18 ก.พ.62 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
3. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ประเด็น |
สาระสำคัญและเหตุผล |
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม “อุตสาหกรรม” |
เพื่อให้สอดคล้องกับการประกอบอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยให้ครอบคลุมถึงกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม เช่น การวิจัย พัฒนา และบริการเกี่ยวกับอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น อุตสาหกรรมซอฟแวร์ เพื่อให้การดำเนินการของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยครอบคลุมกิจการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร และให้บริการสมาชิกได้ทั้งหมด |
2. แก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย |
เพื่อให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสามารถสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายด้านอุตสาหกรรมของภาครัฐ ในการช่วยพัฒนาผู้ประกอบการทุกระดับ |
3. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และจำนวนของคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย |
- กำหนดจำนวนของคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยใหม่ จากเดิมมีจำนวนกรรมการ 357 คน ลดลงเหลือไม่เกิน 251 คน เพื่อลดปัญหาเรื่องการจัดการประชุม องค์ประชุม การจัดการเลือกตั้ง และค่าใช้จ่าย - เดิมกรรมการมาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง ใหม่เพิ่มเติมกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ |
4. เพิ่มเติมให้มีคณะกรรมการบริหาร |
เพื่อเป็นทีมสนับสนุนประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการบริหารองค์กร เพื่อให้ความช่วยเหลือสมาชิกได้อย่างทั่วถึง โดยประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ดำเนินการการจัดตั้งคณะกรรมการบริหาร |
5. แก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสามัญของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย |
กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้สมัครเป็นสมาชิกสามัญของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยต้องเป็นนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน หรือประกอบอุตสาหกรรมประเภทอื่นตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ เพื่อให้สอดคล้องกับการประกอบอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่มีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น และเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ เข้ามาเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย |
6. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย |
กำหนดให้คณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอาจมอบอำนาจ หรือมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ ยกเว้นอำนาจหน้าที่ในการวางนโยบายขององค์กร |
7. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีผู้รักษาการ |
กำหนดเพิ่มเติมให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศให้สมาชิกแจ้งข้อมูลของสมาชิก เพื่อใช้ในการควบคุม วิเคราะห์ ประเมิน และประกอบการจัดทำนโยบาย และแผนการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อช่วยให้ภาครัฐมีข้อมูลในการประกอบการจัดทำนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างครบถ้วน |
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2551 กฎกระทรวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และกฎกระทรวงฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2557 และปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน |
การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง |
1. สำนักงานเลขาธิการ 2. กองยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ 3. สำนักประเมินผลและเผยแพร่การพัฒนา 4. สำนักพัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดภาวะสังคม 5. สำนักยุทธศาสตร์ด้านนโยบายสาธารณะ
6. สำนักวิเคราะห์โครงการลงทุนภาครัฐ 7. สำนักบัญชีประชาชาติ 8. สำนักพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ 9. สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคกลาง 10. สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11. สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคใต้ 12. สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ 13. สำนักยุทธศาสตร์และการวางแผนพัฒนาพื้นที่ 14. สำนักยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค 15. สำนักวางแผนการเกษตรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 16. สำนักยุทธศาสตร์และการวางแผนพัฒนาทางสังคม |
- สำนักงานเลขาธิการ (คงเดิม) - กองยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ (คงเดิม) - กองขับเคลื่อนและประเมินผลการพัฒนา (เปลี่ยนชื่อ) - กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม (เปลี่ยนชื่อ) - กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม (เปลี่ยนชื่อ) - กองยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (เปลี่ยนชื่อ) - กองบัญชีประชาชาติ (เปลี่ยนชื่อ) - กองยุทธศาสตร์และประสานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน (เปลี่ยนชื่อ) - สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคกลาง (เปลี่ยนชื่อ) - สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เปลี่ยนชื่อ) - สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคใต้ (เปลี่ยนชื่อ) - สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ (เปลี่ยนชื่อ) - กองยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ (เปลี่ยนชื่อ) - กองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค (เปลี่ยนชื่อ)
- กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (เปลี่ยนชื่อ) - กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม (ตั้งใหม่) - กองยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง (ตั้งใหม่) - กองยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ (ตั้งใหม่) - กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ (ตั้งใหม่) - ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ตั้งใหม่) |
3. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในกำหนดระยะเวลา
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. กำหนดให้ส่วนราชการมีวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินใน
การให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในระหว่างที่ยังไม่ได้รับเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 8 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 100,000,000 ล้านบาท สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 50,000,000 บาท สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 10,000,000 บาท สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 50,000,000 บาท สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน 50,000,000 บาท สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 10,000,000 บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 50,000,000 บาท และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แห่งละ จำนวน 20,000,000 บาท
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจอนุมัติให้ส่วนราชการอื่นมีวงเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินได้ ตามความเหมาะสมจำเป็นในกรณีเกิดภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
3. ให้ส่วนราชการที่มีวงเงินทดรองราชการยุติการอนุมัติจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ในกรณีเมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย หรือมีการประกาศยุติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี
4. กำหนดให้ระเบียบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวางหลักเกณฑ์สำหรับส่วนราชการในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติโดยเร่งด่วนตามความจำเป็นและเหมาะสมเมื่อเกิดภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินขึ้นในท้องที่หนึ่งท้องที่ใด
5. กำหนดให้การจ่ายเงินรายใดผู้รับเงินมิได้ออกใบเสร็จรับเงินให้ไว้เป็นหลักฐานหรือมิได้ลงลายมือชื่อไว้ในสมุดทะเบียนที่ใช้เป็นหลักฐานการจ่ายเงินของทางราชการ ให้ผู้รับเงินทำใบสำคัญรับเงินตามระเบียบของทางราชการ
6. ให้ส่วนราชการดำเนินการขอรับโอนเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการ ดังนี้
6.1 กรณีส่วนราชการส่วนกลาง ให้ดำเนินการรวบรวมใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน เพื่อส่งให้กรมบัญชีกลาง ภายในสามสิบวันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน
6.2 กรณีส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ได้รับการสนับสนุน หรือได้รับโอนเงินทดรองราชการจากส่วนราชการเจ้าของวงเงินทดรองราชการ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมหรือสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ให้ดำเนินการรวบรวมใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน เพื่อส่งให้ส่วนราชการเจ้าของวงเงินทดรองราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมหรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในสี่สิบห้าวันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน
7. กำหนดให้การจัดหาและการควบคุมพัสดุถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
8. ให้ส่วนราชการและจังหวัดส่งรายงานผลการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินทดรองราชการไปยังกรมบัญชีกลาง ตามแบบและเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางกำหนด ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าว
4. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการรักษาความมั่นคงของประเทศ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการรักษาความมั่นคงของประเทศ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการเสนอกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในกำหนดระยะเวลา
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. กำหนดให้ในกรณีเกิดเหตุการณ์ปัญหาด้านชายแดนอันเนื่องมาจากภัยคุกคามจากภายนอกประเทศ และมีความจำเป็นต้องจ่ายเงินโดยเร็วเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้กองทัพบกเบิกเงินจากคลังเป็นเงินทดรองราชการ ในวงเงิน 100,000,000 บาท เพื่อทดรองจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว
2. ให้ผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติการจ่ายเงินทดรองราชการตามระเบียบนี้ ได้เฉพาะรายจ่ายที่พึงจ่ายได้จากเงินงบประมาณ
3. ให้กองทัพบกดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการรักษาความมั่นคงของประเทศ และเมื่อได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายจากสำนักงบประมาณแล้ว ให้ดำเนินการเบิกเงินงบประมาณรายจ่ายโดยวิธีเบิกหักผลักส่งเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการจนครบถ้วนเท่าจำนวนที่ได้เบิกเงินไปจากคลัง ภายในระยะเวลา 30 วันทำการ นับแต่วันที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่าย
4. กำหนดให้การจัดหาพัสดุเพื่อใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการรักษาความมั่นคงของประเทศ ให้กองทัพบกบริหารการพัสดุโดยถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
5. กำหนดให้การบันทึกบัญชีควบคุมเงินทดรองราชการเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
6. กำหนดให้วิธีปฏิบัติอื่นใดที่เกี่ยวกับเงินทดรองราชการที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยการนั้น
7. กำหนดให้ในกรณีที่ส่วนราชการไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบนี้ได้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง
5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ และการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ และการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างประกาศฯ ที่กระทรวงแรงงานเสนอ เป็นการขยายเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และขยายเวลาการนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนของผู้ประกันตน ตลอดจนกำหนดให้นายจ้างและผู้ประกันตนไม่ต้องชำระเงินเพิ่มตามกฎหมายภายในกำหนดระยะเวลาที่ขยายออกไป เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้าง และผู้ประกันตน ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอันเป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งอยู่ในท้องที่ที่เกิดวาตภัยและอุทกภัยจากพายุโซนร้อน “ปาบึก” “(PABUK)” จำนวน 23 จังหวัด
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. ให้ร่างประกาศฯ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
2. ให้นายจ้างที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างและขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ในท้องที่จังหวัดกระบี่ จันทบุรี ชุมพร ชลบุรี ตรัง ตราด นครศรีธรรมราช นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา พัทลุง เพชรบุรี ภูเก็ต ยะลา ระนอง ระยอง สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสุราษฎร์ธานี รวม 23 จังหวัด ได้รับการขยายกำหนดเวลายื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ และการนำส่งเงินสมทบตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 สำหรับค่าจ้างงวดเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561 งวดเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 และงวดเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 โดยให้ยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562
3. ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งมีทะเบียนผู้ประกันตนในท้องที่ที่กำหนดตามข้อ 2. ได้รับการขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนตามมาตรา 39 วรรคสาม สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561 งวดเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 และงวดเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 โดยให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนภายในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562
เศรษฐกิจ- สังคม
6. เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2562 ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต 2561 ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน 1,740.60 ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต 2561 จำนวน 164.25 ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 1,576.35 ล้านบาท
2. เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติมม 1,576.35 ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ 1 ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส.
3. มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2562 ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกรทั้งในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 (Tier 1 และ Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย (สมาคมฯ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย
4. มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมฯ ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ 02) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ 02 เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว
5. มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกรุงเทพมหานครดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (คณะกรรมการฯ) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ในปีการผลิต 2559 - 2561 และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมฯ เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป
6. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต 2562 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2562 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2562 และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2562 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกันร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
7. มอบหมายให้สมาคมฯ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมส่งเสริมการเกษตร กษ. พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2562 เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า
1. การดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อเทียบกับปีการผลิต 2559 และปีการผลิต 2560 โดย ณ วันสิ้นสุดการจำหน่ายกรมธรรม์ (15 ธันวาคม 2561) มีจำนวนเกษตรกรผู้เอาประกันภัย 1.92 ล้านราย จำนวนพื้นที่เข้าร่วมโครงการ 27.60 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 92 ของจำนวนพื้นที่เป้าหมายสูงสุด 30 ล้านไร่ และคิดเป็นร้อยละ 47 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งประเทศ
2. เพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้อย่างสอดคล้องกับฤดูกาลเพาะปลูกข้าวนาปีของเกษตรกรซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นไป และเพื่อให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงรวมทั้งได้รับความคุ้มครองตลอดระยะเวลาการปลูกข้าวนาปีทั้งฤดูการผลิตเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ยังคงมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง กค.
ได้ดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2562 ดังนี้
2.1 กค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการฯ โดย (1) กำหนดหลักการให้เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปีของ ธ.ก.ส. และเกษตรกรทั่วไปได้รับความคุ้มครองจากระบบการประกันภัยตามกฎของจำนวนมาก (Law of Large Numbers) (กฎของจำนวนมาก คือ การใช้ข้อมูลจากสถิติในอดีต เพื่อคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อเรามีจำนวนข้อมูลของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตมากขึ้น ย่อมทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องและแม่นยำมากขึ้นไปด้วยนั่นจึงเป็นการลดความเสี่ยงของการคาดการณ์ที่ผิดนั่นเอง) เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต 2559 - 2561 และ (2) ปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ มีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยโดยสามารถขอเอาประกันภัยเพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติมจากส่วนที่ภาครัฐให้การอุดหนุนอัตราค่าเบี้ยประกันภัย ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561
2.2 กค. ได้นำโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2562 เสนอ นบข. ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2561 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2562 และมอบหมายให้ กค. นำโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งรายละเอียดของโครงการฯ ปีการผลิต 2562 สรุปได้ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
|||
1. วัตถุประสงค์ |
เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 เพื่อรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกข้าวให้กับเกษตรกรเมื่อประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ |
|||
2. พื้นที่รับประกันภัย |
การรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) |
การรับประกันภัยร่วมจ่ายโดยสมัครใจ (Tier 2) |
||
พื้นที่รวมไม่เกิน 30 ล้านไร่ แบ่งเป็น (1) กลุ่มเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ไม่เกิน 28 ล้านไร่ (2) กลุ่มเกษตรกรทั่วไป ไม่เกิน 2 ล้านไร่ |
พื้นที่ไม่เกิน 5 ล้านไร่ |
|||
3. อัตราค่าเบี้ยประกันภัย |
Tier 1 |
Tier 2 |
||
อัตราเท่ากันทุกพื้นที่ 85 บาท/ไร่ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) รัฐบาลอุดหนุน 51 บาท และ ธ.ก.ส. อุดหนุน 34 บาท 92.02 บาท/ไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) กลุ่ม (1) รัฐบาลอุดหนุน 58.02 บาท ธ.ก.ส. อุดหนุน 34 บาท กลุ่มที่ (2) รัฐบาลอุดหนุน 58.02 บาท เกษตรกรจ่ายเอง 34 บาท |
กลุ่ม (1) และ (2) จ่ายเพิ่มจาก Tier 1 ในอัตราที่แตกต่างกันตามความเสี่ยง ของแต่ละพื้นที่ ความเสี่ยงต่ำ 6.42 บาท/ไร่ ความเสี่ยงปานกลาง 17.12 บาท/ไร่ ความเสี่ยงสูง 27.82 บาท/ไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) |
|||
4. ระยะเวลาการ ขายประกัน |
ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ – วันที่ 30 มิถุนายน 2562 ยกเว้นภาคใต้ ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2562 |
|||
5. วงเงิน ความคุ้มครอง |
พื้นที่ |
ภัยธรรมชาติ 7 ภัย (น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า*) |
ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด |
|
Tier1 |
1,260 บาท/ไร่ |
630 บาท/ไร่ |
||
Tier 2 |
240 บาท/ไร่ |
120 บาท/ไร่ |
||
รวม |
ไม่เกิน 1,500 บาท/ไร่ |
750 บาท/ไร่ |
||
6. ภาระงบประมาณ (เงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันกัย) |
ภายในวงเงิน 1,740.60 ล้านบาท (คิดจากพื้นที่เป้าหมาย 30 ล้านไร่) โดยแบ่งเป็น 1) ใช้จ่ายจากงบประมาณคงเหลือจากการดำเนินโครงการ ฯ ในปีการผลิต 2561 จำนวน 164.25 ล้านบาท 2) ให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายแทนรัฐบาลไปก่อนและรัฐบาลจัดค่าชดเชยต้นทุนเงินให้ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ 1 จำนวน 1,576.35 ล้านบาท |
|||
7. การพิจารณา ค่าสินไหมทดแทน |
จ่ายตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 และจ่ายเพิ่มเติมกรณีที่เสียหายจริงแต่ไม่อยู่ในเขตประกาศภัยตามที่ราชการกำหนด โดยวิธีการประเมินรายบุคคล |
|||
8.วันเริ่มความคุ้มครอง |
(1) เกษตรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. (กลุ่ม Tier 1) ซึ่งได้รับการอนุมัติสินเชื่อทั้งหมดในการเพาะปลูกเริ่มตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการ ฯ ทั้งนี้ หากประสงค์เอาประกันภัยเพิ่มในกลุ่ม Tier 2 จะเริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย (2) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ซึ่งได้รับการอนุมัติสินเชื่อบางส่วนและประสงค์จะเอาประกันภัยเพิ่มเติม โดยรับภาระค่าเบี้ยประกันเองทั้งในกลุ่ม Tier 1 และ Tier 2 เริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย (3) กลุ่มเกษตรกรทั่วไป เริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย |
|||
หมายเหตุ * เป็นการคุ้มครองภัยธรรมชาติใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมของโครงการฯ ปีการผลิต 2561
7. เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริการจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน 121.80
ล้านบาท
2. เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุน
ค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล จำนวน 121.80 ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ 1 ต่อปีในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส.
3. มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีการผลิต 2562 ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกรทั้งในส่วนที่ 1 (Tier 1) และส่วนที่ 2 (Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย (สมาคมฯ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย
4. มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ประสานงานกับ
ธ.ก.ส. และสมาคมฯ ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ 02) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ 02 เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว
5. มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (คณะกรรมการฯ) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการประกันภัยข้าวนาปีและให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมฯ เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป
6. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) จัดทํากรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต 2562 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2562 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2562 และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2562 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
7. มอบหมายให้สมาคมฯ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมส่งเสริมการเกษตร กษ. พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2562 เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า
1. กค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กษ. (กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์) มท. (กรมการปกครองและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) สำนักงาน คปภ. ธ.ก.ส. และสมาคมฯ ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (โครงการฯ) ปีการผลิต 2562 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561
2. เนื่องจากการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2562 จำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้มีความสอดคล้องกับฤดูกาลเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน) ในปีการผลิต 2562 ของเกษตรกรจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป และเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่ต้องการให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับความคุ้มครองตลอดระยะเวลาการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งฤดูการผลิต (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝนและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง) เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ และความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ยังคงมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความเสียหายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องกับจำนวนเงินทุนของเกษตรกรที่มีไม่มีเพียงพอสำหรับใช้เพาะปลูกในปีการผลิตถัดไป กค. จึงได้นำเสนอแนวทางการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2562 เสนอต่อ นบขพ. พิจารณาในการประชุม ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2562 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2562 ตามที่ กค. เสนอ โดยรายละเอียดของโครงการฯ ปีการผลิต 2562 สรุปได้ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
|||
1. วัตถุประสงค์ |
เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 เพื่อรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ |
|||
2. พื้นที่รับประกันภัย |
การรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) |
การรับประกันภัยร่วมจ่ายโดยสมัครใจ (Tier 2) |
||
พื้นที่รวมไม่เกิน 3 ล้านไร่ แบ่งเป็น (1) กลุ่มเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ไม่เกิน 2.8 ล้านไร่ (2) เกลุ่มเกษตรกรทั่วไป ไม่เกิน 2 แสนไร่ |
พื้นที่ไม่เกิน 3 แสนไร่ |
|||
3. อัตราค่าเบี้ยประกันภัย |
Tier 1 |
Tier 2 |
||
อัตราเท่ากันทุกพื้นที่ 59 บาท/ไร่ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) รัฐบาลอุดหนุน 35.40 บาท และ ธ.ก.ส. อุดหนุน 23.60 บาท 64.20 บาท/ไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) (1) กลุ่มลูกค้า ธ.ก.ส. รัฐบาลอุดหนุน 40.60 บาท ธ.ก.ส. อุดหนุน 23.60 บาท (2) กลุ่มเกษตรกรทั่วไป รัฐบาลอุดหนุน 40.60 บาท เกษตรกรจ่ายเอง 23.60 บาท |
กลุ่ม (1) และ (2) รับภาระเองโดยจ่ายเพิ่มจาก Tier 1 ในอัตราที่แตกต่างกันตามความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ ความเสี่ยงต่ำ 4.28 บาท/ไร่ ความเสี่ยงปานกลาง 11.77 บาท/ไร่ ความเสี่ยงสูง 25.68 บาท/ไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) |
|||
4. ระยะเวลาการ ขายประกัน |
(1) สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รอบที่ 1 (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน) นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ – วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 (2) สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รอบที่ 2 (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 15 มกราคม 2563 |
|||
5. วงเงิน ความคุ้มครอง |
พื้นที่ |
ภัยธรรมชาติ 7 ภัย (น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า) |
ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด |
|
Tier1 |
1,500 บาท/ไร่ |
750 บาท/ไร่ |
||
Tier 2 |
240 บาท/ไร่ |
120 บาท/ไร่ |
||
รวมไม่เกิน |
1,740 บาท/ไร่ |
870 บาท/ไร่ |
||
6. ภาระงบประมาณ (เงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันกัย) |
ภายในวงเงิน 121.80 ล้านบาท (คิดจากพื้นที่เป้าหมาย 3 ล้านไร่) โดยให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนประเภทบุคคลธรรมดาของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (Fixed Deposit Rate : FDR) บวกร้อยละ 1 ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไป |
|||
7. การพิจารณา ค่าสินไหมทดแทน |
จ่ายตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 และจ่ายเพิ่มเติมกรณีที่เสียหายจริงแต่ไม่อยู่ในเขตประกาศภัยตามที่ราชการกำหนด โดยวิธีการประเมินรายบุคคล |
|||
8. วันเริ่มความคุ้มครอง |
(1) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. (กลุ่ม Tier 1) ซึ่งได้รับการอนุมัติสินเชื่อทั้งหมดในการเพาะปลูกเริ่มตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการ ฯ ทั้งนี้ หากประสงค์เอาประกันภัยเพิ่มในกลุ่ม Tier 2 จะเริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย (2) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ซึ่งได้รับการอนุมัติสินเชื่อบางส่วนและประสงค์จะเอาประกันภัยเพิ่มเติม โดยรับภาระค่าเบี้ยประกันเองทั้งในกลุ่ม Tier 1 และ Tier 2 เริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย (3) กลุ่มเกษตรกรทั่วไป เริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย |
|||
หมายเหตุ |
ผู้เอาประกันภัย คือ เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ ในปีการผลิต 2562/63 |
|||
8. เรื่อง ผลการดำเนินงานและการขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1.1 รับทราบสถานะการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (โครงการเงินกู้ฯ) การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน และอนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ และการเบิกจ่ายเงินกู้จนถึงเดือนกันยายน 2562 ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการใดไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2562 เห็นควรให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานเจ้าของโครงการหรือจากแหล่งอื่น เพื่อดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จต่อไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561
1.2 อนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ของกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทางหลวง กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยวงเงินรวมทั้งสิ้น 679.07 ล้านบาท โดยในการยกเลิกสัญญาขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง และหากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ยกเลิกโครงการต้องคืนเงินที่ได้เบิกไปแล้ว ขอให้เร่งดำเนินการและแจ้งผลการคืนเงินดังกล่าวให้ กค. [สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)] ทราบด้วย สำหรับโครงการที่ขอยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความประสงค์จะดำเนินโครงการต่อไป ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
1.3 เห็นชอบให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินงานส่งให้ สบน. ทุกเดือน ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป และกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด
และให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินของหน่วยงานเจ้าของโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. ในกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการแล้วเสร็จและมีเงินคงเหลือจากการดำเนินงาน ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบมติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะนำเงินที่เหลือในบัญชีดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรีมาเพื่อรายงานสถานะการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (โครงการเงินกู้ฯ) ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 และขออนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินกู้จนถึงเดือนกันยายน 2562 จำนวนทั้งสิ้น 65 โครงการ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการใดไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2562 เห็นควรให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานเจ้าของโครงการหรือจากแหล่งอื่นเพื่อดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จต่อไป รวมทั้งขออนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ของหน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความประสงค์จะขอยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 โดยสรุปความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ ได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ผลการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ |
จำนวนโครงการ |
วงเงินที่ สงป. จัดสรร |
ผลการเบิกจ่าย |
|
|
จำนวน |
ร้อยละ |
วงเงินคงเหลือที่ยังไม่เบิกจ่าย |
|||
1) ดำเนินการแล้วเสร็จ |
3,930 |
66,844.46 |
64,202.96 |
96.05 |
2,641.54* |
2) อยู่ระหว่างดำเนินการ |
65 |
9,758.14 |
5,135.24 |
56.63 |
4,622.90 |
2.1) อยู่ระหว่างดำเนินการและเบิกจ่ายภายในปีงบประมาณ 2562 ** |
15 |
2,511.39 |
648.63 |
25.83 |
1,862.76 |
2.2) อยู่ระหว่างดำเนินการและประสงค์จะขอขยายระยะเวลาเพื่อดำเนินการต่อ (คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2562) *** |
50 |
7,246.75 |
4,486.61 |
61.91 |
2,760.14 |
3) ประสงค์จะยกเลิก |
13 โครงการ และ 1 แห่ง |
6,79.07 |
86.54 |
12.74 |
592.53 |
รวมทั้งสิ้น |
4,008 |
77,281.67 |
69,424.74 |
89.75 |
7,856.97 |
หมายเหตุ : * เงินเหลือจ่ายที่ต้องส่งคืนคลัง
** เป็นโครงการเงินกู้ฯ ที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ให้ขยายระยะเวลาและเบิกจ่ายถึงปีงบประมาณ 2562 (เดือนกันยายน 2562)
*** เป็นโครงการเงินกู้ฯ ที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ให้ขยายระยะเวลาและเบิกจ่ายได้ถึงเดือนเมษายน 2561 - พฤษภาคม 2562
จากผลการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ มีโครงการเงินกู้ฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ รวมทั้งสิ้น 65 โครงการ ประกอบด้วย โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงานโดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการและเบิกจ่ายได้ทันระยะเวลา (ภายในเดือนกันยายน 2562) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 รวม 15 โครงการ ในขณะที่อีก 50 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการและไม่สามารถเบิกจ่ายได้ภายในเดือนเมษายน 2561 ถึงเดือนพฤษภาคม 2562 ตามกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เนื่องจากมีปัญหาในการดำเนินงานบางประการ เช่น ต้องปรับแก้ขอบเขตการดำเนินงานและระยะเวลาดำเนินงานในสัญญาให้สอดคล้องกับพื้นที่และความต้องการของประชาชน หยุดการดำเนินงานชั่วคราวจากปัญหาน้ำท่วม เป็นต้น ในครั้งนี้กระทรวงการคลังจึงขออนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินกู้สำหรับโครงการเงินกู้ฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการออกไปอีกจนถึงเดือนกันยายน 2562 ซึ่งเป็นการขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ ภายใต้กรอบระยะเวลาเดิมที่กำหนดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จไม่เกินปีงบประมาณ 2562
9. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาเขาตำบล ที่จังหวัดลพบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 7/2556 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาเขาตำบล ที่จังหวัดลพบุรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 และวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 โดยเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม สำหรับโครงการดังกล่าว และหน่วยงานเจ้าของพื้นที่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้อง ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตร ที่ 7/2556 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาเขาตำบล
ที่จังหวัดลพบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2533 และวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ซึ่งพื้นที่คำขออยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็มของลุ่มน้ำป่าสัก และเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าซับลังกา ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาเขาตำบล ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้แล้ว โดยพื้นที่ไม่เป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ไม่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการทำเหมืองตามระเบียบและกฎหมายของส่วนราชการต่าง ๆ การปิดประกาศการขอประทานบัตรไม่มีผู้ร้องเรียนคัดค้าน รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลนาโสมได้แจ้งความเห็นชอบในการขอประทานบัตรและคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านเหมืองแร่ ได้ให้ความเห็นชอบกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560
10. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี และ 1 บีอาร์ เพื่อทำเหมืองแร่ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี และ 1 บีอาร์ เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 5/2557 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 โดยเมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี และ 1 บีอาร์ สำหรับโครงการดังกล่าว และหน่วยงานเจ้าของพื้นที่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี และ 1 บีอาร์ เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 5/2557 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 ซึ่งพื้นที่คำขออยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี และ 1 บีอาร์ และเป็นพื้นที่ป่าไม้ โดยเป็นที่ดินมีสิทธิครอบครอง น.ส. 3 ก. จำนวน 8 แปลงของบุคคลอื่น ซึ่งได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินแล้ว ทั้งนี้ ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้แล้ว โดยพื้นที่ไม่เป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ไม่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการทำเหมืองตามระเบียบและกฎหมายของส่วนราชการต่าง ๆ การปิดประกาศการขอประทานบัตรไม่มีผู้ร้องเรียนคัดค้าน รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลหินตกได้แจ้งความเห็นชอบในการขอประทานบัตร และคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ ได้ให้ความเห็นชอบกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการแล้วเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560
11. เรื่อง มาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนและเพิ่มมูลค่าการตลาดของการจำหน่ายสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) ไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ในฐานะหน่วยงานกลไกหลักในการบริหารจัดการแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ทุกระดับ พิจารณามอบหมายจังหวัดดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อสนับสนุนการผลักดันและขับเคลื่อนการส่งเสริมและคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) ไทย ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าการตลาดของการจำหน่ายสินค้า GI ไทยอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยให้ พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. รายงานว่า
1. สถานการณ์การส่งเสริมและคุ้มครอง GI ไทย
ปัจจุบัน พณ. ได้ดำเนินการขึ้นทะเบียน GI ไทยทั้งหมด 99 สินค้า จาก 66 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วยสินค้า GI หมวดข้าว 10 รายการ อาหาร 18 รายการ ผักและผลไม้ 47 รายการ ผ้า 9 รายการ หัตถกรรมและอุตสาหกรรม 13 รายการ และไวน์ – สุรา 2 รายการ และอยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาขึ้นทะเบียนอีก 69 รายการ นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการให้สินค้า GI ไทย ได้รับการคุ้มครองในต่างประเทศแล้ว รวม 6 สินค้า ใน 4 ประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป (ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้/กาแฟดอยตุง/กาแฟดอยช้าง/ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง) สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เส้นไหมไทยพื้นบ้านอีสาน) และสาธารณรัฐอินโดนีเซียและอินเดีย (ผ้าไหมยกดอกลำพูน) และอยู่ระหว่างผลักดันให้ได้รับการคุ้มครองเพิ่มอีก 6 สินค้า ใน 3 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน (ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้/มะขามหวานเพชรบูรณ์/ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง) กัมพูชา (กาแฟดอยตุง) และเวียดนาม (มะขามหวานเพชรบูรณ์/ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน) รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพและรับรองมาตรฐานสินค้า GI เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในระดับจังหวัด (Internal Control) ทั้งหมด 64 สินค้าและระดับสากล (External Control) ทั้งหมด 19 สินค้า
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2561 ยังได้ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สินค้า GI รวม 20 สินค้า อาทิ ผ้าครามธรรมชาติสกลนคร ชามไก่ลำปาง สับปะรดภูแลเชียงราย ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ส้มโอปูโกยะรัง มะขามหวานเพชรบูรณ์ และทุเรียนนนท์ เป็นต้น เพื่อยกระดับสินค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งมีคุณภาพและชื่อเสียงของสินค้านั้น ๆ อันสร้างโอกาสทางการตลาด สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่า 380 ล้านบาท โดยร่วมมือกับบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด จัดให้มีมุมจำหน่ายสินค้า GI ไทย (GI Corner) อย่างถาวร ภายในท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ รวม 108 สาขาทั่วประเทศ ตลอดจนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดสินค้า GI อย่างต่อเนื่อง
ทุกปี เช่น งาน GI Market งาน IP Fair และงาน THAIFEX – World of Food Asia เป็นต้น ส่งผลให้สินค้า GI ทั้งหมดของไทย สามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดสูงถึง 4,080 ล้านบาท
2. มาตรการเพิ่มมูลค่าการตลาดของการจำหน่ายสินค้า GI และส่งเสริมการคุ้มครอง GI ไทยอย่างยั่งยืน
พณ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) มท. กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ในการประชุมดังกล่าว ประธานได้แจ้งให้ผู้แทนทุกหน่วยงานทราบถึงนโยบายของรัฐบาลในการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสินค้า GI เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่น รักษาฐานรายได้เดิม และสร้างฐานอนาคตใหม่ที่สร้างรายได้สูงขึ้นให้กับเกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังขอความร่วมมือในการดำเนินการส่งเสริมสินค้า GI ไทย ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง เพื่อไปสู่การปฏิบัติที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การเฟ้นหาผลิตภัณฑ์การเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีคุณค่าและศักยภาพเพื่อส่งเสริมการขึ้นทะเบียน GI การผลักดันให้จังหวัดจัดทำระบบควบคุมรับรองมาตรฐานคุณภาพสินค้า GI ทั้งระดับในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 พณ. ได้กำหนดเป้าหมายและแผนงานการดำเนินการสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมคุ้มครอง GI ไทย ได้แก่ (1) การลงพื้นที่ส่งเสริมให้จังหวัดยื่นคำขอขึ้นทะเบียน GI รวม 8 สินค้า ใน 7 จังหวัด อาทิ หม้อห้อม (จังหวัดแพร่) โอ่งมังกร (จังหวัดราชบุรี) พริกไทย (จังหวัดจันทบุรี) กระเทียม (จังหวัดศรีสะเกษ) และลูกหยียะรัง (จังหวัดปัตตานี) เป็นต้น (2) เร่งพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียน GI ไทยเพิ่มขึ้นอีก 16 คำขอ อาทิ มะม่วงยายกล่ำ (จังหวัดนนทบุรี) ทุเรียนสาลิกา (จังหวัดพังงา) และกาแฟวังน้ำเขียว (จังหวัดนครราชสีมา) เป็นต้น (3) ผลักดันให้สินค้า GI ไทยที่มีศักยภาพ ยื่นคำขอรับความคุ้มครองในต่างประเทศเพิ่มอีก 5 สินค้า ใน 2 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 สินค้า ได้แก่ ทุเรียนปราจีนบุรีและมะพร้าวน้ำหอมราชบุรี และมาเลเซีย จำนวน 3 สินค้า ได้แก่ ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ และข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง (4) ผลักดันให้จังหวัดจัดทำระบบควบคุมตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้า GI เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวม 7 สินค้า เช่น สับปะรดตราดสีทอง นิลเมืองกาญจน์ และเงาะโรงเรียนนาสาร เป็นต้น (5) ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สินค้า GI รวม 10 สินค้า (6) จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดสินค้า GI อย่างต่อเนื่องทุกปี อาทิ งาน GI Market และงาน THAIFEX – World of Food Asia เป็นต้น และ (7) สร้างความรู้ความเข้าใจในความสำคัญของ GI ให้กับเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคผ่านช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งสื่อออนไลน์และสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
3. การขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมและคุ้มครอง GI ไทยอย่างเป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาล
เพื่อบูรณาการการทำงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนทั้งสินค้าเกษตร หัตถกรรม หรือการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน และประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน จำเป็นที่ต้องอาศัยการบูรณาการการขับเคลื่อนการทำงานในระดับพื้นที่ โดยให้หน่วยงานส่วนราชการในพื้นที่ทุกระดับตั้งแต่จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน สนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เห็นควรขอความร่วมมือ มท. ในฐานะหน่วยงานกลไกหลักในการบริหารจัดการแบบบูรณาการในระดับพื้นที่พิจารณามอบหมายจังหวัด ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและคุ้มครอง GI ไทย ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า GI ไทย อันช่วยเสริมสร้างและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เช่น สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด โดยมีสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นฝ่ายเลขานุการ เป็นต้น
12. เรื่อง รายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) ของคณะกรรมาธิการยุโรป
คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในสถานที่จำหน่ายและเว็บไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งตัดช่องทางการลำเลียงสินค้าละเมิด ตลอดจนประสานองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นเจ้าของหรือกำกับดูแลพื้นที่และเว็บไซต์ที่ถูกระบุในรายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) ของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission : EC) เพื่อร่วมดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
สาระสำคัญของเรื่อง
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2561 คณะกรรมาธิการยุโรปได้เผยแพร่รายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) เป็นครั้งแรก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งรัฐบาลและหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศนอกสหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการที่จำเป็นและเหมาะสมในการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทุกช่องทาง นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ของผู้บริโภคให้ทราบถึงความเสี่ยงของการบริโภคสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากแหล่งต่าง ๆ ที่ระบุในรายงานฯ โดยมิได้มีมาตรการลงโทษหรือเกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษี
ทั้งนี้ รายงานซึ่งอาจมีผลต่อภาพลักษณ์ดังกล่าวมีการระบุรายชื่อของตลาดขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่รวมถึงตลาดสินค้าและตลาดขายสินค้าออนไลน์ของไทย ซึ่งอาจมีต่อภาพลักษณ์ด้านการค้าและการลงทุนของประเทศและกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบกับการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน กระทรวงพาณิชย์จึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในสถานที่จำหน่ายและเว็บไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งตัดช่องทางการลำเลียงสินค้าละเมิด ประเทศไทยจะใช้โอกาสนี้ในการดำเนินการป้องกันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะสถานที่จำหน่ายและเว็บไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดที่ถูกระบุในรายงานดังกล่าวอย่างจริงจัง
ปัจจุบันสหภาพยุโรปจัดอันดับให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหภาพยุโรปมีความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาน้อย (Priority 3) รวมกับ บราซิล เอกวาดอร์ มาเลเซีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา
13. เรื่อง มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอและแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีข้อเสนอมาตรการหรือข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีมีมติให้ กค. เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีมติเร่งรัด กค. ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จและแจ้งผลการดำเนินการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน นั้น กค. ได้พิจารณามาตรการและข้อเสนอดังกล่าวแล้ว ขอเรียน ดังนี้
ข้อเสนอมาตรการหรือข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. |
1. ข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต เรื่อง “การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน)” ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ (1) การประเมินผลขั้นตอนวางแผนก่อนดำเนินโครงการ: เน้นการพิจารณาความเหมาะสมในการวางแผนโครงการว่ามีการวางกระบวนการ/กิจกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบได้แค่ไหนเพียงใด ก่อนอนุมัติ (2) การประเมินผลขั้นการดำเนินงาน: เน้นการติดตามความก้าวหน้าของโครงการว่าได้ดำเนินการอย่างเหมาะสมเพียงใด และดำเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงใด และ (3) การประเมินผลขั้นสรุปผลหลังการดำเนินโครงการ: เน้นที่ผลของการดำเนินงานของโครงการว่ามีความเหมาะสมเพียงใด โดยประเมินผลกระทบและผลสำเร็จของงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายการป้องกันการทุจริตหรือไม่ และมีการยกระดับพฤติกรรมของการดำเนินงานของโครงการและหน่วยงานเพียงไร โดยเห็นควรให้นำหลักการในข้อเสนอแนะดังกล่าวกำหนดส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่อยู่ระหว่างการพิจารณายกฐานะให้เป็นพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วย |
ข้อชี้แจงของ กค. |
เนื่องจากกรณีนี้ได้มีพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีมาตรการกีดกันหรือปราบปรามการทุจริตของโครงการภาครัฐ เช่น - มาตรา 8 บัญญัติให้การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานของรัฐ และต้องสอดคล้องกับหลักการคุ้มค่า โปร่งใส และมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลและต้องตรวจสอบได้ - มาตรา 11 บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐจัดทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี และประกาศเผยแพร่ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางและหน่วยงานของรัฐตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกำหนด และให้ปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐนั้น - มาตรา 66 บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างหรือผู้ได้รับการคัดเลือกและเหตุผลสนับสนุนในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางและของหน่วยงานของรัฐตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกำหนดและให้ปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐนั้น ประกอบกับพระราชบัญญัติดังกล่าวยังได้บัญญัติให้ภาคประชาชนผู้ประกอบการมีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริตโดยการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม ตลอดจนยังกำหนดให้มีการอุทธรณ์ผลการจัดซื้อจัดจ้าง และมีการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในทุกขั้นตอน ทำให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้จากเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง (www.gprocurement.go.th) จากหลักการดังกล่าวทำให้การทุจริตเป็นไปได้โดยยากยิ่งขึ้น |
ข้อเสนอมาตรการหรือข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. |
2. มาตรการป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) โดยที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้กรมบัญชีกลางจะมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค0421.3/ว 247 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 แจ้งเวียนให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณาประเภทสินค้าและบริการหรืองานโครงการที่ไม่ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ถ้าสินค้าและบริการหรืองานโครงการนั้น เป็นสินค้าและบริการที่มีความซับซ้อน มีเทคนิคเฉพาะ หากดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แล้วอาจไม่ได้ผลดี ได้สินค้าและบริการที่ไม่มีคุณภาพ แต่ข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติผู้เข้าร่วมเสนอราคามักอ้างเหตุผลว่างานก่อสร้างของทางราชการแทบทุกประเภทจะมีรูปแบบของการก่อสร้างที่เป็นมาตรฐาน ไม่มีความซับซ้อน ซึ่งผู้เข้าร่วมเสนอราคาสามารถเข้าใจในรูปแบบของการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี ทั้งที่ในความเป็นจริงงานก่อสร้างแต่ละประเภทมีความซับซ้อนและมีเทคนิคเฉพาะ จนบางครั้งเป็นผลให้ไม่มีผู้เข้ายื่นเสนอราคาหรือยื่นเสนอราคาแล้วแต่ขาดหรือไม่ตรงตามคุณสมบัติจนทำให้ต้องขอยกเลิกการจัดจ้าง แล้วขออนุมัติต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) แทน เพื่อดำเนินการจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะมีช่องโอกาสของการทุจริตและการสมยอมกันเสนอราคากันได้สูง ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติและป้องกันการแอบอ้างและการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการจัดจ้างด้วยวิธีการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 มาใช้อ้างในการป้องกันตนเอง หรืออาศัยการดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเองหรือผู้อื่น จึงเห็นควรยกเว้นมิให้นำการจัดจ้างด้วยวิธีการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 มาใช้ในงานก่อสร้างทุกประเภท ไม่ว่างานก่อสร้างนั้นจะมีลักษณะของงานซับซ้อนหรือมีเทคนิคเฉพาะหรือไม่ก็ตาม |
ข้อชี้แจงของ กค. |
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ได้ถูกยกเลิกตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แล้วซึ่งกรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ระยะที่ 3 โดยพัฒนาระบบตลาดกลางการซื้อขายสินค้าและบริการภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-market) และการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ทุกขั้นตอนต้องดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การดาวน์โหลดเอกสารและการเสนอราคาจะดำเนินการผ่านเว็บไซต์ระบบ e-GP อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐให้มีความทันสมัย ทัดเทียมมาตรฐานสากล เพิ่มความโปร่งใส ลดโอกาสในการสมยอมราคากันในการเสนอราคาของผู้ค้า และก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง โดยไม่ให้มีการเผชิญหน้าหรือพบกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ ผู้จัดซื้อจัดจ้างกับผู้ประกอบการหรือระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเอง และไม่มีการเปิดเผยรายชื่อผู้เสนอราคาระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดธรรมาภิบาลและความโปร่งใสมากขึ้น เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างทำให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจสอบได้ตลอดเวลา ซึ่งจะนำไปสู่การลดการคอร์รัปชันได้ในที่สุด
|
ข้อเสนอมาตรการหรือข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. |
3. ข้อเสนอแนะจากงานศึกษาวิจัย เรื่อง โครงการศึกษาประเด็นทางกฎหมายที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตที่มีผลกระทบในภาพรวมโดยเฉพาะของเอกชน โดยเห็นควรนำข้อเสนอแนะงานวิจัยฉบับนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจราณาร่างพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของกรมบัญชีกลาง กค. ต่อไป โดยสามารถสรุปข้อเสนอแนะจากงานศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ ดังนี้ - ข้อเสนอแนะจากปัญหาที่พบ : (1) ควรกำหนดมาตรการเสริมเพื่อป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายโดยเฉพาะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง (2) ควรเปลี่ยนแปลงการจัดโครงสร้างองค์กรที่ทำหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างเป็นลักษณะการกระจายอำนาจ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลกันระหว่างคณะกรรมการชุดต่าง ๆ และ (3) ควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งตามช่วงเวลาก่อน ระหว่าง และภายหลังจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง - ข้อเสนอแนะในมิติของกฎหมาย : ควรร่างกฎหมายในชั้นพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยเฉพาะ ซึ่งมีเนื้อหาและโครงร่างเช่นเดียวกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมประเด็นต่าง ๆ เพื่อขจัดขัดขวางการกระทำการอันเป็นการทุจริตซึ่งขัดขวางต่อประโยชน์ของราชการและเป้าหมายสูงสุดของการจัดซื้อจัดจ้าง - ข้อเสนอแนะในมิติอื่น ๆ : (1) ควรมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทันสมัยและรองรับต่อการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ (2) ควรจัดให้มีการเผยแพร่ความรู้แก่ผู้ประกอบการเพื่อให้เข้าใจขั้นตอนและกระบวนการในการจัดซื้อจัดจ้าง ตลอดจนสิทธิ หน้าที่ ข้อห้าม และผลของการฝ่าฝืนต่าง ๆ และ (3) ควรมีการจัดทำและเผยแพร่จรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะ รวมทั้งจัดให้มีการอบรมเจ้าหน้าที่พัสดุของภาครัฐตลอดจนผู้ประกอบการภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง |
ข้อชี้แจงของ กค. |
กรมบัญชีกลางได้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวมาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 อาทิเช่น - บททั่วไป หลักและแนวคิดในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้แก่ การคุ้มค่า ความโปร่งใส ความมีประสิทธิผล ความเป็นธรรม และการตรวจสอบได้ ได้วางหลักไว้ในมาตรา 5 โดยบัญญัติให้การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานของรัฐ และสอดคล้องกับหลักการดังกล่าว - การจัดทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี โดยประชาชนสามารถเข้าสังเกตการณ์และแสดงความคิดเห็นได้ในลักษณะของการประชุมแบบเปิด และกำหนดกระบวนการทบทวนร่างแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีก่อนนำไปประกาศใช้ปฏิบัติ โดยในมาตรา 11 ได้วางหลักไว้ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี และประกาศเผยแพร่ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางและของหน่วยงานของรัฐตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกำหนด และให้ปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐนั้น - การพิจารณาข้อเสนอ โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาแต่เพียงเกณฑ์ราคาเท่านั้นแต่ให้สามารถใช้เกณฑ์อื่นในการคัดเลือกได้ ซึ่งในมาตรา 65 ได้วางหลักไว้ว่าในการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการโดยพิจารณาถึงประโยชน์ของหน่วยงานของรัฐ และวัตถุประสงค์ของการใช้งานเป็นสำคัญโดยให้คำนึงถึงเกณฑ์ราคาและพิจารณาเกณฑ์อื่นประกอบด้วย ทั้งนี้ ในกรณีอื่นพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ได้นำข้อเสนอแนะ จากงานศึกษาวิจัยดังกล่าว บัญญัติไว้ในพระราชบัญัญัติดังกล่าวแล้ว |
ต่างประเทศ
14. เรื่อง การปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ จากระบบ HS 2012 เป็นระบบ HS 2017 ของบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้า เฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์จากระบบ HS 2012 เป็นระบบ HS 2017 ของบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules: PSRs) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ (ASEAN – Australia – New Zealand Free Trade Area: AANZFTA) เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการให้กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ AANZFTA ในระบบ HS 2017 มีผลใช้บังคับภายในประเทศต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญของการปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์จากระบบ HS 2012 เป็นระบบ HS 2017 ของบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้า เฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ เป็นการปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ทุก ๆ 5 ปี ขององค์การศุลกากรโลก (WCO) ส่งผลให้ต้องมีการปรับปรุงและปรับโอนกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (PSRs) จากพิกัดศุลกากรระบบ HS 2012 เป็นระบบ HS 2017 จำนวน 5,387 รายการ แบ่งลักษณะการปรับโอนเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ (1) สินค้าที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนพิกัดศุลกากร จำนวน 4,857 รายการ (2) สินค้าที่มีการปรับเปลี่ยนพิกัดศุลกากร แต่ไม่เปลี่ยนเกณฑ์ถิ่นกำเนินสินค้าเดิม จำนวน 511 รายการ และ (3) สินค้าที่มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรและมีการปรับเกณฑ์ถิ่นกำเนินสินค้าให้สอดคล้องตามระบบ HS 2017 จำนวน 19รายการ โดยการปรับโอนดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเดิม และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพันธกรณีที่ไทยผูกพันไว้เดิมในด้านการลดภาษีหรือยกเลิกอากรศุลกากรและคณะกรรมาธิการร่วมเขตการค้าเสรี อาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 ที่กำหนดให้มีประชุมคณะกรรมาธิการร่วมความตกลง อาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ สามารถรับรองบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าที่ปรับเปลี่ยนตามการปรับปรุงพิกัดอัตราศุลกากรทุก 5 ปี หากไม่ลดทอนข้อผูกพันเดิมได้
แต่งตั้ง
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายวิทยา นันทิยกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
16. เรื่อง การเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตามที่ ทส. เสนอ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 เมษายน 2560) รับทราบการแต่งตั้ง นายประลอง ดำรงค์ไทย ผู้ตรวจราชการ ทส. เป็นโฆษกประจำ ทส. ตามคำสั่ง ทส. ที่ 41/2560 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่อง แต่งตั้งโฆษกประจำ ทส.
2. ทส. ยกเลิกคำสั่ง ทส. ตามข้อ 1. และแต่งตั้งนายโสภณ ทองดี ผู้ตรวจราชการ ทส. เป็นโฆษกประจำ ทส. ตามคำสั่ง ทส. ที่ 70/2562 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 เรื่อง แต่งตั้งโฆษกประจำ ทส.
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (รองเลขาธิการ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอแต่งตั้ง นางสาวปราณี เก้าเอี้ยน ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
18. เรื่อง แต่งตั้งผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายธิบดี วัฒนกุล ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค แทน นางสาวเยาวนุช วิยาภรณ์ ผู้แทนกระทรวงการคลังเดิมที่ลาออก เนื่องจากเกษียณอายุราชการ
19. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามมติคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 15/2561 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 และครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้ เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ลาออก จากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการท่องเที่ยว
2. นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ อธิบดีกรมการท่องเที่ยว ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสันติ ป่าหวาย รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรม พลศึกษา
4. นายปัญญา หาญลำยวง อธิบดีกรมพลศึกษา ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี