19 ม.ค. 2562 โลกออนไลน์มีการแชร์บทความ “บ้านแพ้ว สุดารัตน์ และ ก้าวต่อไปของ30 บาท เมื่อเพื่อไทยเปิดสนามการเลือกตั้งด้วยนโยบายสาธารณสุข” ซึ่งเผยแพร่โดยเฟซบุ๊คแฟนเพจ “Gossipสาสุข” อันเป็นเพจข่าวที่เน้นเสนอเนื้อหาแวดวงการแพทย์และสาธารณสุขของไทย เมื่อ 18 ม.ค. 2562 โดยระบุว่า ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยกล่าวถึงนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ว่าเป็นนโยบายที่มีปัญหาเพราะทำให้โรงพยาบาลขาดทุน
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย กลับเดินทางไปที่ รพ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร อันเป็นหมุดหมายแรกที่นำไปสู่นโยบายบัตรทอง 30 บาทั่วประเทศในสมัยพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้ในบทความยังอ้างถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขณะนั้นมีบทบาทสนับสนุนให้ รพ.บ้านแพ้ว กลายเป็น รพ.ต้นแบบที่พึ่งพาตนเองได้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การเมือง ณ วันนี้จะกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนกับฝ่ายที่คัดค้านบัตรทอง 30 บาท และฝ่ายใดจะชนะขอให้ดูในวันเลือกตั้ง ดังนี้..
“เรียกเสียงฮือฮาไปแล้วสำหรับพรรคเพื่อไทย ในการเปิดตัว ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม ลงพื้นที่ พบปะชาวบ้านเป็นวันแรก ที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 16 ม.ค.62 การเลือกพื้นที่บ้านแพ้ว นับว่าไม่ธรรมดา เพราะมีความสำคัญในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของนโยบาย "สาธารณสุข" ซึ่ง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย รู้ดีว่า "ขายได้" ทั้งที่คนส่วนใหญ่เลือกจะมองข้าม และหันไปชูจุดขายเรื่องนโยบายเศรษฐกิจมากกว่า”
“Gossipสาสุขเคยเล่าเรื่องนี้ไปแล้วว่า การเอา รพ.บ้านแพ้ว ออกนอกระบบนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อยากจะทำ แต่จำต้องทำ เพราะเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการกู้เงินช่วงที่ไทยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 และต้องกู้เงินมาแก้ปัญหาสภาพคล่อง มีงบก้อนหนึ่งที่กู้มาจาก ADB และมีเงื่อนไขว่าหน่วยงานรัฐแต่ละแห่งต้องแปรรูปอะไรบ้าง ส่วนของ สธ.ก็เสนอว่าจะเอา รพ.ออกนอกระบบ ตอนนั้นก็เสนอไปหลายแห่ง เช่น รพ.สระบุรี รพ.ขอนแก่น รพ.หาดใหญ่ รพ.นครพิงค์ ซึ่งล้วนเป็น รพ.ประจำจังหวัด มี รพ.บ้านแพ้ว แห่งเดียวที่เป็น รพ.ขนาดเล็กที่สุด เป็น รพ.ประจำอำเภอขนาด 30 เตียง”
“แต่หลังจากได้รับเงินกู้แล้วก็ไม่ยอมทำ จึงเกิดการทวงถาม สธ.ก็บ่ายเบี่ยงมานานนับปี จนเริ่มจะปฏิเสธไม่ไหว จึงยอมให้เอา รพ.บ้านแพ้ว ซึ่งเป็น รพ.ที่มีขนาดเล็กที่สุดออกนอกระบบไป เพื่อรักษาสัญญาทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้น รพ.บ้านแพ้ว จึงถูกทำให้เปลี่ยนการบริหารไปสู่รูปแบบ "องค์การมหาชน" มีกฎหมายของตัวเอง มีบอร์ดบริหารของตัวเอง และไม่ต้องพึ่งพากระทรวงสาธารณสุขเหมือนโรงพยาบาลอื่นๆ”
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำคัญ คือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ซึ่ง ณ เวลานั้น ดำรงตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ผลักดัน พ.ร.ฎ.จัดตั้งโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จนสามารถจัดตั้งโรงพยาบาลบ้านแพ้วเป็นองค์การมหาชน เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2543 จนถึงปัจจุบัน อภิสิทธิ์ ยังพูดอยู่เสมอว่า หากไม่มี "โรงพยาบาลบ้านแพ้ว" เกิดขึ้นจากสมัยพรรคประชาธิปัตย์ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค อาจไม่เจริญงอกงามเหมือนทุกวันนี้ แต่เรื่องนี้ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะไม่ใช่ไอเดียของประชาธิปัตย์ แต่เป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องทำตามเงินกู้ แต่ก็ต้องให้เครดิตอภิสิทธิ์ที่ช่วยผลักดัน”
“ไม่ถึง 1 ปีหลังจากนั้น ขั้วรัฐบาลเปลี่ยนเป็นพรรคไทยรักไทย โรงพยาบาลบ้านแพ้ว ถือเป็นพื้นที่แรก ที่ "นำร่อง" ระบบบัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ทักษิณ ชินวัตร หาเสียงเรื่อยมา ณ เวลานั้น รมว.สาธารณสุข ชื่อ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, รมช.สาธารณสุข ชื่อ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี 18 ปีให้หลัง 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นที่จดจำของคนไทย และยังไปประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ”
“18 ปีให้หลัง โรงพยาบาลบ้านแพ้ว เจริญงอกงาม มีรายได้ปีล่าสุด 1,642 ล้านบาท มีกำไรปีละกว่า 60 ล้านบาทซ้ำยังขยายการบริการออกไปอีก 9 แห่ง และเสริมระบบสุขภาพในจังหวัดข้างเคียงให้เข้มแข็งขึ้น ในเวลาเดียวกัน นโยบายสาธารณสุขของพรรคไทยรักไทย ยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญของ "ระบอบทักษิณ" ว่าพรรคการเมืองหนึ่ง สามารถผลักดันเรื่องยากๆ ให้ทำได้จริง”
“จังหวะเดินของสุดารัตน์ และทีมบริหารพรรคเพื่อไทย ที่ลงไปยังบ้านแพ้ว จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งคือการตอกย้ำความสำเร็จในอดีต รวมถึง อนาคต" ก็จะเดินหน้าด้วยการเริ่มต้นจากนโยบายสาธารณสุข ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โจมตีนโยบายบัตรทอง ว่าทำให้โรงพยาบาลเจ๊ง แต่สุดารัตน์ เริ่มต้นแคมเปญหาเสียงด้วยการบอกให้สังคมรับรู้ว่า โรงพยาบาลที่ไม่ได้ขาดทุน และเจริญก้าวหน้า ก็มีตัวอย่างให้เห็นที่บ้านแพ้ว”
“สุดารัตน์ เขียนในเฟซบุคชัดเจนว่า นโยบายแรกๆ ที่พรรคเพื่อไทยจะประกาศ ก็คือ "ก้าวต่อไปของ 30 บาทรักษาทุกโรค" ไม่ว่าจะเป็นการกระจายอำนาจโรงพยาบาล การปรับค่าตอบแทนให้เหมาะสม หรือการใช้เทคโนโลยี Big Data มาเป็น "อนาคต" ในระบบหลักประกันสุขภาพ แว่วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำนโยบายสาธารณสุขแบบ Decentralization หาใช่ใครอื่น แต่คือ หมอเลี๊ยบ นพ.สุรพงษ์ คนเดิม หมอเลี๊ยบ นั้น ถูกตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต เพราะเคยถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งจำคุก 1 ปี ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัมปทานดาวเทียม ขณะที่หมอเลี๊ยบดำรงตำแหน่ง รมว.ไอซีที”
“ดูเหมือนจะวางมือจากวงการการเมืองแล้ว ซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าเป็น "ขั้วตรงข้าม" ทักษิณ ในช่วงรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แต่ในที่สุด นพ.สุรพงษ์ ก็กลับกลายมาเป็นเบื้องหลังสำคัญของนโยบายสาธารณสุขพรรคเพื่อไทย เป็นที่รู้กันดีว่า นพ.สุรพงษ์ นั้น สนิทสนมกับบรรดา "ตระกูล ส." หลายคน และในสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ โจมตีอยู่เรื่อยมานั้น ในอีกด้าน หลายคนในสำนักงาน ก็รักใคร่ชอบพอกันกับหมอเลี๊ยบ จึงไม่แปลก ที่มีข่าวแว่วมาว่า ผู้บริหาร - เจ้าหน้าที่ สปสช. หลายคน ได้รับเชิญจากพรรค ให้ไปแสดงวิสัยทัศน์กับสุดารัตน์ และทีมพรรคเพื่อไทย อยู่บ้าง”
“เกมการเมืองในอนาคตอันใกล้ จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้น ว่าด้วย "ข้อดี-ข้อเสีย" "ฝ่ายหนุน-ฝ่ายต้าน" นโยบายบัตรทอง ว่าที่สุดแล้ว เป็นการก้าวสู่ "รัฐสวัสดิการ" หรือเป็นการทำให้โรงพยาบาลขาดทุน ทำให้ประเทศชาติล่มจม ส่วนฝั่งไหนจะเป็นผู้ชนะ วันหย่อนบัตรเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า น่าจะได้รู้กัน..”
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.facebook.com/gossipsasook/posts/399656570577431?__tn__=K-R
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี