หากถามว่า “นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยมากว่า 8 ทศวรรษ นโยบายใดที่สร้างความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินที่สุด?” เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนต้องตอบว่า “30 บาทรักษาทุกโรค” อย่างแน่นอน เพราะเป็นนโยบายที่ “เปิดความหวังให้กับคนธรรมดาสามัญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”จากในอดีตที่หากเป็นคนทั่วไปไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง เมื่อตนเองหรือสมาชิกสักคนหนึ่งในครอบครัวล้มป่วยก็แทบสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นหนี้สิน หรือแม้แต่ต้องปล่อยให้เสียชีวิตไปอย่างน่าเวทนาแก่ผู้ได้รับทราบเรื่องราว
อย่างไรก็ตาม จากการเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ง่ายขึ้น “งบประมาณอุดหนุนรายจ่ายของรัฐก็เพิ่มขึ้นทุกปี และบุคลากรทางการแพทย์ก็รับภาระหนักขึ้นด้วยเช่นกัน” หลายโรงพยาบาลระบุว่านอกจากไม่มีกำไรยังเสี่ยงขาดทุน ผู้ป่วยเองก็ต้องรอคิวนานชนิดไปจองกันตั้งแต่เช้ามืดกว่าจะได้ตรวจก็รอไปเกือบเที่ยงหรือไปถึงช่วงบ่าย นำไปสู่การโยนหินถามทางจากบางฝ่ายว่า “ควรมีระบบร่วมจ่ายกันดีไหม?- ให้เฉพาะคนมีรายได้น้อยดีหรือเปล่า?” จะได้ลดคนมาแออัดในโรงพยาบาลบ้าง หรืออย่างน้อยก็มีรายได้มาอุดหนุนอีกทางหนึ่ง
เมื่อเร็วๆ นี้ที่โรงละครเคแบงก์สยามพระพิฆเนศ ย่านสยามสแควร์ กรุงเทพฯ มีการจัดสัมมนาเรื่อง “ผ่าแนวคิดพรรคการเมือง อนาคตสุขภาพคนไทย” โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วมจำนวน 4 พรรค ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรคอนาคตใหม่ (อ.น.ค.) ร่วมแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายด้านสาธารณสุข รวมถึงอนาคตของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วย
เริ่มกันที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานฝ่ายยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในฐานะที่อยู่ร่วมทำงานในวันเริ่มโครงการบัตรทอง 30 บาท เมื่อ 17 ปีก่อน วันนี้ต้องย้ำ “หลักคิดเรื่องสิทธิในการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึงและทัดเทียมต้องคงอยู่” จากในอดีตที่คนยากจนจะมีบัตรที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “บัตรอนาถา” ซึ่งทำให้เกิดการ “แบ่งระดับชั้น” ในทุกเรื่องทั้งการรอคิว คุณภาพยา กระบวนการรักษา
แต่เมื่อมีโครงการบัตรทอง 30 บาทเกิดขึ้น ไม่ว่าองค์การสหประชาชาติ (UN) องค์การอนามัยโลก (WHO) ธนาคารโลก (World Bank) ต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “การที่คนคนหนึ่งได้รับการรักษาพยาบาลจากอาการป่วย มีสุขภาพดีเขาก็จะเป็นกำลังแรงงานสร้างผลผลิตให้ประเทศชาติได้” และการที่ยึดหลักความเท่าเทียมจะส่งผลให้ไม่ว่ายากดีมีจนทุกคนก็จะได้รับการรักษาในมาตรฐานเดียวกันไม่มีแบ่งแยก
ส่วนเรื่องรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นนั้นคุณหญิงสุดารัตน์ มองว่าเป็นเพราะการบริหารผิดเพี้ยนไปจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่า “สร้างสุขภาพดี” (Health Care) คืนโรงพยาบาลให้ชุมชนกับบุคลากรทางการแพทย์ทำงานร่วมกัน จัดงบรายหัวลงไปเน้นภารกิจป้องกันโรค โดยเฉพาะ“ไขมัน - ความดัน - เบาหวาน” เพราะป่วยมาแล้วมีอาการเรื้อรังบวกโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ต้องเสียค่ารักษามาก แต่ต่อมากลับไปเน้น “ดูแลคนป่วย” (Sick Care) เวลาจัดงบประมาณก็ดูว่าพื้นที่ไหนมีผู้ป่วยมากก็ได้งบประมาณมาก กลายเป็นงบก็บานปลายแถมภาระของโรงพยาบาลก็มากขึ้นไปด้วย
ขณะที่ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็กล่าวเช่นกันว่า “เรามาไกลแล้วกับนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จึงไม่เห็นด้วยกับการย้อนกลับไปจำกัดเฉพาะผู้มีรายได้น้อย” อีกทั้งแม้จะเป็นคนร่ำรวยหากเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ ก็อาจทำให้ล้มละลายได้ นอกจากนี้ “จริงๆ ประชาชนก็ร่วมจ่ายอยู่แล้ว แต่เป็นการจ่ายล่วงหน้าผ่านระบบภาษี” คนมีมากจ่ายมากทั้งภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม คนมีน้อยก็จ่ายเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่มีความท้าทายคือ 1.ครอบคลุมหรือไม่? 2.เข้าถึงเพียงใด?และ 3.คุณภาพเป็นอย่างไร?
นายสุวิทย์ เสนอแนะสิ่งที่ควรทำต่อไป อาทิ 1.ทำระบบจัดซื้อยาร่วม แทนที่จะให้แต่ละโรงพยาบาลไปซื้อกันเองซึ่งจะต้องจ่ายในราคาแพงกว่า 2.ยกระดับสถานพยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขของชุมชน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเป็นด่านแรกในการดูแลสุขภาพประชาชนเบื้องต้น ลดปัญหาโรงพยาบาลแออัด 3.มีมาตรการจูงใจให้คนรักษาสุขภาพ เช่น ใครไม่ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงสามารถนำไปเป็นเกณฑ์ลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น
ด้านนักการเมืองหนุ่มที่กระแสมาแรงในหมู่วัยรุ่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เสนอแนะว่า 1.การจัดสรรงบประมาณต้องลงไปยังโรงพยาบาลระดับท้องถิ่นมากขึ้น วันนี้หลายโรงพยาบาลมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ประชาชนต้องเดินทางเข้ามารับบริการที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเมือง ดังนั้นรัฐควรจัดสรรงบประมาณเน้นไปที่โรงพยาบาลระดับอำเภอจะดีกว่า
2.กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นจะมีบทบาทมากในงานด้านป้องกันโรค หน่วยงานท้องถิ่นอยู่ใกล้ประชาชนที่สุดจึงมีพลังในการรณรงค์ในพื้นที่มากที่สุด 3.นำเทคโนโลยีมาช่วย เช่น วันนี้
โทรศัพท์มือถือที่ใช้กันอยู่เป็นแบบสมาร์ทโฟนสามารถติดตั้งแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ อาทิ วัดชีพจร วัดความดัน หากทำให้ อสม. ใช้เครื่องมือเหล่านี้ตรวจสุขภาพเบื้องต้นกับประชาชนก็จะช่วยลดความจำเป็นในการเข้ามาแออัดในโรงพยาบาล เพราะที่ผ่านมาประชาชนหลายคนเดินทางไปโรงพยาบาลเพียงเพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้นแล้วรับยาเท่านั้น
ปิดท้ายกันที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก้าวต่อไปของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิ่งที่ต้องปรับปรุงคือ 1.แก้ไขระเบียบการขอรับงบประมาณ ที่ผ่านมา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งมีคณะกรรมการจากผู้เชี่ยวชาญหลายแขนง คำนวณความจำเป็นเพื่อของบประมาณแล้วไม่ค่อยได้ตามที่ขอ ส่งผลกระทบต่อการให้บริการกับประชาชน 2.มาตรการเฉพาะรับมือโรคเรื้อรังที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งมีไม่กี่โรค เช่น ความดัน เบาหวาน มะเร็ง ไต หัวใจ ต้องมีการระดมทุนเพื่อมาดูแลในส่วนนี้
3.ปฏิรูประบบภาษี เพราะปัจจุบันยังไม่สามารถจัดเก็บรายได้ที่ควรเก็บได้อย่างสมบูรณ์ 4.ต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วย เพราะที่ผ่านมาสถานพยาบาลเอกชนดึงทรัพยากรจากสถานพยาบาลของรัฐไปมาก 5.ปลดล็อกศักยภาพหน่วยงานระดับท้องถิ่น ให้จัดทำบริการสาธารณะได้หลากหลาย สืบเนื่องจากหลายพื้นที่ผู้บริหารมีความคิดดีๆ แต่ไม่กล้าทำเพราะกลัวผิดระเบียบราชการ 6.รวมฐานข้อมูลสุขภาพ จะมีประโยชน์ในการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาล และ 7.หากจะให้ประชาชนจ่ายต้องจ่ายเฉพาะกรณีภาษีบาป หมายถึงสินค้าที่บั่นทอนสุขภาพเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี