5 มี.ค.62 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
รง. เสนอว่า
1. ได้มีประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรได้รับยกเว้นไม่จำต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น ลงวันที่ 29 มกราคม 2561 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไป ได้กำหนดสิทธิประโยชน์ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น รวมถึงผู้ติดตามซึ่งได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรโดยไม่ต้องมีใบอนุญาตทำงานตลอดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่ สกท. ประกาศกำหนด เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนและดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาทำงานใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (10 S – Curve)
2. ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (6 พฤศจิกายน 2561) ดังนั้น จึงได้ยกเลิกประกาศตามข้อ 1. และได้แก้ไขเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น รวมถึงผู้ติดตามที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุน และดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถหรือทักษะสูงให้เข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลในการเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่อง Ease of Doing Business
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. ให้ยกเลิกประกาศกระทรวง เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรได้รับการยกเว้นไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น ลงวันที่ 29 มกราคม 2561
2. กำหนดสิทธิประโยชน์ให้แก่คนต่างด้าวผู้ถือ Smart Visa และผู้ติดตาม ดังนี้
2.1 ให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นประเภทผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง (Talent) นักลงทุน (Investor) ผู้บริหารระดับสูง (Executive) และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ สามารถทำงานซึ่งไม่เป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำในประเทศไทยได้ตลอดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง โดยไม่ต้องขอรับใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
2.2 ให้คู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ถือ Smart Visa ประเภทผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง (Talent) นักลงทุน (Investor) หรือผู้บริหารระดับสูง (Executive) คู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ถือ Smart Visa ประเภทผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ถือ Smart Visa ประเภทผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป สามารถทำงานในประเทศไทยได้ตลอดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร แต่ต้องไม่เป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
2. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน (ฉบับที่ ..)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน (ฉบับที่ ..) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างประกาศ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนมีหลักเกณฑ์การจัดทำรายงานทางการเงิน มาตรฐานเกี่ยวกับการเงิน การพัสดุ และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียนให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 และให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยมาตรฐานและหลักเกณฑ์ปฏิบัติการตรวจสอบภายในสำหรับหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2561
ประกาศคณะกรรมการฯ พ.ศ. 2560 |
ร่างประกาศคณะกรรมการฯ (ฉบับที่ ..) |
หมายเหตุ |
1. ให้ยกเลิกความในวรรคสอง ของข้อ 3 “ในกรณีที่มีความจำเป็น หน่วยงานของรัฐตามวรรคหนึ่งอาจขอเปิดบัญชีเงินฝากไว้ ณ ธนาคารพาณิชย์ ในชื่อบัญชีเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง เพื่อไว้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง” |
“ในกรณีที่มีความจำเป็น หน่วยงานของรัฐตามวรรคหนึ่งอาจขอเปิดบัญชีเงินฝากไว้ ณ ธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในชื่อบัญชีเช่นเดียวกับวรรคหนึ่งเพื่อไว้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง” |
เพื่อให้เกิดความชัดเจนและครอบคลุมถึงธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และธนาคารที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ |
2. ให้ยกเลิกความใน (1) ของข้อ 6 “ฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์” |
“ฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ” |
เพื่อให้เกิดความชัดเจนและครอบคลุมถึงธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และธนาคารที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ |
3. ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่ง ของข้อ 12 “ให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนและคณะกรรมการบริหารจัดให้มีระบบการตรวจสอบภายในเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของทุนหมุนเวียนตามมาตรฐานการตรวจสอบภายในและจริยธรรมการปฏิบัติงานตรวจสอบภายในของส่วนราชการ หรือมาตรฐานสากลการปฏิบัติงานวิชาชีพการตรวจสอบภายใน” |
“ให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนและคณะกรรมการบริหารจัดให้มีระบบการตรวจสอบภายในเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของทุนหมุนเวียนตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ปฏิบัติการตรวจสอบภายในสำหรับหน่วยงานของรัฐ หรือมาตรฐานสากลการปฏิบัติงานวิชาชีพการตรวจสอบภายใน” |
กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล จัดให้มีระบบการตรวจสอบภายในเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของทุนหมุนเวียน ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด เพื่อตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของทุนหมุนเวียน ตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ปฏิบัติการตรวจสอบภายใน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยมาตรฐานและหลักเกณฑ์ปฏิบัติการตรวจสอบภายในสำหรับหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2561 |
3. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง การกำหนดให้ทุนหมุนเวียนนำเงินที่ฝากกระทรวงการคลังไปหาผลประโยชน์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง การกำหนดให้ทุนหมุนเวียนนำเงินที่ฝากกระทรวงการคลังไปหาผลประโยชน์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดจำนวนเงินที่ทุนหมุนเวียนสามารถนำเงินที่ฝากไว้กับกระทรวงการคลังไปหาผลประโยชน์ ให้กรมบัญชีกลางพิจารณาจากระดับเงินคงคลังที่มีอยู่ในแต่ละช่วงระยะเวลาของปีงบประมาณกับความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินและประมาณการรายจ่ายประจำปีบัญชีปัจจุบัน รวมทั้งภาระผูกพันของการนำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาดังกล่าว โดยให้กรมบัญชีกลางกำหนดสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่เหมาะสมในการนำเงินไปหาประโยชน์ เพื่อแจ้งต่อทุนหมุนเวียน
2. กำหนดให้การนำเงินทุนหมุนเวียนไปดำเนินการเพื่อหาผลประโยชน์เมื่อกรมบัญชีกลางแจ้งการกำหนดจำนวนเงินและสถาบันการเงินที่เหมาะสมต่อทุนหมุนเวียนให้ทุนหมุนเวียนนำเงินไปฝากไว้กับสถาบันการเงิน ตามระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางกำหนด และรายงานให้คณะกรรมการบริหารทราบ ทั้งนี้ ดอกผลที่เกิดจากการนำเงินทุนหมุนเวียนไปดำเนินการเพื่อหาผลประโยชน์ให้เป็นรายรับของทุนหมุนเวียน
3. กำหนดให้ทุนหมุนเวียนทำความตกลงกับสถาบันการเงินที่รับฝากเงินเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาฝากให้สถาบันการเงินโอนเงินตามจำนวนที่ทุนหมุนเวียนนำไปหาผลประโยชน์กลับมาฝากไว้กับกระทรวงการคลังทันที อย่างช้าไม่เกินวันทำการถัดไป
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบเอกสารตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และวิธีการขอหลักฐานการแจ้งออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อกลับเข้ามาอีก และการขอกลับเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามเดิม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบเอกสารตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และวิธีการขอหลักฐานการแจ้งออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อกลับเข้ามาอีก และการขอกลับเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามเดิม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมแบบรายการบุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (ตม. 6) เพื่อเพิ่มภาษาจีนและภาษาอินเดียลงในแบบ ตม. 6 และกำหนดให้แบบ ตม. 6 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังคงใช้ได้ต่อไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562
เศรษฐกิจ - สังคม
5. เรื่อง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ขอเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ท้องที่จังหวัดสระบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์ในเขต ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 (ท้องที่ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก และตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี) เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ จำนวน 15 แปลง ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ [พื้นที่ประทานบัตร 15 แปลง รวมเนื้อที่ 3,311 ไร่ 2 งาน 67 ตารางวา โดยอยู่ในเขตกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ชั้นที่ 1 เอ รวมเนื้อที่ 3,223 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวา)] เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 และวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เสนอขอผ่อนผันให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 จำนวน 15 แปลง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ในท้องที่ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก และตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี รวมเนื้อที่ 3,223 ไร่ 2 งาน 25 ตารางวา (พื้นที่ประทานบัตร 15 แปลง มีเนื้อที่รวม 3,311 ไร่ 2 งาน 67 ตารางวา) เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เนื่องจากหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติสิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่อายุประทานบัตรเหมืองแร่ยังคงเหลืออยู่ถึงวันที่ 27 เมษายน 2579 ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 และวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ที่กำหนดให้เสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้พิจารณาข้อมูลแหล่งแร่ในพื้นที่ดังกล่าวแล้วพบว่า บริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพและปริมาณสำรองที่สามารถทำเหมืองได้ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า ในช่วงการอนุญาตที่ผ่านมาผู้รับอนุญาตได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการอนุญาตถูกต้องครบถ้วนและได้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ (Post Evaluation) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว (และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติให้บริษัทฯ เฝ้าระวังด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน และคนงาน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่อย่างเคร่งครัดด้วย) ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเห็นให้บริษัทฯ ได้รับการพิจารณาผ่อนผันให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เป็นการเฉพาะรายต่อไปได้จนสิ้นอายุประทานบัตร (วันที่ 27 เมษายน 2579)
6. เรื่อง การจัดตั้งศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Centre)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ การจัดตั้งศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความสัมพันธ์อันดีด้านแรงงานระหว่างไทย - เมียนมา และประโยชน์ที่เกิดขึ้นร่วมกัน ตลอดจนผลประโยชน์โดยรวมของนายจ้าง สถานประกอบการ แรงงานต่างด้าว รวมทั้งเป็นการเพิ่มผลสัมฤทธิ์การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล
สาระสำคัญของเรื่อง
รง. รายงานว่า
1. ในระหว่างการเยือนเมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 ฝ่ายเมียนมาได้แจ้งความประสงค์เรื่องการย้ายศูนย์ออกหนังสือเดินทางไปยังจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งต่อมาฝ่ายเมียนมาได้มีหนังสือเพื่อร้องขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้กับนายจ้าง/สถานประกอบการ เนื่องจากทางการเมียนมาสามารถจัดเก็บข้อมูลของแรงงานเมียนมาที่ประสงค์จะขอมีหนังสือเดินทางได้ในเบื้องต้นก่อนที่หน่วยงานที่อำนาจหน้าที่จะพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่แรงงานโดยที่แรงงานยังไม่ต้องเดินทางกลับไปประเทศต้นทาง นอกจากนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนให้แก่แรงงานเมียนมา ซึ่งรายละเอียดการจัดตั้งศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
สถานที่ตั้งศูนย์ |
ตำบลท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (บริเวณตลาดทะเลไทย) |
กลุ่มเป้าหมาย |
เป็นการดำเนินการเฉพาะกลุ่มแรงงานเมียนมาเท่านั้น ไม่รวมคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่อยู่ในประเทศไทยด้วยวัตถุประสงค์อื่นๆ ให้บริการแรงงานใน 2 กลุ่ม คือ 1. แรงงานเมียนมาที่ต้องการเปลี่ยนเอกสารประจำตัวเป็นหนังสือเดินทาง[แรงงานที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติหรือจัดทำทะเบียนประวัติในประเทศไทยที่ถือหนังสือเดินทาง (PP) หนังสือเดินทางชั่วคราว (TP) หรือเอกสารรับรองบุคคล (CI)] โดยทางการเมียนมาใช้คำว่า กลุ่มคน Function A 2. แรงงานเมียนมาที่เข้ามาทำงานตาม MOU ที่วาระการจ้างงานใกล้ครบกำหนด 4 ปีที่ต้องการจัดทำเป็นหนังสือเดินทางฉบับใหม่ และมีความประสงค์จะกลับเข้ามาทำงานตาม MOU เมื่อวาระการจ้างงานครบ 4 ปี แล้ว โดยทางการ เมียนมาใช้คำว่า กลุ่มคน Function B |
เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน |
ปฏิบัติงานโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน 13 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ 1 คน จากกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ 12 คน จากกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมือง และประชากร เจ้าหน้าที่ของ รง. (กรมการจัดหางาน) เป็นผู้ประสานงาน |
ระยะเวลาดำเนินการ |
เปิดดำเนินการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 ปี เปิดทำการวันจันทร์ – วันเสาร์ (เว้นวันอาทิตย์และวันหยุดราชการไทย) |
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและสถานที่รับหนังสือเดินทาง |
ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ยกเว้นเมื่อไปรับหนังสือเดินทาง ณ จุดที่กำหนดต้องเสียค่าใช้จ่าย จำนวน 1,050 บาท โดยสามารถชำระค่าธรรมเนียมผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส การพิจารณาออกหนังสือเดินทางจะดำเนินการโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบของทางการเมียนมา ซึ่งไม่ใช่ศูนย์ฯ และเมื่อผ่านการพิจารณาแล้ว แรงงานเมียนมาสามารถไปรับหนังสือเดินทางได้ที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพ เมียนมาประจำประเทศไทย หรือศูนย์ออกหนังสือเดินทาง (1) บริเวณชายแดนฝั่งท่าขี้เหล็ก (ตรงข้ามอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย) (2) ฝั่งเมียวดี (ตรงข้ามอำเภอ แม่สอด จังหวัดตาก) และ (3) ฝั่งเกาะสอง (ตรงข้ามอำเภอเมือง จังหวัดระนอง) |
ประเด็นอื่น ๆ |
ไม่มีการขอเอกสารสิทธิ์คุ้มครองทางการทูต |
2. รง. พิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดตั้งศูนย์เพื่อเก็บข้อมูลฯ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนายจ้าง/สถานประกอบการ และภาพลักษณ์ของประเทศเนื่องจาก
2.1 วาระการจ้างงานสำหรับแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยตาม MOU จะครบกำหนด 4 ปี ในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งมีจำนวนประมาณ 140,256 คน (ตัวเลขประมาณการจากการจากการออกใบอนุญาตทำงานที่ออกให้กับแรงงานเมียนมาเมื่อปี พ.ศ. 2558) โดยหากแรงงานกลุ่มนี้ประสงค์จะทำงานในประเทศไทย จะต้องเดินทางกลับประเทศและเว้นระยะเวลา 30 วันจึงจะสามารถกลับเข้ามาทำงานตาม MOU ได้ใหม่ ซึ่งในระหว่างการเว้นระยะเวลาดังกล่าว จะเป็นช่วงเวลาที่ทางการเมียนมาจะต้องจัดเตรียมเอกสารและตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของแรงงาน เพื่อนำไปใช้สำหรับการพิจารณาตรวจสอบการออกหนังสือเดินทาง ดังนั้น การจัดตั้งศูนย์เพื่อจัดเก็บข้อมูล ฯ จะเป็นการอำนวยความสะดวกและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ และจะส่งผลให้นายจ้างสามารถจ้างงานแรงงานต่างด้าวโดยถูกต้องตามกฎหมายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการบริหารราชการของรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว
2.2 แรงงานต่างด้าวได้รับการคุ้มครองและมีสิทธิประโยชน์ สวัสดิการการคุ้มครองตามสิทธิที่พึงได้รับ
2.3 ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีความเข้มแข็งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และความเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับประเทศ ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีด้านแรงงานของประเทศไทยในระดับสากล
2.4 ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีด้านแรงงานระหว่างไทย – เมียนมา
3. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2561 [รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน] ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดตั้งศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร และมอบหมายให้ รง. นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
7. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช ในกรอบวงเงิน 6,645.03 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7) ประกอบด้วย ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดการประกวดราคา จำนวน 10.00 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน 177.73 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) จำนวน 40.24 ล้านบาท ค่างานโยธาและระบบราง จำนวน 2,706.56 ล้านบาท งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวน 1,997.33 ล้านบาท และงานจัดหาตู้รถไฟฟ้า จำนวน 1,713.17 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟเส้นทางดังกล่าว ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 มาตรา 39 (4) เพื่อเป็นค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) ค่างานโยธาและระบบราง งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล งานจัดหาตู้รถไฟฟ้าและค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายในกรอบวงเงิน 6,635.03 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ในประเทศที่เหมาะสม วิธีการให้กู้ต่อและค้ำประกันเงินกู้ หรือให้กู้ตามแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงิน และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นงบชำระหนี้รายปีเฉพาะในส่วนค่าโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลรับภาระ ได้แก่ ค่างานโยธาและระบบราง ค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 2,924.53 ล้านบาท ส่วนค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล และงานจัดหาตู้รถไฟฟ้า จำนวน 3,710.50 ล้านบาท เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับภาระ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายของโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ – พญาไท - มักกะสัน – หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ – หัวลำโพง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 สำหรับในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาจัดการประกวดราคา จำนวน 10 ล้านบาท ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการดังกล่าวยังมิได้รับการบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ดังนั้น จึงเห็นสมควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามนัยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2549 ระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2561 และการดำเนินการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ. ศ. 2558 - 2565 และได้รับการบรรจุอยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2560 (Action Plan) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 และ 13 ธันวาคม 2559 เห็นชอบและรับทราบแผนดังกล่าวตามลำดับแล้ว โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนต่อขยายของรถไฟชานเมืองสายสีแดงทางฝั่งทิศตะวันตกของกรุงเทพมหานครที่จะเชื่อมต่อการเดินทางจากสถานีตลิ่งชันไปยังบริเวณโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเส้นทางรถไฟของช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช จะเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ – ท่าพระที่สถานีจรัญสนิทวงศ์ และเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ที่สถานีศิริราช ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเดินทางเข้าออกพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นในได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
2. กระทรวงคมนาคมแจ้งว่าโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อนช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช กรอบวงเงิน 6,645.03 ล้านบาท เป็นการก่อสร้างทางรถไฟใหม่ 2 ทางเลียบไปตามแนวเขตทางรถไฟเดิมของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระยะทาง 4.3 กิโลเมตร โดยจะเป็นรางขนาด 1 เมตร เดินรถด้วยระบบไฟฟ้าที่จ่ายเหนือหัว (OCS) แรงดันไฟฟ้า AC 25 กิโลโวลต์ รถไฟมีความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เดินรถในช่วงตลิ่งชัน - ศิริราชที่ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง) มีระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ประกอบด้วย ระบบอาณัติสัญญาณและควบคุมรถไฟ ระบบสื่อสาร ระบบเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ ระบบไฟฟ้ากำลัง โดยมีการจัดซื้อรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการ จำนวน 4 ขบวน (16 ตู้) ซึ่งแตกต่างกับโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงอื่น ๆ ที่จะมีการจัดซื้อรถไฟฟ้ารวม 220 คัน เพื่อให้บริการเดินรถในลักษณะต่อเนื่อง (Through Operation) นอกจากนี้ จะมีการสร้างสถานีใหม่รวม 3 สถานี ได้แก่ สถานีตลาดน้ำตลิ่งชัน สถานีจรัญสนิทวงศ์ และสถานีธนบุรี - ศิริราช ทั้งนี้ แม้ว่าตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมจะกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปี แต่กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าจะสามารถเปิดให้บริการในปี 2565
8. เรื่อง (ร่าง) แนวทางดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียมวงโคจรประจำที่ (Geostationary – Satellite Orbit: GSO) ตามมาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และ (ร่าง) นโยบายการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบ (ร่าง) แนวทางดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียมวงโคจรประจำที่ (Geostationary – Satellite Orbit: GSO) ตามมาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
2. เห็นชอบ (ร่าง) นโยบายการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศ
สาระสำคัญของเรื่อง
ดศ. รายงานว่า
1. (ร่าง) แนวทางดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียมวงโคจรประจำที่ (Geostationary – Satellite Orbit: GSO) ตามมาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 ความหมายของคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมประจำที่ (Geostationary – Satellite Orbit: GSO) คลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม GSO หมายถึง ข่ายงานดาวเทียมที่ประเทศไทยมีสิทธิใช้งานโดยสมบูรณ์และได้รับการยอมรับระหว่างประเทศซึ่งเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นเมื่อข่ายงานดาวเทียมได้รับการจดทะเบียน (Notification) ไว้ในทะเบียนผู้ใช้คลื่นความถี่หลักระหว่างประเทศ (MIFR) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) แล้ว
1.2 การรักษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม GSO การรักษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม GSO หมายถึง การรักษาสิทธิของข่ายงานดาวเทียมที่ได้รับการจดทะเบียน (Notification) และผ่านการแจ้งนำดาวเทียมขึ้นใช้งาน (Bring into use) กับ ITU รวมทั้งมีการใช้งานข่ายงานดาวเทียมนั้นจริงอย่างต่อเนื่อง
1.3 วิธีการรักษาไว้ซึ่งสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม GSO เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน
1.3.1 เสนอนโยบายการอนุญาตให้ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิข่ายงานดาวเทียมในนามประเทศไทย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการดาวเทียมของไทย โดยให้สิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงุทนและจะต้องกำหนดค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ โดยกำหนดเป็น 2 แนวทาง ดังนี้
1) สำหรับข่ายงานดาวเทียมที่มีอยู่เดิมทั้งหมด 21 ข่ายงาน ให้นำข่ายงานดาวเทียมที่ไม่มีการใช้งานตามสัญญาสัมปทานหรือการอนุญาตอื่นใดมาจัดชุด (package) ซึ่งอาจประกอบด้วยมากกว่าหนึ่งข่ายงานดาวเทียมตามความเหมาะสมและความเป็นไปได้ทั้งในทางเทคนิคและทางธุรกิจ) และคัดเลือกผู้ประกอบการไทยตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ราชการกำหนด มารับใบอนุญาตเพื่อใช้สิทธิข่ายงานดาวเทียมตามนโยบายข้างต้น
2) สำหรับข่ายงานดาวเทียมใหม่ หากมีผู้ประสงค์จะขอใช้สิทธิ สามารถทำได้โดยแจ้งความประสงค์ต่อ ดส. และเข้าสู่กระบวนการอนุญาตให้ใช้สิทธิต่อไป โดยนำหลักการมาก่อนได้ก่อน (first come, first served) มาใช้ประกอบการพิจารณาอนุญาต
ทั้งนี้ กรณีดาวเทียมสื่อสารต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมด้วย
1.4 ให้มีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตให้ผู้ประกอบการดาวเทียมสื่อสารใช้สิทธิข่ายงานดาวเทียมในนามประเทศไทย รวมทั้งค่าธรรมเนียมการอนุญาตดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขในการให้สิทธิอย่างน้อย ดังนี้
1.4.1 ส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาดาวเทียมโดยคนไทยและเทคโนโลยีของคนไทยเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการและเสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป
1.4.2 ผู้ประกอบการดาวเทียม ผู้ใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมอุปกรณ์และสถานีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการใช้วงโคจรดาวเทียมของไทย จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและการกำกับดูแลของไทยทุกประการ (Exclusive Jurisdiction) และต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้านความมั่นคงของประเทศ ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (data privacy protection) รวมถึงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (cyber security) หรือกฎระเบียบอื่นใดที่เหมาะสมและจำเป็นด้วย
1.4.3 สถานีควบคุมดาวเทียม หรือ Telemetry, Tracking, Command and Monitoring (TTC&M) ต้องตั้งในประทศไทย และต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและการควบคุมโดยรัฐบาลไทย
1.4.4 นำส่งแผนการขอใช้ข่ายงานดาวเทียมและแผนการดำเนินการที่แสดงให้เห็นถึงกำหนดการสั่งสร้างดาวเทียม การนำดาวเทียมขึ้นวงโคจร และการเริ่มให้บริการรวมถึงลักษณะทางเทคนิคของดาวเทียมที่จะสร้าง และรายงานผลการดำเนินงานทั้งด้านเทคนิคและธุรกิจ ตามรูปแบบและวิธีการที่กำหนด
1.4.5 วางหลักประกันการปฏิบัติตามข้อตกลง (performance bond) ต่อข่ายงานดาวเทียม
1.4.6 จ่ายค่าธรรมเนียมการอนุญาตให้ใช้สิทธิข่ายงานดาวเทียม ในนามประเทศไทย โดยเก็บในอัตราที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้จะได้มีการกำหนดบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อรองรับต่อไป
1.4.7 รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินการ เช่น ค่า cost – recovery fee ค่าดำเนินการ และค่า Admin Fee
1.4.8 ต้องจัดให้มีช่องสัญญาณสำหรับการให้บริการสาธารณประโยชน์ของรัฐ (State use and public services)
1.4.9 ผู้รับใบอนุญาตจะต้องรับผิดชอบแทนภาครัฐ (State Object) ในกรณีที่ก่อให้เกิดความเสียหายตาม UN Treaties
1.4.10 ผู้รับใบอนุญาตมีหน้าที่ต้องต้องประสานงานการใช้คลื่นความถี่ตามขั้นตอนและกระบวนการของ ITU กับผู้ให้บริการต่างประเทศ และประสานงานการใช้คลื่นความถี่กับผู้รับใบอนุญาตดาวเทียมในประเทศรายอื่นที่มีการให้บริการอยู่ก่อน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนการใช้คลื่นความถี่ อย่างไรก็ตาม หากเป็นการใช้คลื่นความถี่ตรงกับ planned band ผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้สิทธิแก่ผู้ใช้สิทธิตรงตาม planned band ก่อน
1.4.11 จัดทำประกันภัย All risks
ทั้งนี้ ในระหว่างที่ยังไม่ประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การให้สิทธิเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในฐานะรัฐ ดังนั้น ให้ ดศ. เป็นหน่วยงานที่เสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปจนกว่าร่างพระราชบัญญัติฯ จะมีผลใช้บังคับ และเมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ให้ กสทช. ดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
2. (ร่าง) นโยบายการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศ มีสาระสำคัญดังนี้
2.1 นิยาม ดาวเทียมต่างชาติ คือ ดาวเทียมประเภทวงโคจรประจำที่ (Geostationary – Satellite Orbit: GSO) และวงโคจรไม่ประจำที่ (Non - Geostationary – Satellite Orbit: NGSO) ที่ใช้สิทธิข่ายงานดาวเทียมของประเทศอื่น
2.2 ขอบเขตของนโยบาย นโยบายนี้ใช้กับดาวเทียมสื่อสารที่อย่างน้อยต้องรับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมตามกฎหมายไทย
หัวข้อ |
รายละเอียด |
นโยบายการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศเชิงพาณิชย์ |
1. เงื่อนไขการเข้าสู่ตลาด (Market Access) 1.1 นโยบายเปิดตลาดในระดับรัฐ (State Level) ให้ผู้ประกอบการดาวเทียมสื่อสาร (GSO และ Non – GSO) ของรัฐที่มีนโยบายเปิดน่านฟ้าให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดของรัฐนั้นโดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติกำหนดขึ้น และเสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป 1.2 ให้ผู้ประกอบการ (Firm Level) ของรัฐที่มีนโยบายเปิดน่านฟ้าตามข้อ 1.1 ที่ประสงค์จะประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสารโดยใช้ดาวเทียมต่างชาติต้องขออนุญาตและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงาน กสทช. ประกาศกำหนด 1.3 ข้อจำกัดการเข้าสู่ตลาดของดาวเทียมต่างชาติ ประเทศไทยอาจตั้งเงื่อนไขการเข้าสู่ตลาดของดาวเทียมต่างชาติได้ด้วยเหตุผลความจำเป็นทางเศรษฐกิจ (Economic Need Test) สังคม และความมั่นคง 1.4 ผู้ประกอบการดาวเทียมตามข้อ 1.2 จะต้องจัดตั้งนิติบุคคลและมีสถานประกอบการในประเทศไทย (Local Presence) (mode3: commercial presence ภายใต้ความตกลง GATS) โดยจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ 1.4.1 กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ต้องมีหุ้นของคนไทยตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 และต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ห้ามการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว (Nominee) อาทิ ประกาศ กสทช. เรื่อง กำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว พ.ศ. 2555 1.4.2 กิจการโทรคมนาคมต้องมีหุ้นของคนไทย ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 (แก้ไข พ.ศ. 2549) และต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ห้ามการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว (Nominee) เช่น ประกาศ กสทช. เรื่อง กำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว พ.ศ. 2555 2. เงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติหลังจากเข้าสู่ตลาดแล้ว 2.1 ดาวเทียมต่างชาติและผู้ประกอบการที่ใช้สิทธิการเข้าตลาดต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้อง 2.2 จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและการกำกับดูแลของไทยทุกประการ (Exclusive Jurisdiction) และต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้านความมั่นคงของประเทศ ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (data privacy protection) รวมถึงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (cyber security) หรือกฎระเบียบอื่นใด ด้านความมั่นคงของประเทศโดยไม่ขัดกับกฎหมายที่มีอยู่เดิม หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่จะตราขึ้นในอนาคต 2.3 การกำกับดูแลเรื่องสื่อและเนื้อหา 2.3.1 ประเทศไทยมีสิทธิกำกับดูแลเรื่องสื่อและเนื้อหา (Reversed Rule of Origin) 2.3.2 ผู้รับใบอนุญาตต้องระงับการเผยแพร่เนื้อหาเมื่อได้รับแจ้งว่าเนื้อหาขัดกับกฎหมาย (Notice and Take down) 2.3.3 ดาวเทียมต่างชาติต้องเคารพและปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องในการกำหนดความรับผิดของตัวกลาง (Intermediary Liability) 2.4 จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการให้สิทธิดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศไทย (Landing Rights Fee) ในอัตราที่ไม่ด้อยไปกว่าค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิข่ายงานดาวเทียมในนามประเทศไทย รวมถึงค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามกฎหมาย ทั้งนี้ จะได้มีการกำหนดบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อรองรับต่อไป |
นโยบายอนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทใดประเภทหนึ่งใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติเป็นการชั่วคราว (ad hoc) |
ต้องเป็นการดำเนินการตามภารกิจข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ 1. ภารกิจของพระราชวงศ์ 2. ภารกิจเกี่ยวกับภัยภิบัติแห่งชาติ 3. ภารกิจเกี่ยวกับความมั่นคงทางทหาร 4. ภารกิจเกี่ยวกับสาธารณสุขและการศึกษา 5. ภารกิจถ่ายทอดกิจกรรมสำคัญของชาติหรือระหว่างประเทศ 6. ภารกิจเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 7. ภารกิจซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนกับรัฐบาล 8. ภารกิจซึ่งเป็นการให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสาธารณะ และสังคมที่สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัลจะต้องกำหนดเงื่อนไขที่แน่นอนอย่างน้อย ได้แก่ ระยะเวลา เริ่มต้นและสิ้นสุด พื้นที่การบริการ และบริการหรือเนื้อหาที่ใช้ช่องสัญญาณนั้น รวมถึงเสียค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง |
ระยะเวลาการใช้บังคับ |
ให้ ดศ. ทำหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมายและนโยบายนี้ ก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ เมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ต่อไป |
9. เรื่องรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร (Senior Complex บางละมุง
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร (Senior Complex บางละมุง) ภายใต้กลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงาน พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการศูนย์ที่พักอาศัยฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 – ปัจจุบัน (เดือนกุมภาพันธ์ 2562) ภายใต้กลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ดังนี้
ปีงบประมาณ |
การดำเนินงานโครงการ |
พ.ศ. 2559 |
1. แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ 2. ศึกษาดูงานบ้านพักผู้สูงอายุของภาคเอกชนต่าง ๆ 3. ทบทวนกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4. เสนอขอใช้ที่ดินราชพัสดุต่อกรมธนารักษ์ โดยกรมธนารักษ์ (ธร.) ให้ส่งรายละเอียดการดำเนินโครงการและแผนแม่บท (Master Plan) เพิ่มเติม |
พ.ศ. 2560 |
1. แต่งตั้งคณะทำงาน 4 คณะ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ 1) คณะทำงานขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ 2) คณะทำงานบริหารโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร 3) คณะทำงานบริหารงบประมาณการก่อสร้างโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร และ 4) คณะทำงานด้านการตลาดและการขาย 2. กำหนดรูปแบบโครงการ ประกอบด้วย คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ สิทธิในการเข้าพักอาศัย องค์ประกอบโครงการ และกิจกรรม/บริการในโครงการ 3. จัดทำแผนแม่บทเพื่อประกอบการขอใช้ที่ดินราชพัสดุ 4. เสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฯ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ต่อกรมโยธาธิการและผังเมือง 5. จัดทำบันทึกข้อตกลง (MoU) ระหว่าง ผส. กับ ธร. 6. มีแผนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้มาตรา 44 ในประเด็นยกเว้นประเภทสีของที่ดิน และยกเว้นการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และใช้รูปแบบการดำเนินโครงการ ออกแบบ – ก่อสร้าง – ส่งมอบเมื่อสร้างแล้วเสร็จ (Design – Build – Transfer) 7. ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study: FS) โดยการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชน แต่ผลการศึกษาด้านการตลาดยังไม่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และไม่ได้เปรียบเทียบรูปแบบการดำเนินโครงการในรูปแบบอื่น ๆ เช่น รัฐดำเนินการ เอกชนดำเนินการ และเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) |
พ.ศ. 2561 |
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 กรกฎาคม 2561) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชุลบุรี (ฉบับที่ ..) 2. หารือสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการในรูปแบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) 3. หารือภาคเอกชนเพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมีบริษัท เก่ง ภิญ เนอสซิ่งแคร์ จำกัด สนใจร่วมดำเนินโครงการ 4. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561 ธร. มีหนังสืออนุญาตให้ สผ. ใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชบ.219 (บางส่วน) ตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 48 – 1 – 42 ไร่ เพื่อดำเนินโครงการฯ 5. ผส. ดำเนินการขอความเห็นชอบเปลี่ยนแปลงงบประมาณ จำนวน 5,600,000 บาท เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ |
พ.ศ. 2562 |
1. เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562 ผส. ลงนามในบันทึกรับทราบแนวเขตที่ราชพัสดุและยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้ที่ราชพัสดุ 2. การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฯ โดยเพิ่มข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ (พื้นที่สีน้ำเงิน) อยู่ระหว่างดำเนินการ 3. บริษัท เอ – เซเว่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการศึกษา 5 เดือน (ตุลาคม 2561 – กุมภาพันธ์ 2562) |
2. ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข
2.1 พื้นที่ที่จะดำเนินโครงการเป็นที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ชบ.219 ตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภค (พื้นที่สีน้ำเงิน) ซึ่ง พม. ได้ดำเนินการเสนอเรื่องเพื่อขอแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2555 โดยเพิ่มข้อหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ในที่ดินบริเวณดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
2.2 งบประมาณในการดำเนินโครงการ พม. ได้จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ เพื่อวิเคราะห์โครงการในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ใช้ระยะเวลาในการศึกษา 5 เดือน (ตุลาคม 2561 – กุมภาพันธ์ 2562) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบความสนใจของนักลงทุนภาคเอกชน (Market Sounding) ร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตโครงการ และร่างสัญญาตามมาตรา 33 ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
10. เรื่อง การพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยในช่วงระยะเวลาต่อไป
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินงานและการพัฒนากลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (ชื่อเดิมโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย) ในช่วงระยะเวลาต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 มีมติอนุมัติให้โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค มีภารกิจหน้าที่ในการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 ในลักษณะของโรงเรียนประจำ โดยอนุมัติโครงการพัฒนาโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเพื่อกระจายโอกาสสำหรับนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และจัดตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการทำหน้าที่กำหนดแนวทาง ให้คำแนะนำ ส่งเสริมการดำเนินงานของโรงเรียน โดย ศธ. ได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยขึ้น 12 แห่ง กระจายอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ใช้งบประมาณจากงบกลางจำนวน 27.072 ล้านบาท (2.256 ล้านบาท/โรงเรียน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 – 2561 ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย” ตามด้วยชื่อจังหวัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 พระราชทานชื่อโรงเรียนใหม่ว่า “โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย”
2. โครงการพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 (ตามข้อ 1.) ได้สิ้นสุดลงแล้ว ศธ. ได้รายงานผลการดำเนินโครงการของกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยในช่วง พ.ศ. 2554 – 2561 พบว่า ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการเตรียมความพร้อมกำลังคนระดับสูงทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบาย Thailand 4.0 รวมถึงเป็นการเตรียมกำลังคนระดับสูงทางด้าน STEM เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้ลงทุนจากประเทศต่าง ๆ ที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม 4.0 ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และโครงการอื่น ๆ ของประเทศ โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
2.1 ผลงานวิจัยของนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกไปนำเสนอในเวทีนานาชาติและได้รับรางวัลในปี 2560 เช่น รางวัล Grand Award จากเวที International Science and Engineering Fair, USA จำนวน 1 รางวัล (จากผู้เข้าแข่งขัน 132 ประเทศ) รางวัลชนะเลิศ จำนวน 28 รางวัล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 10 รางวัล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 11 รางวัล ซึ่งได้จากเวทีนานาชาติ เช่น Seoul International Invention Fair (South Korea), International Exhibition for Young Inventors (Japan) และ Hong Kong International Invention Innovation and Entrepreneurship Exhibition (Hong Kong) เป็นต้น
2.2 นักเรียนที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศจากหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2558 – 2560 ได้แก่
หน่วย : คน
ชื่อทุน/มหาวิทยาลัยชั้นนำของนานาชาติ |
จำนวนผู้ได้รับทุน |
รวม |
||
2558 |
2559 |
2560 |
||
1. ทุน 1 อำเภอ 1 ทุน |
4 |
หมดโครงการฯ |
4 |
|
2. ทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ทุน พสวท.) |
1 |
- |
- |
1 |
3. ทุนรัฐบาล (ทุน ก.พ.) |
- |
3 |
4 |
7 |
4. ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
1 |
1 |
2 |
4 |
5. ทุนรัฐบาลจีน |
- |
1 |
- |
1 |
6. ทุน Belt & Road (Thailand) |
- |
1 |
3 |
4 |
7. ทุน City University of Hong Kong |
- |
1 |
3 |
4 |
8. ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อประเทศจีน |
- |
- |
1 |
1 |
9. ทุน Chongqing Municipal Government Mayor Scholarship |
- |
1 |
- |
1 |
10. ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (ทุน Monbukagakusho : MEXT) |
1 |
3 |
2 |
6 |
11. ทุนมหาวิทยาลัย Tokyo International University |
- |
- |
1 |
1 |
รวมทั้งสิ้น |
7 |
11 |
16 |
34 |
2.3 ร้อยละ (เปอร์เซ็นไทล์) ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O – NET) ปีการศึกษา 2558 – 2560 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้แก่
วิชา |
กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย |
โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งหมด |
||||||
2558 |
2559 |
2560 |
2558 |
2559 |
2560 |
|||
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 |
||||||||
คณิตศาสตร์ |
99.61 |
99.82 |
99.89 |
50.05 |
51.38 |
51.39 |
||
วิทยาศาสตร์ |
99.02 |
99.26 |
99.24 |
50.75 |
50.56 |
50.61 |
||
มัธยมศึกษาปีที่ 6 |
||||||||
คณิตศาสตร์ |
95.95 |
95.76 |
97.74 |
50.16 |
51.96 |
52.07 |
||
วิทยาศาสตร์ |
93.05 |
93.25 |
96.02 |
50.71 |
50.05 |
50.25 |
||
2.4 ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินงาน
2.4.1 ข้อจำกัดด้านบุคลากรและความคล่องตัวในการดำเนินงาน ซึ่งโรงเรียนฯ มีวัตถุประสงค์พิเศษต่างจากโรงเรียนทั่วไป มีจังหวัดพื้นที่บริการครอบคลุมหลายจังหวัด แต่ยังต้องสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ซึ่งทำให้ต้องใช้กฎระเบียบเดียวกันกับโรงเรียนทั่วไปในการสรรหา แต่งตั้ง โยกย้าย และการพัฒนาบุคลากร ตลอดจนการบริหารงานด้านอื่น ๆ ทำให้การบริหารงานโรงเรียนฯ ขาดความคล่องตัวและไม่เป็นเอกภาพ
2.4.2 การจัดตั้งหน่วยงานเทียบเท่าสำนักในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานโรงเรียนฯ และการขับเคลื่อนงานด้านวิทยาศาสตร์ศึกษาเป็นการเฉพาะ จะทำให้การบริหารงานมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น จะช่วยให้ สพฐ. สามารถรวบรวมประสบการณ์ของโรงเรียนฯ ที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนวิชาทางด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปขยายผลในโรงเรียนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศ ทำให้คุณภาพการศึกษาของโรงเรียนต่าง ๆ สูงขึ้น เนื่องจากโรงเรียนฯ กระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและมีพื้นที่จังหวัดบริการครอบคลุมทุกจังหวัด
3. การดำเนินงานในช่วงระยะเวลาต่อไป
3.1 การดำเนินงาน : ให้การดำเนินงานของโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เป็นสถานศึกษาที่มีการบริหารและการจัดการในสังกัดสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. มีศูนย์พัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์เป็นหน่วยประสานงานภายใน ซึ่งต่อไปจะจัดตั้งหน่วยงานในสังกัด สพฐ. เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของโรงเรียนฯ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป และให้มีคณะกรรมการพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ประกอบด้วย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการสองคน กรรมการจากหน่วยงานต่าง ๆ สิบห้าคน (เช่น ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นต้น) และผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์ สพฐ. เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยคณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ เช่น กำหนดนโยบายในภาพรวม กรอบและทิศทางการพัฒนาโรงเรียนเพื่อให้การดำเนินงานของแต่ละโรงเรียนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กำหนดแนวทางให้คำแนะนำ ส่งเสริม กำกับ ติดตาม ดูแลและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของโรงเรียน และจัดทำรายงานเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้ข้อคิดเห็นทุกปีการศึกษา เป็นต้น
3.2 งบประมาณ : ขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามปกติของ ศธ.
3.3 วัตถุประสงค์และเป้าหมาย : ยังคงยึดวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดิมที่จะเพิ่มโอกาสให้กับผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีการกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเน้นการให้โอกาสกับผู้มีความสามารถพิเศษที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในภูมิภาคนั้น ๆ เพื่อเป็นฐานในการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มีปริมาณและคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของประเทศที่สามารถทำการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างความรู้และนวัตกรรมได้ รวมทั้งเพื่อเป็นต้นแบบและกระตุ้นการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะนำประสบการณ์และผลการประเมินการดำเนินงานที่ผ่านมาใช้พัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นต่อไป
3.4 การจัดการศึกษา : ปัจจุบันโรงเรียนฯ มีอาคารสถานที่ประกอบด้วย อาคารเรียน หอพัก อาคารประกอบ ห้องปฏิบัติการ ห้องสมุด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถจัดการศึกษาในลักษณะโรงเรียนประจำได้อย่างเหมาะสมให้กับนักเรียนโรงเรียนละ 720 คน ในการดำเนินการในช่วงระยะเวลาต่อไป ก็จะยังคงจัดการศึกษาแบบโรงเรียนประจำ และยังคงให้จำกัดจำนวนนักเรียนไว้เท่าเดิม ซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับขนาดห้องเรียนคุณภาพ และขนาดโรงเรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นคุณภาพเช่นเดียวกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ โดยมีแผนการชั้นเรียนของแต่ละโรงเรียน ดังนี้
รายการ |
ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น |
ชั้มมัธยมศึกษาตอนปลาย |
รวม |
||||
ม.1 |
ม.2 |
ม.3 |
ม.4 |
ม.5 |
ม.6 |
||
จำนวนห้องเรียน (ห้อง) |
4 |
4 |
4 |
6 |
6 |
6 |
30 |
จำนวนนักเรียนต่อห้อง (คน) |
24 |
24 |
24 |
24 |
24 |
24 |
144 |
จำนวนนักเรียนทั้งหมด (คน/โรงเรียน) |
96 |
96 |
96 |
144 |
144 |
144 |
720 |
จำนวนรวมทั้ง 12 โรงเรียน |
1,152 |
1,152 |
1,152 |
1,728 |
1,728 |
1,728 |
8,640 |
ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนแก้ไขแผนชั้นเรียนและจำนวนนักเรียนต่อห้องในอนาคตสามารถทำได้โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย และ สพฐ.
3.5 กรอบอัตรากำลังผู้บริหารและครูผู้สอน
หน่วย : คน
ตำแหน่ง |
ตามมติคณะรัฐมนตรี 25 พฤศจิกายน 2553 |
ระยะต่อไป |
+เพิ่ม / - ลด |
กลุ่มผู้บริหาร |
5 |
5 |
|
กลุ่มครูผู้สอน |
60 |
72* |
|
กลุ่มบุคลากรทางการศึกษา (สายสนับสนุน) |
59 |
36 |
|
พนักงานราชการ (พนักงานขับรถ) |
3 |
3 |
|
งานจ้างเหมาบริการ (งานซ่อมบำรุง จัดเลี้ยง ซักรีด รักษาความปลอดภัย) |
จ้างเหมาบริการ |
|
|
รวมทั้งสิ้น |
127 |
116 |
-11 |
หมายเหตุ : การคำนวณกรอบอัตรากำลังของครู ในครั้งนี้ ใช้ระเบียบ หลักเกณฑ์ การเลื่อนและให้มีวิทยฐานะของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามหนังสือ ศธ. ที่ ศธ 0206.3/ว. 21 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ที่กำหนดให้ครูต้องมีชั่วโมงการสอนในห้องเรียนไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง จึงจะถือว่าเป็นการปฏิบัติงานเต็มลา ซึ่งจะทำให้มีเวลาอีก 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการใช้สำหรับการเตรียมการสอน การตรวจงาน การให้คำปรึกษา การเป็นที่ปรึกษาโครงงาน นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์และงานวิจัยของนักเรียน การจัดกิจกรรมเสริมทั้งในและนอกห้องเรียนตามหลักสูตร การวิจัย การศึกษาค้นคว้าหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ การพัฒนาตนเองตลอดจนการให้บริการกับสังคมทั่วไป โรงเรียนและหน่วยงานภายนอก ประกอบกับโรงเรียนฯ มีการปรับหลักสูตรที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งทำให้มีความจำเป็นต้องมีครูทั้งสิ้น 72 คนต่อโรงเรียน แทนที่จะเป็น 60 คนต่อโรงเรียน ตามเกณฑ์การคำนวณที่เคยใช้ในครั้งที่ผ่านมา
11. เรื่อง โครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ เรื่อง โครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญของโครงการสรุปได้ ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ โครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษาเป็นการพัฒนาโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนเพื่อเป็นต้นแบบโรงเรียนที่มีคุณภาพ มีความพร้อมให้บริการการศึกษาทั้งด้านคุณธรรม จริยธรรม งานอาชีพ และสุขภาพอนามัย รวมทั้งสร้างโอกาสให้กับนักเรียนในพื้นที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายโรงเรียนมัธยมศึกษาในประเทศไทย อำเภอละ 1 – 2 โรงเรียน เข้ารับการพัฒนาเป็นโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา
2. การดำเนินการที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา รวมทั้งได้กำหนดหลักเกณฑ์และพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา
3. แนวทางการดำเนินโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา แบ่งออกเป็น 3 ระยะ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2565) ดังนี้
3.1 ระยะที่ 1 ตรวจสอบและเปิดรับ เพื่อพิจารณาสภาพปัจจุบันของโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกเป็นโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา อย่างรอบด้านจากผลการประเมินตนเองของโรงเรียน (Self-Assessment Report: SAR) และเชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษา การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิดตามกรอบโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ ให้กับผู้บริหาร ครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา และการสร้างเครือข่าย การพัฒนาโรงเรียน โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานในท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ ผ่านความร่วมมือกับศึกษาธิการจังหวัด
3.2 ระยะที่ 2 เสริมความรู้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสนับสนุนองค์ความรู้ที่จำเป็นและทักษะที่สำคัญที่จะเอื้อต่อการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา เช่น การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียน และชุมชน ในการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนได้รับการพัฒนาทักษะที่สำคัญและจำเป็นเพื่อต่อยอดการพัฒนาทั้งด้านกายภาพ การบริหารจัดการและการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานในท้องถิ่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ
3.3 ระยะที่ 3 พัฒนาสู่ “โรงเรียนของชุมชน” เป็นการดำเนินการสร้างทักษะการสื่อสารและความร่วมมือเพื่อสร้างความยั่งยืนของการเป็น “โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา” นอกเหนือจากการส่งเสริมและสนับสนุนทั้งด้านกายภาพและคุณภาพ เช่น การติดตามผลการดำเนินโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ การส่งเสริมสนับสนุนครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ ให้ได้รับการพัฒนาทักษะ การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งผู้เรียนเป็นสำคัญ การพัฒนาคณะกรรมการสถานศึกษาเพื่อร่วมกันพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ การถอดบทเรียนการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลฯ ที่ประสบความสำเร็จ และการสร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านแนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลระดับมัธยมศึกษา
3.4 แผนการดำเนินงานต่อไป ดำเนินการคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา ตามแนวทางการดำเนินการคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา
12. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย – จีน ครั้งที่ 24 – 26 ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2565 [คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย – จีน (กระทรวงคมนาคม)]
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย – จีน (คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการฯ) เสนอ ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย – จีน ครั้งที่ 24 – 26 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนเป็นประธานร่วม) และความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าว สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 24 – 26
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
การดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา |
(1) ทั้งสองฝ่ายรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการประกวดราคาช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กิโลเมตร ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการประกวดราคาของฝ่ายไทย (2) ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นเรื่องงานเชื่อมประสานระหว่างงานโยธาและระบบภายในสถานีดอนเมืองและสถานีบางซื่อ โดยตกลงที่จะรวมงานเชื่อมประสานไว้ในสัญญางานก่อสร้างและองค์การออกแบบรถไฟของจีนจะส่งข้อกำหนดเฉพาะที่เกี่ยวข้องให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อประสานกับผู้ออกแบบต่อไป (3) ทั้งสองฝ่ายจะพยายามอย่างสูงสุดในการปรับเกลี่ยค่าใช้จ่ายบางรายการ (หากมี) ระหว่างสัญญา 2.3 และสัญญา 1 ให้มีความถูกต้องมากยิ่งขึ้นโดยเร็วที่สุด (4) ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าจะใช้ทางวิ่งแบบไม่ใช้หินโรยทางบริเวณสถานี อุโมงค์ต่าง ๆ และเส้นทางระหว่างสถานีบางซื่อ-ดอนเมือง ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 1 โดยจะหารือความเหมาะสมของงานออกแบบรายละเอียดเกี่ยวกับทางแบบใช้หินโรยทางและไม่ใช้หินโรยทางในเส้นทางดังกล่าว รวมถึงขบวนรถ ภายหลังได้รับบัญชีปริมาณงานแล้ว (5) ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าเส้นทางช่วงที่ใช้หินโรยทางจะเปลี่ยนเป็นไม่ใช้หินโรยทาง และฝ่ายไทยรับทราบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว (6) ฝ่ายจีนได้ส่งมอบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารข้อเสนอทางเทคนิคและบัญชีปริมาณงานของสัญญา 2.3 เพื่อให้ฝ่ายไทยทบทวนข้อมูลแล้ว (7) ฝ่ายไทยยืนยันการจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 885-890/930-935 MHz รองรับระบบ GSM-R เพื่องานปฏิบัติการเดินรถไฟ (8) ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันในหลักการของสัญญา 2.3 และจะใช้ความพยายามอย่างสูงสุดเพื่อแก้ไขประเด็นคงค้างให้ได้โดยเร็ว |
การดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย |
(1) ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับประเด็นด้านเทคนิคของโครงการฯ ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย เพื่อประเมินราคางานระบบรถไฟ ฝ่ายจีนจะส่งราคาประเมินงานระบบภายใน 1 เดือน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นด้านเทคนิคแล้ว และจะพยายามอย่างสูงสุดเพื่อเริ่มการก่อสร้างภายในปี 2562 (2) ฝ่ายไทยจะรับผิดชอบการออกแบบรายละเอียดงานโยธาของโครงการระยะที่ 2 และจะพิจารณาความเหมาะสมในการที่ฝ่ายไทยจะเป็นผู้ออกแบบรายละเอียดระบบไฟฟ้าและเครื่องกล |
การเชื่อมต่อทางรถไฟช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ |
(1) ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความจำเป็นของการเชื่อมโยงทางรถไฟช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค (2) ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันในหลักการเกี่ยวกับสะพานแห่งใหม่ซึ่งจะตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสะพานมิตรภาพไทย – ลาว (หนองคาย-เวียงจันทน์) ประมาณ 30 เมตร โดยจะมีทั้งทางรถไฟขนาดทางมาตรฐานและขนาดทาง 1 เมตร (3) ฝ่ายไทยเสนอให้มีจุดตรวจสำหรับพิธีการด้านศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงาน อื่น ๆ พร้อมทั้งสถานีเปลี่ยนถ่ายตั้งอยู่บริเวณชายแดนในฝั่งไทยและลาว ฝ่ายจีนจะรับผิดชอบการจัดทำผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือนหลังจากได้รับการยืนยันประเด็นดังกล่าวข้างต้นจากฝ่ายไทยและฝ่ายลาวแล้ว (4) ฝ่ายไทยเห็นชอบที่จะหารือกับฝ่ายลาวเกี่ยวกับการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟช่วงหนอคาย-เวียงจันทน์โดยเร็วที่สุด เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับสถานีเปลี่ยนถ่าย ด่านตรวจคนเข้าเมือง และยืนยันปริมาณผู้โดยสารและสินค้าของเส้นทางรถไฟเชื่อต่อหนองคาย-เวียงจันทน์ |
การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านรถไฟความเร็วสูง |
(1) ฝ่ายไทยได้เสนอหัวข้อการฝึกอบรม 6 หัวข้อแก่ฝ่ายจีน ซึ่งเน้นเกี่ยวกับครูฝึกหรือผู้สอนในหลักสูตรฝึกอบรม และวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมในประเทศไทยและฝ่ายไทยจะมอบหมายบุคลากรเพื่อประสานงานกับฝ่ายจีนเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กร รูปแบบการเดินรถ และแผนทรัพยากรบุคคลขององค์กรบริหารรถไฟความเร็วสูงของไทย (2) ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักการว่าภายใต้สัญญา 2.3 ในส่วนของการฝึกอบรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี จะประกอบไปด้วย 4 หัวข้อหลัก คือ การฝึกอบรมการเดินรถและซ่อมบำรุง การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมในประเทศไทย ห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการทดสอบและการตรวจสอบและการถ่ายทอดเทคโนโลยี (3) ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญจีนในการให้คำปรึกษา ฝึกอบรม และพัฒนากำลังความสามารถของบุคลากร/องค์กรของไทยในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบชิ้นส่วน/ผลิตภัณฑ์ (4) ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กรและจำนวนบุคลากร ประมาณ 900 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับการฝึกอบรมในประเทศไทย (5) ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการจัดสรรกรอบวงเงินงบประมาณในการฝึกอบรมจำนวน 920 ล้านบาท (6) ทั้งสองฝ่ายมอบหมายคณะทำงานร่วมเพื่อตัดสินใจในขั้นตอนการออกใบอนุญาตขับรถไฟความเร็วสูง |
ความร่วมมือด้านการเงิน |
ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันในร่างสัญญาเงินกู้ รวมถึงข้อตกลง 11.1 ของร่างสัญญาเงินกู้ที่ได้เจรจากันในการประชุมครั้งที่ 24 และทั้งสองฝ่ายได้ปรับปรุงแผนการดำเนินงานด้านการเงินให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของสัญญา 2.3 โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือรายละเอียดและเงื่อนไขเงินกู้ที่ฝ่ายจีนได้เสนอและที่จะเจรจากันต่อไป |
2. ความคืบหน้าการดำเนินโครงการ
2.1 การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา แบ่งออกเป็น 4 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ |
ระยะทาง |
ความคืบหน้า |
ช่วงที่ 1 กลางดง – ปางอโศก |
3.5 กิโลเมตร |
เริ่มการก่อสร้างแล้ว ปัจจุบันมีความคืบหน้าประมาณ ร้อยละ 40 |
ช่วงที่ 2 สีคิ้ว-กุดจิก |
11 กิโลเมตร |
เริ่มประกวดราคาแล้ว |
ช่วงที่ 3 (5 สัญญา) |
143.85 กิโลเมตร |
คาดว่าจะพิจารณาข้อเสนอการประกวดราคาและเสนอคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยภายในเดือนเมษายน 2562 |
ช่วงที่ 4 ( 7สัญญา) |
90.28 กิโลเมตร |
คาดว่าจะพิจารณาข้อเสนอการประกวดราคาและเสนอคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยภายในเดือนพฤษภาคม 2562 |
สำหรับการเจรจาสัญญา 2.3 ระบบรถไฟและการฝึกอบรม ฝ่ายจีนยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่ได้หารือกันไว้ เนื่องจากฝ่ายจีนเห็นว่างานในสัญญา 2.3 ระบบรถไฟและการฝึกอบรมมีลักษณะเป็นงานเหมาจ่าย และงานบางส่วนจำเป็นต้องมีการประกวดราคาในประเทศจีนและทำการออกแบบรายละเอียดก่อน จึงจะสามารถส่งข้อมูลดังกล่าวให้ฝ่ายไทยได้ ซึ่งต้องมีการทำความเข้าใจกับฝ่ายจีนถึงความจำเป็นของฝ่ายไทยและเร่งรัดให้ฝ่ายจีนดำเนินการต่อไป
2.2 การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย
2.2.1 รฟท. อยู่ระหว่างจัดทำรายงานทบทวนผลการศึกษาโครงการฯ ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย โดยกระทรวงคมนาคม (คค.) จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการในเดือนมีนาคม 2562
2.22 รฟท. อยู่ระหว่างการดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาไทยเพื่อดำเนินการออกแบบรายละเอียดโครงการฯ ระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะได้รับงบประมาณในเดือนมีนาคม 2562 ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561 ที่เห็นชอบให้ฝ่ายไทยรับผิดชอบการออกแบบรายละเอียด โครงการฯ ระยะที่ 2
2.3 การเชื่อมโยงทางรถไฟระหว่างรัฐบาลไทย ลาว และจีน
2.3.1 ฝ่ายจีนจะรับผิดชอบศึกษาความเหมาะสมของโครงการช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ และจะเจรจากับฝ่ายลาวในการอำนวยความสะดวกสำหรับการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟดังกล่าว
2.3.2 ฝ่ายลาวเสนอให้มีจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าอยู่ที่ฝั่งไทย ทั้งนี้ จะมีการหารือสามฝ่ายระหว่างไทย ลาว และจีน ในรายละเอียดต่อไป
2.4 การถ่ายทอดเทคโนโลยี
2.4.1 ได้มีการฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการออกแบบรายละเอียดงานโยธาตามมาตรฐานการออกแบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศจีน ซึ่งจัดขึ้นโดยฝ่ายจีน จำนวน 11 หลักสูตร ระหว่างวันที่ 9 – 21 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัทเอกชน และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เข้าร่วม
2.4.2 ฝ่ายไทยจะดำเนินการวิจัยสำรวจข้อมูลความสามารถในการทดสอบและเครื่องมือทดสอบที่มีในปัจจุบันที่สามารถทดสอบผลิตภัณฑ์ ชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบรางและรถไฟความเร็วสูง เพื่อขึ้นทะเบียนห้องปฏิบัติการทดสอบ และขึ้นทะเบียนผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้บริการทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ในระบบรางและรถไฟความเร็วสูง
2.4.3 การจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยสถาบันฯ จะดำเนินงานประสานงานในด้านต่าง ๆ จำนวน 5 ด้าน ได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีมาตรฐานระบบราง อุตสาหกรรมระบบราง การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการทดสอบและการทดลอง โดยพิจารณาแนวทางจัดตั้งองค์กรเป็นรูปแบบองค์การมหาชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.)
2.5 การจัดตั้งองค์กรบริหารรถไฟความเร็วสูง
คณะอนุกรรมการจัดตั้งองค์กรพิเศษเพื่อกำกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง ภายใต้คณะกรรมการบริหารโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ได้พิจารณาการจัดตั้งองค์กรพิเศษฯ ในรูปแบบ Asset Corporation (Asset Co.) โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และให้ รฟท. เข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้น ปัจจุบันสำนักงานบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน คค. อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดร่างขอบเขตงาน (TOR) เพื่อขอรับงบประมาณ และดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาจัดทำรายละเอียดการจัดตั้งองค์กรพิเศษฯ เพื่อให้มีรายละเอียดครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/การร่วมทุนและกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ
2.6 เงื่อนไขเงินกู้
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ฝ่ายจีน โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีนได้เสนอเงื่อนไขเงินกู้ให้ฝ่ายไทย โดย กค. ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี สำหรับวงเงินกู้ไม่เกินร้อยละ 85 ของวงเงินสัญญา 2.3 งานระบบรถไฟและการฝึกอบรม โดยมีอายุเงินกู้ไม่เกิน 20 ปี ระยะเวลาปลอดหนี้ 5 ปี ฝ่ายไทยเสนออัตราดอกเบี้ยร้อย 2.6 ต่อปี ซึ่งอยู่ระหว่างฝ่ายจีนพิจารณาตอบรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว
13. เรื่อง แผนปฏิบัติการโครงการร้อยใจรักษ์ พ.ศ. 2562 – 2580
คณะรัฐมนตรีมีเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการโครงการร้อยใจรักษ์ พ.ศ. 2562 – 2580 ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านความมั่นคง การรักษาความสงบภายในประเทศ และแผนระดับ 2 แผนความมั่นคง ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2580 แบ่งเป็น 3 ช่วง ประกอบด้วย 1. ระยะเริ่มต้น ปีงบประมาณ 2561 – 2562 2. ระยะดำเนินงาน โดยมีลำดับการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ ระยะที่ 1 ระยะอยู่รอด ปีงบประมาณ 2563 – 2566 ระยะที่ 2 ระยะพอเพียง ปีงบประมาณ 2567 – 2570 ระยะที่ 3 ระยะยั่งยืน ปีงบประมาณ 2571 – 2572 3. ระยะรักษาสภาพความยั่งยืน ปีงบประมาณ 2573 – 2580 โดยมีงบประมาณในการดำเนินการ รวมจำนวน 1,300,784,811 บาท
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน 24,360,511 บาท และหากยังมีภารกิจที่จำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ภายใต้แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด โดยให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. 2559 และขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในลักษณะบูรณาการด้านการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน โดยคำนึงถึงลำดับความจำเป็น ความเร่งด่วน และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงยุติธรรมเสนอขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการร้อยใจรักษ์ พ.ศ. 2562 – 2580 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยบูรณาการมาตรการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหายา การพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวทางศาสตร์พระราชา การพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนต่อไปได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ แผนปฏิบัติการโครงการร้อยใจรักษ์ฯ แบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ (ระยะเริ่มต้นปีงบประมาณ 2561 – 2562 ระยะดำเนินงาน ปีงบประมาณ 2563 – 2572 และระยะรักษาสภาพความยั่งยืน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2573 – 2580) โดยมีหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการ เช่น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กองทัพบก จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยมีเป้าหมายดำเนินงานในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยเมืองงาม ครอบคลุม 4 หมู่บ้านหลัก ได้แก่ บ้านเมืองงามเหนือ บ้านห้วยส้าน บ้านหัวเมืองงาม บ้านเมืองงามใต้ และ 20 หมู่บ้านย่อยในตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวไม่ทับซ้อนกับพื้นที่ตามแผนปฏิบัติการด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือแบบเบ็ดเสร็จ (พ.ศ. 2562 – 2565) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 และแผนปฏิบัติการโครงการรัอยใจรักษ์ฯ ที่เสนอในครั้งนี้เป็นการนำรูปแบบการพัฒนาตามแนวทางศาสตร์ของพระราชามาขยายผลดำเนินการด้านการพัฒนาทางเลือกในพื้นที่เป้าหมายของแผนปฏิบัติการด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือแบบเบ็ดเสร็จฯ โดยใช้พื้นที่โครงการร้อยใจรักษ์เป็นพื้นที่ศึกษา เรียนรู้ และฝึกปฏิบัติ จึงเป็นการต่อยอดและขยายผลการพัฒนาระหว่างกัน
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) การชดเชยเยียวยาเจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ปี 2558
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) การชดเชยเยียวยาเจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ปี 2558 เพื่อเป็นเงินค่าชดเชยเรือประมง จำนวน 305 ลำ กรอบวงเงิน 764.454 ล้านบาท
2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นเงินค่าชดเชยเรือประมง จำนวน 252 ลำ กรอบวงเงิน 469.604 ล้านบาท
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) การชดเชยเยียวยาเจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ปี 2558 รวมจำนวน 305 ลำ กรอบวงเงินชดเชย 764.454 ล้านบาท โดยในปี 2562 จะขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นเงินค่าชดเชยเรือประมงจำนวน 252 ลำ กรอบวงเงิน 469.604 ล้านบาท สำหรับค่าชดเชยเรือประมงส่วนที่เหลือ 53 ลำ จะเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ต่อไป
2. โดยที่ประเทศไทยมีปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายและได้รับการเตือนจากสหภาพยุโรปให้มีมาตรการในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ซึ่งต่อมาหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีคำสั่งเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย จำนวน 4 ฉบับ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้การทำการประมงสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและเป็นระบบ ส่งผลให้มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการประมงที่จะต้องดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าว ได้แก่ แจ้งจุดจอดเรือ ตรึงพังงา ทำสัญลักษณ์ แจ้งงดใช้เรือและทำอัตลักษณ์เรือตามที่กรมเจ้าท่ากำหนด และยังทำให้มีเรือประมงที่ไม่สามารถออกทำการประมง ต่อมาคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5ฯ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน โดยได้เห็นชอบโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) การชดเชยเยียวยาเจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ปี 2558 รายละเอียดโครงการ สรุปได้ ดังนี้
วัตถุประสงค์ |
ชดเชยเยียวยาและบรรเทาผลกระทบให้กับเจ้าของเรือประมงจากมาตรการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายของภาครัฐ |
เป้าหมาย |
เจ้าของเรือและเรือประมง รวม 305 ลำ ที่เป็นกลุ่มเรือที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐที่ไม่สามารถออกทำการประมง และให้ความร่วมมือกับภาครัฐ โดยไม่ขอใบอนุญาตทำการประมงเป็นเหตุให้มีสัตว์น้ำเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากร และจัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่พบการกระทำความผิด (กลุ่มขาว) |
คุณสมบัติของเรือประมงที่ได้รับเงินค่าชดเชย |
(1) เป็นเรือประมงที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมาตรการของรัฐในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) ทั้งนี้ ต้องเป็นเรือและเจ้าของเรือที่ไม่เคยกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการประมง กฎหมายเจ้าท่า และกฎหมายแรงงานมาก่อน (2) เป็นเรือประมงตามบัญชีรายชื่อที่ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานตรวจสอบฯ (3) เป็นเรือประมงตามบัญชีรายชื่อที่ผ่านการประเมินราคาสภาพความเป็นจริงรายลำจากคณะทำงานประเมินราคาตามสภาพเรือประมง (4) เป็นเรือประมงที่อยู่ในบัญชีรายชื่อพร้อมราคาชดเชยซึ่งได้ผ่านการเห็นชอบของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) (5) ในกรณีที่มีการตรวจพบในภายหลังว่าผู้ที่จะได้รับการเยียวยา มีคุณสมบัติต่าง ๆ ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ข้อ (1) – (4) ให้ถือว่าบุคคลนั้นไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยของเรือลำนั้น ๆ |
งบประมาณที่รัฐจะชดเชยและแหล่งงบประมาณ |
764.454 ล้านบาท [ราคาที่รัฐจะชดเชย = ร้อยละ 50 [ขนาดเรือ (ตันกรอส) x ร้อยละคะแนนความสมบูรณ์ของโครงสร้างเรือ x ราคากลางต่อตันกรอส] โดยในปีที่ 1 (มีนาคม – กันยายน 2562) จะชดเชยให้กับจำนวนเรือ 252 ลำ คิดเป็นงบประมาณ 469.604 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และในปีที่ 2 (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) จะชดเชยให้กับจำนวนเรือ 53 ลำ คิดเป็นงบประมาณ 294.850 ล้านบาท โดยบรรจุไว้ในคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ทั้งนี้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จะดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบกลางประจำปี 2563 |
การจ่ายเงินค่าชดเชย |
แบ่งการจ่ายเงินออกเป็น 2 งวด ดังนี้ งวดที่ 1 จำนวนร้อยละ 30 ของจำนวนเงินค่าชดเชย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแยกชิ้นส่วนหรือทำลายเรือประมง งวดที่ 2 จำนวนร้อยละ 70 ของจำนวนเงินค่าชดเชย หลังจากเจ้าของเรือประมงได้ดำเนินการแยกชิ้นส่วนหรือทำลายเรือประมงเรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดเงื่อนไขในการขอรับค่าชดเชยว่า ผู้ที่ได้รับค่าชดเชยจะไม่ไปประกอบอาชีพประมงหรืออื่น ๆ ที่ผิดกฎหมายต่อไปด้วย |
แต่งตั้ง
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายปิ่นสาย สุรัสวดี ผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิชาการภาษี) ระดับสูง) กองวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร) นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอแต่งตั้ง นางเทพีวรรณ จิตรวัชรโกมล นักวิทยาศาสตร์เชี่ยวชาญ โครงการฟิสิกส์และวิศวกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ ให้ดำรงตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ทรงคุณวุฒิ (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิเคราะห์ทดสอบ) กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นายเฉลิมชนม์ แน่นหนา ที่ปรึกษาด้านระบบการศึกษา (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
18. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน จำนวน 5 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นายชัยวัฒน์ สิทธิบุศย์
2. นายโสภณ ชมชาญ
3. นายสิทธิพงษ์ ดิลกวณิช
4. นายวุฒิชาติ สิริช่วยชู
5. นายนพดล เภรีฤกษ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี