อให้สถาบันเกษตรกรเป็นค่าบริหารจัดการในการรวบรวมยางพาราให้กับสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเงิน 200 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ทำหน้าที่โอนเงินให้กับสถาบันเกษตรกรต่อไป
22.เรื่อง โครงการช่วยเหลือและสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 – 2562 และหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการจ่ายเงิน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 – 2562
2. อนุมัติกรอบวงเงินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 – 2562 กรอบวงเงิน 17,512,734,883 บาท โดยให้ใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สำรองจ่ายไปก่อนจำนวน 17,007,204,860 บาท และให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป เพื่อชดเชยตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมโอนเงิน และชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1 (ปัจจุบัน FDR+1 = 2.175) จำนวน 379,030,023 บาท หรือตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ส่วนค่าบริหารจัดการโครงการ จำนวน 126,500,000 บาท ให้ใช้จ่ายจากกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา 49(3) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558
3. อนุมัติหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการจ่ายเงิน โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 – 2562
สาระสำคัญของโครงการ
โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 – 2562 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้มแข็ง และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรรายย่อยทั้งเจ้าของสวนยางและคนกรีดยาง สามารถบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพ
1. เป้าหมาย เกษตรกรชาวสวนยางที่มีสวนยางในพื้นที่มีเอกสารสิทธิ์ ที่เปิดกรีดแล้วและขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย ก่อนวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 จำนวน 999,065 ราย และคนกรีดยาง 304,266 ราย รวมเนื้อที่ 9,448,447 ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามพื้นที่เปิดกรีดจริงไร่ละ 1,800 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่ (กรณีมีคนกรีดยางแบ่งเป็นเจ้าของสวนยาง 1,100 บาทต่อไร่ และคนกรีดยาง 700 บาทต่อไร่)
2. ระยะเวลาดำเนินการ 10 เดือน (ธันวาคม 2561 – กันยายน 2562)
3. วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 17,512,734,883 บาท จำแนกเป็น
1) งบประมาณในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง และคนกรีดยาง จำนวน 17,007,204,860 บาท
2) งบประมาณชดเชยต้นทุนเงินของ ธ.ก.ส. อัตรา FDR+1 จำนวน 369,906,706 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและค่าธรรมเนียมโอนเงิน ธ.ก.ส. ให้เจ้าของสวนและคนกรีดยาง จำนวน 9,123,317 บาท
3) งบบริหารโครงการ จำนวน 126,500,000 บาท
23.เรื่อง โครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบ เฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
ยสท. ได้พิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ จากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบในฤดูการผลิต 2561/2562 ของ ยสท. และได้เสนอโครงการฯ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
24.เรื่อง โครงการ/กิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2562 มอบให้แก่ประชาชน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ โครงการ/กิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2562 มอบให้แก่ประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 โดยแบ่งตามกลุ่มเป้าหมายเป็น 2 กลุ่ม รวม 27 โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ 1) วทน. เพื่อเด็ก เยาวชน และประชาชน (24 โครงการ/กิจกรรม) และ 2) วทน. เพื่อเกษตรกรและผู้ประกอบการ (3 โครงการ/กิจกรรม) โดยมีโครงการ/กิจกรรมที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้
1. วทน. เพื่อเด็ก เยาวชน และประชาชน |
||
โครงการ/กิจกรรม |
ระยะเวลา |
สถานที่ |
1.1 ยกเว้นค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Space Inspirium ชลบุรี |
5 ธันวาคม 2561 – 13 มกราคม 2562 |
Space Inspirium ณ อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี |
1.2 ยกเว้นค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ วิทยาศาสตร์ รับปีใหม่ 2562 |
22 ธันวาคม 2561 – 5 มกราคม 2562 |
องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี |
1.3 กิจกรรมดูดาวฟรีที่หอดูดาวภูมิภาค ทั้ง 3 แห่ง และที่ AstroPark จังหวัดเชียงใหม่ |
วันเสาร์ของทุก ๆ สัปดาห์ เวลา 17.00 – 22.00 น. |
AstroPark จังหวัดเชียงใหม่ |
1.4 กิจกรรมชมปรากฏการณ์ Super Full Moon ณ AstroPark หอดูดาวภูมิภาคทั้ง 3 แห่ง และ เครือข่าย 360 โรงเรียนทั่วประเทศ |
21 มกราคม 2562 เวลา 16.00 – 23.00 น. |
AstroPark หอดูดาวภูมิภาคทั้ง 3 แห่ง และเครือข่าย 360 โรงเรียนทั่วประเทศ |
1.5 สนับสนุนการเรียนรู้ด้วย CD บทเรียน e-learning สำหรับ เด็กนักเรียน |
12 ธันวาคม 2561 – 12 มกราคม 2562 |
โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาทั่วประเทศ |
1.6 กิจกรรมอบรม STEAM 4 INNOVATOR |
10 – 12 มกราคม 2562 |
อาคารอุทยานนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) |
1.7 จิสด้า ลดราคาค่าลงทะเบียน ฝึกอบรม 2 หลักสูตร (จาก 15,000 บาท เหลือ 7,500 บาท) เพื่อเป็นของขวัญ ให้กับประชาชน
|
มกราคม 2562 |
ณ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (บางเขน) |
1.8 โรงเรียนผู้สูงอายุป้องกัน โรคอัลไซเมอร์ |
25 พฤศจิกายน 2561 เวลา 08.00 – 17.00 น. |
ห้องประชุมศรีสุริยวงศ์บอลรูม ชั้น 11 โรงแรมตวันนา สุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร |
1.9 โครงการบูรณาการ การเรียนรู้กับการทำงาน (Work integrated Learning WiL) |
ธันวาคม 2561 – มกราคม 2562 |
สถานศึกษา และสถานประกอบการ ทั่วประเทศ |
2. วทน. เพื่อเกษตรกรและผู้ประกอบการ |
||
โครงการ/กิจกรรม |
ระยะเวลา |
สถานที่ |
2.1 จัดโปรโมชั่นลดราคาร้อยละ 20 งานบริการภาคอุตสาหกรรม 3 เดือน |
1 มกราคม – 31 มีนาคม 2562 |
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี |
2.2 คู่มือบริหารจัดการน้ำ จำนวน 200 เล่ม |
พฤศจิกายน 2561 |
ทุกจังหวัดทั่วประเทศ |
25.เรื่อง การจัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อมอบให้ประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2562 (มท.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ เรื่อง การจัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อมอบให้ประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2562 ภายใต้แนวคิด “127 ปี มหาดไทย ทุกหัวใจเราดูแล” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจในการ “บำบัดทุกข์” และ “บำรุงสุข” รวมทั้งสิ้น 22 โครงการ (“บำบัดทุกข์” 9 โครงการ และ “บำรุงสุข” 13 โครงการ) มีโครงการที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้
งานที่เสนอเป็นของขวัญปีใหม่ |
รายละเอียด |
หน่วยงาน |
ดูแลประชาชนตามภารกิจ “บำบัดทุกข์” |
||
1) ร้องเรียนร้องทุกข์ผ่านแอปฯ MOI 1567 |
พัฒนาระบบการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชนให้มีความสะดวกรวดเร็ว สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทุกที่ทุกเวลาโดยนำแอปพลิเคชัน MOI 1567 และเว็บไซต์ศูนย์ดำรงธรรม (www.damrongdhama.moi.go.th) มาเป็นช่องทางในการร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 |
สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย (ศูนย์ดำรงธรรม มท.) |
2) Share happiness: ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน |
สนับสนุนครัวเรือนยากจนให้มีการบริหารจัดการชีวิตได้อย่างเหมาะสมและพึ่งตนเองได้ เน้นการใช้พลังชุมชนโดยผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน เพื่อแก้ปัญหาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป้าหมาย จำนวน 15,429 ครัวเรือน ตั้งแต่เดือนมกราคม – กันยายน 2562 |
กรมการพัฒนาชุมชน |
3) ศูนย์ดำรงธรรม นำสุข คลายทุกข์ด้านที่ดิน ปี 2562 |
ให้บริการประชาชนในการรับแจ้งข่าวสาร ข้อสงสัย และปัญหาความเดือดร้อนผ่านระบบ HOT LINE จำนวน 10 คู่สาย เพื่อบริการตอบข้อสงสัยโดยผู้เชี่ยวชาญ ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
|
กรมที่ดิน |
4) Happy Lands แพ็คเกจความสุขมอบให้ประชาชน |
ให้บริการใน 3 กิจกรรม ดังนี้ 1) กิจกรรมที่ 1 “จดทะเบียนตามนัด” 2) กิจกรรมที่ 2 “วันรังวัดเลือกได้” และ 3) กิจกรรมที่ 3 “บริการสุขใจ” ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2562 |
กรมที่ดิน |
ดูแลประชาชนตามภารกิจ “บำรุงสุข” |
||
5) แบบบ้านสานฝันของขวัญ ปีใหม่ ปี 2562 |
จัดทำแบบบ้านเพื่อสนองตอบความต้องการให้กับประชาชน จำนวน 7 แบบ จำแนกได้ 1) แบบบ้านอารยสถาปัตย์ จำนวน 3 แบบ 2) แบบบ้านผู้ประสบภัย จำนวน 4 แบบ ได้แก่ แบบบ้านประสานพิกัด จำนวน 2 แบบ และแบบบ้านสำเร็จรูปจากโรงงาน จำนวน 2 แบบ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 – พฤษภาคม 2562 |
กรมโยธาธิการ และผังเมือง |
6) ห้องน้ำท้องถิ่นสะอาดและปลอดภัย |
พัฒนาห้องน้ำสาธารณะในความรับผิดชอบของ อปท. ทุกแห่งโดยเน้นการพัฒนาให้บรรลุ 3 เรื่อง คือสะอาด เพียงพอ และปลอดภัย ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 – กันยายน 2562 |
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น |
7) คืนคลองสวยทั่วไทยสุขใจเที่ยวท้องถิ่น |
สนับสนุนให้ อปท. ร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ในรูปแบบ “ประชารัฐ” ดำเนินการคัดเลือก และปรับปรุงพัฒนาคูคลองและพื้นที่บริเวณริมคลอง เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีคลอง วิถีเกษตร และประวัติศาสตร์ ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 |
กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น |
8) ถนนสายไร้สายสร้างสุขเพื่อคนเมือง ปี 2562 |
ดำเนินการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงดิน เพิ่มเติมในอีก 3 เส้นทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่สำคัญ รวมระยะทาง 3.85 กิโลเมตร ประกอบด้วย 1) ถนนนานาเหนือ 0.75 กิโลเมตร 2) ถนนวิทยุ 2.1 กิโลเมตร และ 3) ถนนสาธุประดิษฐ์ 1 กิโลเมตร ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวามคม 2562 |
การไฟฟ้านครหลวง |
9) ชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA |
ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการใช้ไฟฟ้าของประชาชน และเผยแพร่ส่งเสริมความรู้ที่เป็นประโยชน์เรื่องการใช้ไฟฟ้าสู่สาธารณะโดยตรวจสอบระบบไฟฟ้าในชุมชนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและอัคคีภัย ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2562 |
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค |
10) กปภ. อาสาดูแลประปา เพื่อปวงชน |
กปภ. สาขา (234 สาขาทั่วประเทศ ครอบคลุม 74 จังหวัด) จัดส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้บริการดูแลซ่อมแซมระบบประปาภายในบ้านเรือน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมปรับปรุงฐานข้อมูลปัจจุบันของผู้ใช้น้ำ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 – มกราคม 2562 |
การประปาส่วนภูมิภาค |
26.เรื่อง โครงการความร่วมมือระหว่างกองทัพบก และ วช. : พอเพียงเพิ่มพลังชุมชน มั่นคงด้วยวิจัยและนวัตกรรม” บรรจุในแผนกิจกรรมเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปี พ.ศ. 2562)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอให้บรรจุ “โครงการความร่วมมือระหว่างกองทัพบก และ วช. : พอเพียงเพิ่มพลังชุมชน มั่นคงด้วยวิจัยและนวัตกรรม” ในแผนกิจกรรมเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปี พ.ศ. 2562) ดังนี้
สาระสำคัญ
กองทัพบก ในฐานะหน่วยงานภาคความมั่นคง ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง ประชาชนมีความสุขโดยการเสริมสร้างการพัฒนาคน เครื่องมือ เทคโนโลยี ให้มีศักยภาพ สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง และได้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงขึ้นใน 4 ภูมิภาคของประเทศ เพื่อน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชาตามนโยบายรัฐ ในการนำไปสู่การปฏิบัติ เผยแพร่ และขยายผล โดยมุ่งหมายให้กำลังพลและชุมชนรอบข้างศูนย์ฯ มีการครองตนที่พอเพียง รู้เท่าทันสถานการณ์บ้านเมือง รู้เท่าทันภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัวและชุมชน สามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ดำรงชีวิตอย่างพอเพียง อันเป็นการสร้างชุมชนสังคมที่เข้มแข็ง สมดุล เป็นกลไกเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศโดยรวม
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในฐานะหน่วยงานภาคการวิจัย ที่ได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการในภาพรวมของการขับเคลื่อนผลักดันให้เกิดการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในมิติการพัฒนาเชิงพื้นที่ จึงได้พิจารณาองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ วช. ให้การสนับสนุนและมีความพร้อมต่อการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการส่งเสริม การพัฒนาอาชีพ คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม โดยการน้อมนำแนวทางพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชาตามนโยบายรัฐ เป็นแนวทางในการบูรณาการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับบทบาทภาคความมั่นคงโดยกองทัพบก ซึ่งมีศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงครอบคลุมทั่วประเทศ ดำเนินกิจกรรมร่วมกันเพื่อส่งต่อความสุข โดยการมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่โดยรอบศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงที่มีอยู่ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ใน “โครงการความร่วมมือระหว่างกองทัพบก และ วช. : พอเพียงเพิ่มพลังชุมชน มั่นคงด้วยวิจัยและนวัตกรรม”
สำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว กองทัพบก และ วช. จะร่วมกันในการขยายผลองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม สู่ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยการคัดกรององค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีความพร้อมและเหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่ชุมชน และนำสู่การขยายผลองค์ความรู้เหล่านั้นไปยังศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและชุมชนโดยรอบในความดูแลของศูนย์ฯ ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการร่วมกันได้ทันที โดยขยายผลไปยังศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ ไม่น้อยกว่า 20 ศูนย์ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ชุมชน รวมถึงกำลังพล จำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน อันจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนและชุมชนฐานรากของประเทศได้อย่างยั่งยืนด้วยวิจัยและนวัตกรรม ส่งผลให้ประชาชน กำลังพลและชุมชนที่ได้รับประโยชน์จากองค์ความรู้การวิจัยและนวัตกรรมใน ศูนย์การเรียนรู้ฯ มีอาชีพ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในบริบทการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง
27.เรื่อง ของขวัญปีใหม่มอบให้แก่ประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2562 ของกระทรวงยุติธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการ/กิจกรรมของขวัญปีใหม่มอบให้แก่ประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2562 ของกระทรวงยุติธรรม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
สรุปโครงการหรือกิจกรรมที่จะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2562 รวม 27 โครงการ
แนวทาง |
โครงการ/กิจกรรม |
ระยะเวลา |
สถานที่ดำเนินการ |
1. การลดภาระค่าใช้จ่าย และช่วยเหลือประชาชน ให้เข้าถึงความยุติธรรม |
1.1 การขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดของ กรมบังคับคดีสำหรับโครงการประชารัฐสวัสดิการ (กบค.) |
เริ่ม ม.ค. 62 |
- ส่วนกลาง - สบค.ทั่วประเทศ |
1.2 การจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี (กบค.) |
พ.ย. 61 - ก.ย.62 62 |
- กรุงเทพฯ และ จังหวัดกลุ่ม 1-9 |
|
1.3 การจัดมหกรรมขายทอดตลาด ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติ (กบค.) |
2 ธ.ค. 61 - 3 ก.พ. 62 |
- ศูนย์ประชุม แห่งชาติสิริกิติ์ |
|
1.4 การจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ในโครงการ DJOP Center ซึ่งเป็นผลงานของเด็กและเยาวชนในความดูแลของกรมพินิจฯ ในราคาพิเศษ (ลดราคา 10 - 20 %) (กพน.) |
15 ธ.ค. 61- 15 ม.ค. 62 |
- สถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกฯ |
|
1.5 การให้บริการการบันทึกภาพลักษณะร่องรอย ตำหนิพิเศษของพระเครื่องให้กับประชาชน ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ (สนว.) |
17 ธ.ค. 61 - 15 ม.ค. 62 |
- สถาบันนิติ วิทยาศาสตร์ |
|
1.6 การจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ซี่งเป็นผลงานของผู้ต้องขัง ในราคาพิเศษ (รท.) |
24 ธ.ค. 61 - 5 ม.ค. 62 |
- ร้านจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เรือนจำ และทัณฑสถาน |
|
2. การให้บริการความรู้และความเข้าใจด้านกฎหมาย |
2.1 บริการแจ้งสิทธิและจัดทำคำขอรับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาที่เป็นเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติ ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ (กคส.) |
15 ธ.ค. 61 - |
- ส่วนกลาง - สพน.ทั่วประเทศ |
2.2 การให้ความรู้กฎหมายแก่ประชาชน : - กฎหมายค้ำประกัน จำนอง พรบ.หลักประกันทางธุรกิจ และ พรบ.ล้มละลาย(ฉบับที่ 9) - กฎหมายการบังคับคดีและการไกล่เกลี่ยแก่เกษตรกรและประชาชน - การเสริมสร้างสุขภาพทางการเงิน (กบค.) |
ม.ค.-ก.พ. 62 พ.ย.-ธ.ค. 61 ต.ค.-ธ.ค. 61 |
- 18 จังหวัด
- จังหวัดกลุ่ม 1-9 - จังหวัดกลุ่ม 1-9 |
|
2.3 การลงพื้นที่ทั่วประเทศในการให้คำปรึกษากฎหมาย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (กบค.) |
ช่วงเทศกาล ปีใหม่ |
- สถานีขนส่งสายใต้ - สบค.ทั่วประเทศ |
|
2.4 “ส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมายกลับบ้าน ในเทศกาลปีใหม่” (สกธ.) |
26 ธ.ค. 61 |
- สถานีขนส่ง หมอชิต - สถานีรถไฟ หัวลำโพง |
|
2.5 ยุติธรรมใส่ใจ ส่งความห่วงใย จากวัยใส สู่ผู้ปกครอง - จัดอบรมให้ความรู้แก่ชุมชน ผ่านโรงเรียนและครอบครัว (กคส.) |
24 ธ.ค. 61 |
- โรงเรียน ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี |
|
2.6 การให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิตาม พ.รบ.ค่าตอบแทนและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (คป.) |
15 ธ.ค. 61 - |
- พื้นที่ของ สคป. รวม 57 แห่ง |
|
2.7 การให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับแก่ผู้ต้องโทษกักขัง และผู้ต้องโทษปรับที่ไม่มีเงินชำระ (คป.) |
15 ธ.ค. 61 - |
1. ศาล 2. สถานกักขัง |
|
2.8 รณรงค์สร้างจิตสำนึกความปลอดภัยทางถนน - บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายฯ ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุกระจายเสียง วิทยุชุมชน (คป.) |
15 ธ.ค. 61 - |
- พื้นที่ในความ รับผิดชอบของ สคป. |
|
2.9 กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด (ป.ป.ส.)
|
15 ธ.ค. 61 - |
- สถานีขนส่ง 15 แห่ง |
|
3. การบริการงานยุติธรรมช่วงเทศกาล ปีใหม่
|
3.1 ยุติธรรมใส่ใจ (Justice Care) ให้คำปรึกษาแนะนำ และประสานการช่วยเหลือแบบบูรณาการฯ (สชจ.) |
เริ่มตั้งแต่ พ.ย. 61 |
- สำนักงานยุติธรรม จังหวัด ทั่วประเทศ |
3.2 สร้างสุข ปันยิ้ม : การจัดกิจกรรมสันทนาการให้กับผู้ที่ไม่ได้ฉลองปีใหม่กับครอบครัว (คป.) |
15 ธ.ค. 61 - |
- บ้านพักคนชรา - บ้านเด็กกำพร้า - โรงพยาบาล - สถานสงเคราะห์ |
|
3.3 การทำงานบริการสังคมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและ สภาพแวดล้อม แบ่งเป็น 2 กิจกรรม 1) กิจกรรมบริการสังคม เช่น ตัด แผ้วถางต้นไม้ หรือสิ่งกีดขวางบริเวณข้างทางในจุดเสี่ยง ทางร่วมของถนนสายหลักและสายรอง 2) สนับสนุนช่วยเหลือการปฏิบัติงานช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ฯ ณ ด่านตรวจชุมชน จุดตรวจ เช่น ให้บริการแจกผ้าเย็น เครื่องดื่ม ดูแลประชาชนบริเวณจุดพักรถ (คป.) |
15 ธ.ค. 61 - |
- พื้นที่ในความ รับผิดชอบของ สคป. |
|
3.4 โครงการบำเพ็ญประโยชน์ แบ่งเป็น 2 กิจกรรม 1) กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ ภายใต้โครงการจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” 2) กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ของเด็กและเยาวชนในความดูแลของกรมพินิจฯ ร่วมด้วยผู้บริหารหน่วยงาน (กพน.) |
7 ธ.ค. 61 - 15 ม.ค. 62 |
- สถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกฯ |
|
3.5 โครงการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ - นักโทษเด็ดขาดที่รับอนุมัติจ่ายออกทำงานสาธารณะ นอกเรือนจำ หรือได้รับอนุญาตให้ออกทำงานนอกเรือนจำ ออกไปทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกับชุมชน เช่น 1 เรือนจำ 1 วัด 1 โรงเรียน (รท.) |
26 ธ.ค. 61 |
1. เรือนจำ 2. ทัณฑสถาน 3. สถานกักขัง |
|
3.6 กิจกรรม “อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์” - การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ - การสาธิตการฝึกวิชาชีพ - การแสดงของผู้ต้องขังบนเวทีกลาง (รท.) |
9 ธ.ค. 61 - 19 ม.ค. 62 |
- ลานพระราชวัง ดุสิต และสนามเสือป่า |
|
3.7 Justice Care and Clean - ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ร่วมกันทำความสะอาดเก็บขยะบริเวณริมหาดพัทยาเหนือ (กคส.) |
16 ธ.ค. 61 |
- หาดพัทยาเหนือ จังหวัดชลบุรี |
|
3.8 กิจกรรมตรวจเยี่ยมและสร้างความสัมพันธ์ในพื้นที่/ชุมชน (ป.ป.ส.) |
24 ธ.ค. 61 - |
- หมู่บ้าน 30 แห่ง - โรงเรียน 10 แห่ง |
|
3.9 การแก้ไขปัญหาจากรายงานคำขอรับความช่วยเหลือที่ คงค้างพิจารณาในภาพรวมทั่วประเทศ จาก 45 วัน ให้สามารถปรับลดระยะเวลาได้ 21 วัน (กองทุนยุติธรรมฯ) |
เริ่ม ม.ค. 62 |
- กองทุนยุติธรรม |
|
3.10 โครงการป้องกันการใช้สารเสพติดและการลักลอบลำเลียงยาเสพติดในช่วงเทศกาลปีใหม่ (ป.ป.ส.) |
20 ธ.ค. 61 - 5 ม.ค. 62 |
-สถานีขนส่ง 15 แห่ง และสถานีรถไฟ 1 แห่ง |
|
4. การบริการงานยุติธรรมผ่านระบบเทคโนโลยี |
4.1 การเยี่ยมเด็กและเยาวชนทางไกล ผ่านระบบ Conference (กพน.) |
15 ธ.ค. 61 - 15 ม.ค. 62 |
- สถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกฯ |
4.2 โครงการเผยแพร่ Infographic และช่องทางติดต่อสายด่วน กระทรวงยุติธรรม (1111 กด 77) ผ่าน Mobile Application ในระบบปฏิบัติการ Android (ศูนย์เทคโนฯ สป.ยธ.)
|
22 พ.ย. - 26 ธ.ค. 61 |
- สป.ยธ. |
28.เรื่อง ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน” ประจำปี พ.ศ. 2562 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน” ประจำปี พ.ศ. 2562 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ประกอบด้วย
ลำดับ |
ข้อเสนอ |
ข้อมูลสรุปกิจกรรม |
---|---|---|
1 |
ยกเว้นค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ จำนวน 3 แห่ง |
ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 61 - 1 ม.ค. 62 การเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์และยกเว้นค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติธรณีวิทยาเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี พิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาฬสินธุ์ และศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น |
2 |
การประกาศอุทยานธรณีโคราช เป็นอุทยานธรณีระดับประเทศ แห่งที่ 2 ของประเทศไทย |
การประกาศอุทยานธรณีโคราช เป็นอุทยานธรณีระดับประเทศ แห่งที่ 2 ของประเทศไทย ในปี 2562 ประชาชนจะมีส่วนร่วมในความภาคภูมิใจที่ดำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรธรณี สิ่งมีชีวิต ศิลปะวัฒนธรรมของชุมชนตามแนวทางของยูเนสโก เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และมีการพัฒนาท้องถิ่นชุมชนอย่างยั่งยืน |
3 |
กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ต้นแบบวิถีชีวิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม |
จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ต้นแบบวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น กิจกรรมการลดใช้ถุงพลาสติก เป็นต้น ดำเนินการในพื้นที่ต้นแบบ 4 ภูมิภาค พร้อมจัดทำคลิปเผยแพร่ตลอดปี 2562 |
4 |
ห้องสมุดความหลากหลายทางชีวภาพ ในรูปแบบดิจิทัล (Biodiversity Digital Library) |
เผยแพร่ห้องสมุดความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบดิจิทัล (Biodiversity Digital Library) บนเว็บไซต์ bedolib.bedo.or.th ของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) เพื่อเป็นองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น |
5 |
จัดงาน Botanic Festival 2019 “ผักสวนครัว รั้วดอกไม้” (Home Garden) |
ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.61 - 2 ม.ค. 62 ณ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จ |
6 |
ลดราคาผลิตภัณฑ์องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (เฟอร์นิเจอร์ ไม้สัก) |
ระหว่างวันที่ 23 ธ.ค. 61 - 5 ม.ค. 62 ลดราคาผลิตภัณฑ์องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก) (ลด 5% ทุกรายการ , ลด 7% เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ 10,000 - 40,000 บาท และ ลด 10% เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ 40,000 บาท ขึ้นไป) ณ ส่วนอุตสาหกรรมไม้บางโพ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคกลาง กรุงเทพฯ และห้องโชว์ผลิตภัณฑ์องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ |
7 |
ลดราคาที่พักนักท่องเที่ยว |
ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 61 - 28 ก.พ. 62 ลดราคาที่พักนักท่องเที่ยว (ลด 10%) ในบริเวณพื้นที่สวนป่าแม่ยาว-แม่ซ้าย จังหวัดเชียงราย, สวนป่าเขากระยาง จังหวัดพิษณุโลก, สวนป่าแม่ละเมา จังหวัดตาก, สวนป่าทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี, สวนป่าเกริงกระเวีย จังหวัดกาญจนบุรี และสถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ฯ |
8 |
งดเว้นค่าเข้าชมการแสดงช้าง |
ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 61 - 28 ก.พ. 62 งดเว้นค่าเข้าชมการแสดงช้างสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ ตามนโยบายรัฐบาล (ฟรี) และลดราคาค่าเข้าชมการแสดงช้าง สำหรับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป (ลด 10%) ณ สถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ฯ |
9 |
มอบบัตรประจำตัวอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล (อสทล.) (Marine Rangers) |
มอบบัตรประจำตัวอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ให้แก่ภาคีเครือข่ายอาสา สมัครพิทักษ์ทะเล จำนวน 6,471 คน ซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล พ.ศ. 2560 ที่ได้รับการรับรองตาม พ.ร.บ. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มาตรา 16 อย่างถูกต้อง |
10 |
โครงการ “ป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” |
เปิดโครงการ “ป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” จำนวน 12 แห่ง เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับป่า สร้างป่า ดูแลป่า ใช้ประโยชน์/ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ป่าในเมืองได้ เช่น ชมวิวทิวทัศน์ ทางเดินศึกษาธรรมชาติ ฯลฯ |
11 |
“ชมฟรี มีความรู้” |
ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 61 - 1 ม.ค. 62 ยกเว้นการจัดเก็บค่าบริการเข้าชมสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ (Aquarium) ณ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต (Phuket Aquarium) |
12 |
เพาะชำกล้าไม้ปลูกความรู้สู่ประชาชน |
ระหว่างวันที่ 15 ธ.ค. 61 - 31 ม.ค. 62 จัดกิจกรรมเพาะชำกล้าไม้ปลูกความรู้สู่ประชาชน เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านเพาะชำกล้าไม้แก่ประชาชนและเยาวชน ณ หน่วยงานด้านเพาะชำกล้าไม้ 116 แห่ง |
13 |
ผลักดันร่าง พ.ร.บ. คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... |
เร่งรัดการจัดที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้มีความก้าวหน้าในทุกอำเภอ และผลักดันร่าง พ.ร.บ. คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ให้มีผลบังคับใช้ในต้นปี 2562 |
14 |
ดำเนินการตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ มาตรา 7 ยกเลิกไม้หวงห้ามในที่ดินกรรมสิทธิ์ |
เร่งรัด “ยกเลิกไม้หวงห้าม” ในที่ดินกรรมสิทธิ์ ให้มีผลทางกฎหมาย ในห้วงต้นปี 2562 |
15 |
ผลักดันร่าง พ.ร.บ. ป่าชุมชน |
เร่งรัด “การจัดตั้งป่าชุมชน” และเร่งรัด “กฎหมายป่าชุมชน” ให้แล้วเสร็จในต้นปี 2562 |
16 |
ผลักดันร่าง พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. .... |
เร่งรัดการแก้ไขร่าง พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขปัญหาชุมชนในป่าอนุรักษ์ให้สามารถอยู่กับป่าได้อย่างสมดุลและยั่งยืนในปี 2562 |
29.เรื่อง ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อมูลกิจกรรมของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ปี 2562 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน เสนอให้ทุกส่วนราชการพิจารณากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ภายใต้ชื่อ “พม. เติมสุข ทั่วไทย 2562 (Fill with Happiness)” ประกอบด้วย 4 ความสุข ส่งถึงประชาชน ดังนี้
1. สุขถ้วนหน้า ประกอบด้วย
1) One Card All Rights : ทุกสิทธิคนพิการ ผ่านบัตรประชาชนใบเดียว โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งคนพิการสามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนในการเข้ารับบริการกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ฯลฯ
2) คงอัตราดอกเบี้ย ต่ำสุดที่ร้อยละ 25 สตางค์ต่อเดือน โดยสำนักงานธนานุเคราะห์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการแบ่งเบาภาระในการคงดอกเบี้ยต่ำ
2. สุขอาศัย ประกอบด้วย
1) มอบบ้าน สร้างชุมชน ไทยทุกคนมั่นคง เข้มแข็ง 2,562 หลัง โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) มอบบ้านมั่นคง จำนวน 1,096 หลัง มอบบ้านพอเพียงชนบท จำนวน 1,254 หลัง มอบบ้านริมคลอง จำนวน 212 หลัง
2) บ้านปันสุขเพื่อผู้สูงอายุ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ ปรับปรุง ซ่อมแซม หรือสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้สูงอายุ ที่มีฐานะยากจนให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัย จำนวน 1,000 หลัง 76 จังหวัด ทั่วประเทศ
3) ร่วมใจ สร้างไทย สร้างที่อยู่อาศัย โดยสำนักงานปลัดกระทรวงฯ และ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สร้างบ้านแก่ผู้ประสบภัยดินโคลนถล่ม ตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน จำนวน 75 หลัง
4) Easy Home ซื้อง่าย จ่ายสบาย โดยการเคหะแห่งชาติ ฟรีค่าธรรมเนียม ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ Sale โครงการบ้านเอื้ออาทรราคาพิเศษ จำนวน 35 โครงการ/โครงการบ้านแลกบ้าน เพิ่มคุณภาพชีวิต ของประชาชนให้ดีขึ้น โดยให้โอกาสผู้อยู่อาศัยในบ้านของการเคหะแห่งชาติ มาแลกบ้านของการเคหะแห่งชาติด้วยกัน
3. สุขร่วมใจ ประกอบด้วย
1) ศูนย์เรียนรู้นวัตกรรม เทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นศูนย์กลางเพื่อสำหรับจัดแสดงและถ่ายทอดผลงานวิจัยและเทคโนโลยี
สิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการ รวมถึงแหล่งเรียนรู้เป็นศูนย์ต้นแบบ
2) ศาสนสถานเชื่อมบุญ เกื้อหนุนคนพิการ และผู้สูงอายุ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นกิจกรรมที่ทำให้คนพิการและผู้สูงอายุ สามารถประกอบศาสนกิจในวัด และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศาสนาได้อย่างเท่าเทียม และมีวัดต้นแบบทั่วประเทศที่เอื้อต่อ คนพิการ และผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก ปลอดภัย
3) หนาวนี้...ที่บนดอย ตามรอยภูมิวัฒนธรรม โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ลดราคาที่พัก Home Stay 10-50% ที่พัก ณ ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดลำพูน จังหวัดตาก /รับของที่ระลึกฟรี เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าจุด Checkpoint
4) พม.เชื่อมใจ แบ่งปันความสุขสู่สังคม โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จัดทำเมนู-จับคู่ผู้ให้-ส่งใจมอบของขวัญ 2,562 ครัวเรือน ทั่วประเทศ (จัดทำเมนูการให้ความช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก จากข้อมูล Family Data) 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ร่วมกับภาคีเครือข่ายอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น
5) สร้างพื้นที่เป้าหมายขจัดภัยความรุนแรง โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ส่งเสริมให้ชุมชนมีศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัวระดับตำบล (ศปก.ต.) 1 จังหวัด 1 ศปก.ต.
6) เว็บไซต์รวมใจยุติความรุนแรง โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เปิดตัวเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาประกาศเจตนารมณ์ โดยแสดงออกถึงการ “ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ”
4. สุขยั่งยืน ประกอบด้วย
1) ผลักดันมาตรการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ เรื่อง “สังคมผู้สูงอายุ” โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ เป้าหมายเพื่อให้ผู้สูงอายุไทยเป็น Active Ageing (Healthy,Security,Participation)
30.เรื่อง กระทรวงพาณิชย์ส่งมอบกิจกรรมเทใจมอบความสุขเทศกาลปีใหม่ให้แก่ประชาชน ปี 2562
คณะรัฐมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เรื่อง กระทรวงพาณิชย์ส่งมอบกิจกรรมเทใจมอบความสุขเทศกาลปีใหม่ให้แก่ประชาชน ปี 2562 ดังนี้
สรุปกิจกรรมเทใจมอบความสุขเทศกาลปีใหม่ให้แก่ประชาชน ปี 2562 กระทรวงพาณิชย์
กิจกรรม |
ช่วงเวลา |
สถานที่ |
1. ลดค่าครองชีพ และดูแลราคาสินค้า 1.1 จัดงานลดราคาจำหน่ายสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ ณ ห้างทั่วประเทศ(มากกว่า 13,500 สาขา) โดยร่วมมือกับเอกชน จัดงาน“ลดหนักจัดเต็ม New Year Grand Sale” ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ประจำวัน เครื่องแต่งกาย และสินค้าอื่นๆ เป็นต้น 1.2 จัดงานธงฟ้าเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ณ กระทรวงพาณิชย์ จำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพในราคาประหยัดต่ำกว่าท้องตลาดทั่วไปร้อยละ 20-40 และจำหน่ายสินค้าไฮไลท์ เช่น ไข่ไก่ น้ำมันปาล์ม น้ำตาลทราย ข้าวสาร เป็นต้น 1.3 มหกรรมธงฟ้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภูมิภาค ภาคเหนือ (จ.พิษณุโลก/จ.แพร่/จ.เชียงราย/จ.นครสวรรค์) หมายเหตุ : กิจกรรมในภาคกลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ อยู่ระหว่างหารือการดำเนินการ 1.4 ลดราคาสินค้าอุปโภค/บริโภค 20-50% “ค้าส่งรวมใจ โชห่วยไทย คู่สังคม” โดยขอความร่วมมือสมาคมค้าส่ง/ค้าปลีก ร้านต้นแบบของกรมฯ 1.5 ลดราคาสินค้าออนไลน์ Thaitrade.com 30 % ภายใต้โครงการ “มอบความสุขปีใหม่ 2562” 1.6 จัดสายตรวจพิเศษตรวจสอบการจำหน่ายชุดกระเช้าของขวัญให้เป็นธรรมแก่ผู้บริโภค - ตรวจสอบการจำหน่ายชุดกระเช้า ของขวัญของผู้ประกอบการ - ดำเนินการตรวจสอบตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542
1.7 ประชาสัมพันธ์การรับเรื่องร้องเรียนราคาสินค้าและบริการ สายด่วน 1569 จัดตั้งจุดรับเรื่องร้องเรียนราคาสินค้าและบริการสายด่วน 1569 เพื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ประชาชนรู้จักรักษาสิทธิประโยชน์ของตน ป้องปรามผู้ประกอบการค้ามิให้ฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค และให้ผู้ประกอบการมีการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด 1.8 จัดสายตรวจพิเศษตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าและอาหารในสถานีขนส่งผู้โดยสาร/สถานีรถไฟ โดยตรวจสอบการแสดงราคาจำหน่าย รายละเอียดสินค้า และปริมาณการบรรจุ กรณีพบการกระทำผิดให้ดำเนินคดีทันที 1.9 ปล่อยขบวนรถโมบายเพื่อออกตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันในช่วง ก่อนเทศกาลปีใหม่ (รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์เป็นประธานในพิธี) |
13 ธ.ค.61- 9 ม.ค.62 (28วัน)
24-27 ธ.ค. 61 (4 วัน)
21 – 24 พ.ย. 61 27 – 30 พ.ย.61 3 – 6 ธ.ค.61 9 – 12 ธ.ค.61 20 ธ.ค.61 – 5 ม.ค.62
15 ธ.ค.61 – 15 ม..ค.62
3-28 ธ.ค. 61
26-27 ธ.ค. 61
17-28 ธ.ค.61
20 ธ.ค. 61 เวลา 10.00 – 12.00 น. |
ห้างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น ณ ลานอเนกประสงค์ชั้น 3 กระทรวงพาณิชย์ จ.พิษณุโลก จ.แพร่ จ.เชียงราย จ.นครสวรรค์ 36 จังหวัด
เวปไซต์ thaitrade.com
ห้างสรรพสินค้า และย่านการค้าที่มีการจำหน่ายสินค้ากระเช้าของขวัญ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เวสต์เกต ห้างสรรพสินค้า เทสโก้โลตัส สถานีขนส่งผู้โดยสาร (หมอชิต)
1) สถานีรถไฟหัวลำโพง
2) สถานีขนส่งหมอชิต 3) สถานีขนส่งเอกมัย 4) สถานีขนส่งสายใต้ ณ บริเวณโถงด้านหน้ากระทรวงพาณิชย์
|
2.1 เปิดให้บริการรับจดทะเบียนธุรกิจและ
วันที่ 22 ธ.ค. 61 (วันเสาร์) : 8.30-16.30 น.
วันที่ 22 ธ.ค.61 (วันเสาร์) : 8.30-16.30 น. วันที่ 24-28 ธ.ค. 61 (วันธรรมดา) : 16.30-18.00 น.
2.2 การให้บริการและอำนวยความสะดวกทางการค้า ใน วันและเวลาราชการ จนถึงเวลา 18.00 น. ดังนี้ - ออกใบอนุญาตและหนังสือรับรองการส่งออกนำเข้าสินค้าทั่วไป - ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form) - ทำบัตรประจำตัวผู้นำเข้า –ส่งออก/บัตรผู้รับมอบอำนาจ - ให้คำแนะนำการขอหนังสือสำคัญการส่งออก – นำเข้า (Help Desk) - จัดเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อ รองรับระบบ Digital Signature (DS) 2.3 เปิดบริการรับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำขอรับสิทธิบัตร ในวันเสาร์ของเดือนมกราคม 2562 (4 วัน) วันที่ 5, 12, 19 และ 26 มกราคม 2562
2.5 อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถดาวน์โหลดเอกสารที่มีลายเซ็นผู้รับผิดชอบประกาศค่าดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน ณ ระยะเวลาที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเปิดซองประกวดราคาได้ (K) ที่ส่วนกลางได้โดยตรงจากเว็บไซต์ www.price.moc.go.th ได้ตลอดเวลา 2.6 ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ยางรถใหม่เป็น สินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัด ระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2555
|
22 ธ.ค.61 (วันเสาร์) : 8.30-16.30 น. 24-28 ธ.ค. 61 (วันธรรมดา) : 16.30-18.00 น.
17 – 21 ธ.ค. 61
วันเสาร์ของเดือนม.ค.62 (4 วัน) วันที่ 5, 12, 19 และ 26 ม.ค. 62 ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย.61เป็นต้นไป
ตั้งแต่ พ.ย. เป็นต้นไป
คาดว่ามีผลบังคับใช้ 21 ม.ค. 62
|
ศูนย์บริการรับจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ชั้น 3 กรมทรัพย์สินทางปัญญา
www.price.moc.go.th |
3. บริการพิเศษสำหรับผู้ประกอบการ 3.1จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ให้คำปรึกษาด้านการประกอบธุรกิจในต่างประเทศ - โครงการต้นกล้า ทู โกล - โครงการพัฒนานักส่งออกรุ่นใหม่ Young Exporter from local to Global
3.2 ฝึกอบรมจัดทำแพทเทิร์นการตัดเย็บให้ผู้ประกอบการต่างจังหวัดสู่ตลาดต่างประเทศ 3.3 การให้บริการพิเศษของศูนย์ FTA Center
- ระบบการค้นหาอัตราภาษี - คลังข้อมูลการค้าไทย - ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ ของไทย - การค้นหารายชื่อผู้นำเข้า- ส่งออก
- ขั้นตอนการส่งออก-นำเข้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี รวมทั้ง กฎระเบียบ - โอกาสทางการค้าการลงทุนกับประเทศที่มีความตกลง การค้าเสรี อาทิ จีน อินเดีย เป็นต้น - การค้าบริการภายใต้ความตกลงการค้าเสรี - บอกเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี
ระดับทวิภาคี ได้แก่
ระดับภูมิภาค ได้แก่
อาเซียน-ฮ่องกง (ASEAN-Hong Kong Free Trade Area- AHKFTA) 3.4 สร้างการรับรู้ต่อข้อมูลเศรษฐกิจการค้า ผ่าน Application LINE (LINE Official) กลุ่มเป้าหมายจำนวน 50,000 คน ข้อมูลเศรษฐกิจการค้า ได้แก่ 1) สรุปเศรษฐกิจ ปี 61 2) แนวโน้มเศรษฐกิจ ปี 62 3) trends สินค้าโลก ปี 62 4) ดัชนีเศรษฐกิจการค้า 5) สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ 6) สถานการณ์เศรษฐกิจการค้าในประเทศ 7) บทวิเคราะห์ Hot Issues - สงครามการค้า - ยุทธศาสตร์การค้าไทย-จีน - เทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อการค้า |
ก.พ.-กค.62 ก.พ.-กค.62
ม.ค. 62
16 ม.ค. 62 13.30-16.30 น.
16 ม.ค. 62 13.30-16.30 น.
16 ม.ค. 62 13.30-16.30 น.
เริ่มกลาง ธ.ค. 61 เป็นต้นไป
|
ชลบุรี/กาญจนบุรี/นครสวรรค์ลำพูน/พิษณุโลก/ราชบุรี/กระบี่/อุดรธานี เชียงใหม่ อุดรธานี และนครราชสีมา FTA Center ชั้น 3 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
FTA Center ชั้น 3 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
FTA Center ชั้น 3 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
Application LINE (LINE Official)
|
ต่างประเทศ
31.เรื่อง การนำเสนอรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (ฉบับที่ 4 – 7)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (ฉบับที่ 4 – 7) ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเสนอรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (ฉบับที่ 4 -7) ฉบับภาษาอังกฤษ (ฉบับสมบูรณ์) ต่อคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
รายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (ฉบับที่ 4 - 7) เป็นการรายงานความก้าวหน้าและการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติฯ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรายงานและสถานการณ์ทั่วไป ประเด็นท้าทาย แนวทางการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น : การจัดทำรายงานได้ใช้ระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 – 2560 เพื่อให้รายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ส่วนที่ 2 การดำเนินการของประเทศไทยที่มีต่อข้อกังวลและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ และส่วนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อบัญญัติและกลไกต่าง ๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่เพื่อรองรับส่วนที่เป็นสาระบัญญัติ คือ ข้อบทที่ 1 -7 ของอนุสัญญาฯ โดยเฉพาะในประเด็นที่คณะกรรมการสหประชาชาติฯ กำหนดไว้
การจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ (ฉบับที่ 4 -7) ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน พบว่า ประเทศไทยมีมาตรการทางกฎหมาย กฎ ระเบียบ นโยบาย และแนวทางปฏิบัติที่สอดรับกับหลักการของอนุสัญญาฯ โดยมีพัฒนาการในการอนุวัติ กฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ และนโยบายให้รองรับและมีความสอดรับกับพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ ที่สำคัญหลายฉบับ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 เป็นต้น
ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับเมื่อประเทศไทยเสนอรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ (ฉบับที่ 4 – 7) ต่อคณะกรรมการสหประชาชาติ ทำให้เห็นถึงความก้าวหน้าของไทยในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การกำหนดมาตรการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ดีของไทยในการปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯ ประชาชนเชื่อมั่นต่อการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ และประชาชนมีหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของตนซึ่งทัดเทียมกับมาตรฐานสากล ตลอดจนประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบเรียบร้อยและมีสันติสุขในการดำรงชีวิต
32.เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 4
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 4 (Joint Press Communiqué of the Fourth Lancang – Mekong Cooperation Foreign Ministers’ Meeting) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนฯ เป็นเอกสารที่สะท้อนการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และความคิดเห็นระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกต่อการดำเนินการความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือ แม่โขง – ล้านช้าง โดยให้การรับรอง (1) หัวข้อ “การส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Enhancing Partnership for Shared Prosperity)” และตราสัญลักษณ์ของการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือ แม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ซึ่งจะนำไปใช้สำหรับการประชุมและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประธานร่วมของกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ระหว่างปี ค.ศ. 2018 – 2020 (2) ตราสัญลักษณ์ของกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (3) เพลงของกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ชื่อว่า “ล้านช้างและแม่โขง สายน้ำแห่งมิตรภาพ” (Lancang and Mekong, A river of Friendship)
2. ทบทวนความสำเร็จและความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี ของ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อาทิ ความคืบหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการจัดสรรทุนจากกองทุนพิเศษภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Special Fund) การจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแม่โขง – ล้านช้าง ศูนย์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมแม่โขง – ล้านช้าง และศูนย์ Global Center for Mekong Studies (GCMS) รวมทั้งการจัดกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาหลักภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง
3. กำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคต โดยเน้นเรื่องการจัดตั้งระเบียงการพัฒนาเศรษฐกิจ แม่โขง – ล้านช้าง (Lancang - Mekong Economic Development Belt) การส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพการผลิต การจัดทำแผนการเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิกแม่โขง – ล้านช้างและแผนพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจข้ามพรมแดนและศักยภาพในการผลิต การดำเนินการโครงการใหม่ ๆ ในสาขาที่จะช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชน การจัดตั้งคณะทำงานร่วมหรือศูนย์ความร่วมมือในสาขาอื่น อาทิ การศึกษา ศุลกากร สุขภาพ และเยาวชน การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำแม่โขง – ล้านช้างระยะ 5 ปี พ.ศ. 2561 – 2565 รวมทั้งเห็นพ้องต่อการจัดตั้งสำนักเลขาธิการระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (MLC International Secretarial)
4. เห็นพ้องที่จะส่งเสริมให้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การพัฒนาแห่งชาติของแต่ละประเทศสมาชิก รวมทั้งกลไกความร่วมมือในระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค เช่น สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (ACMECS) และแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS)
33.เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ 3
คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) ไทย – ลาว ครั้งที่ 3 และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมฯ โดยฝ่ายสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว เป็นผู้ร่วมลงนาม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับ จากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) ไทย – ลาว ครั้งที่ 3 ครอบคลุมประเด็นความร่วมมือ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ด้านการเมืองและความมั่นคง ประกอบด้วย ความช่วยเหลือกรณีเหตุอุทกภัยในแขวงอัตตะบือ ยุทธศาสตร์ร่วมด้านการพัฒนา การรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการเปิดและยกระดับจุดผ่านแดน 2) ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ พลังงาน การอำนวยความสะดวกในการผ่านแดน การเชื่อมโยงด้านคมนาคมขนส่งอย่างไร้รอยต่อ การส่งเสริมการค้าไทย-ลาว 3) ความร่วมมือด้านสังคมและการพัฒนา ได้แก่ โครงการการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน แรงงาน การท่องเที่ยว การทูตภาคประชาชน การฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต การเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทย และสาธารณสุข
ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ 3 ในวันที่ 15 ธันวาคม 2561 ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยการดำเนินการต่าง ๆ ภายใต้ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จะช่วยผลักดันให้การดำเนินการที่ผ่านมาเกิดความคืบหน้าเพื่อประโยชน์ในการดำเนินความสัมพันธ์ ทั้งด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและการพัฒนาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
34.เรื่อง ขออนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬาแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กรทะรวงศึกษาธิการ เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อใช้เป็นกรอบความร่วมมือทางการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับต่าง ๆ การส่งเสริมการค้นคว้าวิจัย การพัฒนาหลักสูตรสเต็มศึกษา โลจิสติกส์ การศึกษาพิเศษ และการตรวจสอบเอกสารวุฒิการศึกษาของนักศึกษาและพระสงฆ์ลาวที่เรียนในประเทศไทย โดยได้ระบุให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการศึกษาไทย – ลาว เพื่อใช้เป็นเวทีในการหารือกิจกรรม/โครงการความร่วมมือระหว่างกัน โดยแต่ละฝ่ายผลัดกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้และสิ้นสุดของบันทึกความเข้าใจฯ เป็นระยะ 5 ปี และจะต่ออายุอัตโนมัติออกไปอีก 5 ปี
35.เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยโครงการจัดสร้างสวนรุกขชาติไทย – ลาว
คณะรัฐมนตรีมีติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการจัดทำและเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยโครงการจัดสร้างสวนรุกขชาติไทย – ลาว
2. อนุมัติให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยโครงการจัดสร้างสวนรุกขชาติไทย – ลาว ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยโครงการจัดสร้างสวนรุกขชาติไทย – ลาว มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองฝ่าย และเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในการดำเนินการจัดทำโครงการจัดสร้างสวนรุกขชาติไทย – ลาว ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในเขตโรงเรียนมัธยมสมบูนนาซอน บ้านนาซอน เมืองปากงึม นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ได้กำหนดรายละเอียดสำหรับการดำเนินงานร่วมกันของทั้งสองฝ่ายในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดคำนิยาม ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ พันธกรณีของทั้งสองฝ่าย การจ้างแรงงาน ระยะเวลาในการดำเนินงานตามโครงการ คณะกรรมการกำกับโครงการ เงินได้ อากรและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และการอำนวยความสะดวกด้านภาษี การแลกเปลี่ยนเงินตราและการโอนเงิน กฎหมาย ข้อบังคับ หรือระเบียบท้องถิ่น การคุ้มครองความปลอดภัย การส่งมอบงาน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงบันทึกความเข้าใจ การระงับข้อพิพาทวันที่มีผลใช้บังคับ และผู้ลงนาม
แต่งตั้ง
36.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสขุเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางพนิดา ศรีสันต์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2561
2. นายสุธน วงษ์ชีรี ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (มาตรฐานห้องปฏิบัติการ) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (มาตรฐานห้องปฏิบัติการ) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 10 กรฎาคม 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
37.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายพิทยา ไพบูลย์ศิริ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2561
2. นายชัยรัตน์ เตชะไตรศักดิ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มควบคุมและป้องกันโรคเรื้อน สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน) (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
38.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายสุภัทร จำปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
2. นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
39.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จำนวน 9 คน ดังนี้
1. ด้านกฎหมาย นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์
2. ด้านศิลปวัฒนธรรม นายบวรเวท รุ่งรุจี
3. ด้านการศึกษา นางสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
4. ด้านการพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว นายธวัชชัย ไทยเขียว
5. ด้านสุขภาพจิต นายยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์
6. ด้านคนพิการและผู้สูงอายุ นายสมคิด สมศรี
7. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค นางสาวลัดดา ตั้งสุภาชัย
8. ด้านสื่อสารมวลชน 1) รองศาสตราจารย์พนา ทองมีอาคม 2) ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรัชญ์ ครุจิต
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป
40.เรื่อง ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้ นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งหนึ่งปี ในวันที่ 17 ธันวาคม 2561 คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2561
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี