9 เม.ย.62 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่และเขตพื้นที่ของมณฑลทหารบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่และเขตพื้นที่ของมณฑลทหารบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
กห. เสนอว่า
1. ได้มีกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่และเขตพื้นที่ของมณฑลทหารบก พ.ศ. 2558 กำหนดให้มณฑลทหารบกมีหน้าที่ดังนี้ (1) บังคับบัญชากำลังประจำถิ่นของกองทัพบก ตามที่ กห. กำหนด (2) รักษาความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่ รวมทั้งการศาลทหาร การคดี การช่วยดำเนินการคุ้มครองพยานในคดีอาญา และการเรือนจำ (3) ดำเนินการสัสดี การเกณฑ์ช่วยราชการทหาร และการระดมสรรพกำลังในเขตพื้นที่ (4) สนับสนุนหน่วยทหารที่อยู่ในเขตพื้นที่ และ (5) ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การต่อสู้เบ็ดเสร็จ เพื่อรักษาความสงบภายใน และการป้องกันประเทศ
2. โดยที่มาตรา 13 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 บัญญัติให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พิจารณาให้การสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณและทรัพย์สินในการปฏิบัติงานของ กอ.รมน. จังหวัด ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดร้องขอ ดังนั้น เพื่อให้การทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนของมณฑลทหารบกเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สมควรกำหนดให้มณฑลทหารบกมีหน้าที่ให้การช่วยเหลือประชาชน และปฏิบัติหน้าที่ในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่และเขตพื้นที่ของมณฑลทหารบก พ.ศ. 2558 เพื่อกำหนดให้มณฑลทหารบกมีหน้าที่ให้การช่วยเหลือประชาชน และปฏิบัติหน้าที่ในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
2. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในกำหนดระยะเวลา
กค. รายงานว่า
1. เดิม กค. ได้มีระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 24 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติมใช้บังคับ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นในนิติบุคคล โดยจะต้องเป็นการจำหน่ายหุ้นในนิติบุคคลเพื่อไปซื้อหุ้นในนิติบุคคลอื่น
2. โดยที่ได้มีพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 34 วรรคสี่ (4) ประกอบกับวรรคห้า บัญญัติให้เมื่อมีเหตุผลอันสมควร รัฐมนตรีจะอนุญาตให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับเงินจากการจำหน่ายหุ้นในนิติบุคคลเพื่อนำไปซื้อหุ้นในนิติบุคคลอื่น สามารถนำเงินไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังก็ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ประกอบกับมาตรา 86 บัญญัติให้บรรดาระเบียบที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้มีผลใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีการออกระเบียบตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งการจะออกระเบียบดังกล่าวต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (ครบกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีในวันที่ 20 เมษายน 2562) ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. การจำหน่ายหุ้นนิติบุคคลต้องจำหน่ายเพื่อไปซื้อหุ้นนิติบุคคลอื่น ซึ่งการจำหน่ายหุ้นนิติบุคคลให้จำหน่ายหุ้นที่มีลักษณะ ดังนี้
1.1 หุ้นที่รัฐบาลมีนโยบายให้จำหน่าย
1.2 หุ้นซึ่งมีอัตราผลตอบแทนต่ำ
1.3 หุ้นที่ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือไว้เพื่อการพัฒนาประเทศ
1.4 หุ้นที่ได้จากการยึดทรัพย์ หรือหุ้นที่ได้มาโดยนิติเหตุ
1.5 หุ้นที่ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่นเนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายภาครัฐ
1.6 หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เอกชนสามารถดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว
1.7 หุ้นของนิติบุคคลที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย หรือฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายเลิกกิจการ ชำระบัญชี หรือมีสถานะร้าง
2. การจำหน่ายหุ้นนิติบุคคล ให้ดำเนินการผ่านตลาดหลักทรัพย์ หรือจำหน่ายให้กับสถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ หรือกองทุนซึ่งมีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งขึ้น
3. การจำหน่ายหุ้นนิติบุคคล โดยมีเงื่อนไขหรือกำหนดสิทธิให้สามารถซื้อหุ้นดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนคืนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องจำหน่ายให้สถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ หรือกองทุนซึ่งมีกฎหมาย หรือมติคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งขึ้น
4. การซื้อหุ้นนิติบุคคลให้ซื้อหุ้นที่มีลักษณะ ดังนี้
4.1 หุ้นเพื่อดำรงสัดส่วนร้อยละ 70 ในกรณีที่มีเงินกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันคงค้างอยู่หรือมีเงินให้กู้ต่อ
4.2 หุ้นเพิ่มทุนที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม
4.3 หุ้นนิติบุคคลที่รัฐบาลมีนโยบายให้ร่วมลงทุน
4.4 หุ้นในนิติบุคคลที่ทำกิจการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
4.5 หุ้นในกิจการที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศและสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4.6 หุ้นในนิติบุคคลที่ซื้อคืนทั้งหมดหรือบางส่วนตามเงื่อนไขหรือสิทธิภายในระยะเวลาที่กำหนด
5. เงินจากการจำหน่ายหุ้นให้นำฝากไว้กับกระทรวงการคลังใน “บัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้น”
6. ให้บัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ เป็นบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นตามร่างระเบียบฯ และให้การจำหน่ายหรือการซื้อหุ้นที่ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ และ/หรือมติคณะรัฐมนตรีฯ ซึ่งยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จในวันที่ร่างระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ ให้ดำเนินการต่อไปได้ตามหลักเกณฑ์ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ หรือมติคณะรัฐมนตรีฯ จนเสร็จสิ้น และให้ถือว่าเป็นการจำหน่ายหรือการซื้อหุ้นตามระเบียบนี้เพื่อรองรับการดำเนินงานให้มีความต่อเนื่องและชัดเจน
3. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำลบลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 ออกไปอีก 2 ปี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 ออกไปอีก 2 ปี ตามที่กระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง ขออนุมัติการปรับผังบริเวณโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดนนทบุรี (บางใหญ่ – วัดพระเงิน) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ การปรับผังบริเวณโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดนนทบุรี (บางใหญ่ – วัดพระเงิน) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน ทั้งนี้ ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้สามารถดำเนินโครงการฯ ได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว และให้ พม.รับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า
1. กรมทางหลวงชนบทมีโครงการที่จะตัดถนนใหม่แนวตะวันออก – ตะวันตก จากจุดสิ้นสุดถนนนครอินทร์ไปเชื่อมกับทางหลวงชนบท สาย นฐ.3004 มีระยะทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 10 กิโลเมตร โดยมีแนวเขตทางที่ผ่านบริเวณโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดนนทบุรี (บางใหญ่ – วัดพระเงิน) กคช. จึงได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมทางหลวงชนบท เพื่อขอหารือโครงการตัดถนนเชื่อมต่อถนนนครอินทร์ – ศาลายา และขอให้กรมทางหลวงชนบทส่งรายละเอียดสถานภาพการจัดทำโครงการให้ กคช. โดยกรมทางหลวงชนบทได้มีหนังสือจัดส่งรายละเอียดโครงการถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์ - ศาลายา แจ้งว่า ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมผลกระทบสิ่งแวดล้อมในขั้นรายละเอียด (EIA) และออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จมาตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2560 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) หากได้รับความเห็นชอบ กรมทางหลวงชนบทจะได้ดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนภายในปี 2563 ซึ่งในปีงบประมาณ 2562 ได้มีการเสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อสำรวจอสังหาริมทรัพย์ และจะดำเนินการจ่ายเงินทดแทนอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ถูกเวนคืนในปี 2564 เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีจะมีแผนที่จะดำเนินการก่อสร้างประมาณปี 2565
2. โครงการถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์ – ศาลายา ที่มีแนวถนนตัดผ่านโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดนนทบุรี (บางใหญ่ – วัดพระเงิน) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวอาคารที่จะพัฒนา รวมถึงถนน พื้นที่ว่าง สาธารณูปโภค และสาธารณูปการบางส่วนจึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามแผนงานพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2559 ได้ ดังนั้น กคช. จึงนำเสนอคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติพิจารณาอนุมัติการปรับผังบริเวณโครงการใหม่ ในการประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นการปรับผังบริเวณโครงการโดยยังคงรูปแบบของอาคารชุด 5 ชั้น จำนวน 12 อาคาร รวม 526 หน่วย ขนาด 32 ตารางเมตร ตามเดิม โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางรายการและคงเดิมบางรายการ สรุปได้ ดังนี้
2.1 รายการที่คงเดิม
2.1.1 ค่าก่อสร้างของโครงการมีการปรับเกลี่ยภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จำนวน 263.634 ล้านบาท
2.1.2 ราคาขายเบื้องต้น 625,000 บาทต่อหน่วย
2.2 รายการที่ปรับเปลี่ยน
2.2.1 ขนาดที่ดินโครงการลดลงจาก 10.09 ไร่ เป็น 9.95 ไร่ (ลดลงจำนวน 0.14 ไร่) โดยมีการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเช่นเดิม
2.2.2 ต้นทุนโครงการลดลงจากเดิม จำนวน 377.095 ล้านบาท เป็น 376.470 ล้านบาท
2.2.3 ผลตอบแทนจากการดำเนินโครงการเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 4.76 เป็น ร้อยละ 4.93
2.2.4 ผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุน (Financial Internal Rate of Return: FIRR) เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 7.04 เป็นร้อยละ 7.19
5. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 10) พ.ศ. 2562 – 2566
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 10) พ.ศ. 2562-2566 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
1.1 ให้คงจำนวนนักศึกษา ปีละ 44 ทุน ให้เข้าศึกษาในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ จำนวน 27 ทุน สาขาวิชาสังคมศาสตร์ จำนวน 17 ทุน (อัตราส่วน 60 : 40) และในการรับนักศึกษาตามจำนวนดังกล่าว ให้พิจารณารับนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดละ 2 คน เพื่อเป็นการเยียวยาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากขอมากกว่า 44 ทุน อาจจะมีผลกระทบในการขออนุมัติด้านงบประมาณ
1.2 ให้คงจำนวนมหาวิทยาลัยที่จะรับนักศึกษาตามโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (โครงการจัดส่งนักศึกษาฯ) ไว้ จำนวน 9 แห่ง เช่นเดิม ได้แก่ 1. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) 2. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) 4. มหาวิทยาลัยศิลปากร (มศก.) 5. มหาวิทยาลัยมหิดล 6. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)7. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) 8. มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และ 9. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เนื่องจาก 9 มหาวิทยาลัยของรัฐดังกล่าวมีความพร้อมที่จะรับนักศึกษาตามโครงการจัดส่งนักศึกษาฯ เข้าศึกษาต่อ หากจะมีการเพิ่มมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เข้าร่วมโครงการจัดส่งนักศึกษาฯ ต้องมีการสอบถามความพร้อมในการที่จะรับนักศึกษาตามโครงการจัดส่งนักศึกษาฯ
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 (เรื่อง การจัดสรรทุนรัฐบาลให้แก่หน่วยงานของรัฐ) ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่มีความประสงค์จะขอรับการจัดสรรทุนการศึกษาจากรัฐบาลจัดส่งเรื่องพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้กับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาก่อนดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
2. สำหรับการสงวนอัตราเข้ารับราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ (พ.ศ. 2547 – 2551)] ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) หารือร่วมกับหน่วยงานหลักตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในการพิจารณากำหนดแนวทางการสงวนอัตราที่สอดคล้องกันระหว่างความต้องการของหน่วยงานกับสาขาที่นักศึกษาเรียนจบเพื่อให้การจัดสรรกำลังคนกับความต้องการของหน่วยงานเกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด
3. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) และกระทรวงแรงงาน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีเคยมีมติอนุมัติหลักการโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยมาอย่างต่อเนื่องทั้งหมด 9 ครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 – 2561 โดยในการอนุมัติโครงการดังกล่าวได้มีการปรับเกณฑ์ในการคัดเลือกนักศึกษา เช่น หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนจำนวนทุนการศึกษาที่มอบให้ จำนวนเงินทุนการศึกษาที่มอบให้ในแต่ละสาขา การสงวนอัตราของแต่ละส่วนราชการเพื่อรองรับนักศึกษาเข้ารับราชการ เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงที่เปลี่ยนแปลงไป และเนื่องจากโครงการฯ (ระยะที่ 9) พ.ศ. 2557 – 2561 ได้สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2561 กระทรวงมหาดไทยจึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำการศึกษาประเมินผลโครงการฯ เพื่อประเมินประสิทธิผลและความจำเป็นในการดำเนินโครงการดังกล่าวต่อในระยะที่ 10 ซึ่งผลการประเมินโดยสรุปพบว่า ทั้งนักศึกษาผู้รับทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเชิงบวกต่อประสิทธิผลของโครงการฯ ที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ครบถ้วนและอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีความเห็นว่า จำเป็นต้องมีการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาอันจะส่งผลต่อการยกระดับมาตรฐานการดำเนินชีวิตและการศึกษาของประชาชนให้สูงขึ้น ตลอดจนเป็นการเพิ่มรายได้กระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่น โดยโครงการฯ จะประกอบด้วย กิจกรรมแบบเบ็ดเสร็จ 3 ประการ ได้แก่
กิจกรรม |
รายละเอียด |
การคัดเลือกนักศึกษา |
กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดำเนินการคัดเลือกนักศึกษาตามโครงการจัดส่งนักศึกษาฯ เพื่อให้ได้นักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของรัฐ รวม 9 แห่ง ปีละ 44 คน โดยจัดสรรจำนวนนักศึกษาออกเป็นรายจังหวัด ได้แก่ จังหวัดปัตตานี 12 คน จังหวัดนราธิวาส 13 คน จังหวัดยะลา 8 คน จังหวัดสตูล 7 คน และจังหวัดสงขลา 4 คน |
การจัดสรรเงินทุนอุดหนุนการศึกษา |
กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) จะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อมอบเงินเป็นทุนอุดหนุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาตามโครงการฯ ปีละ 44 ทุน จำแนกเป็น
ซึ่งจะต้องมีนักศึกษาที่เข้าศึกษาในวิชาชีพครูจำนวนร้อยละ 10 ของนักศึกษาที่เข้ารับการศึกษาในแต่ละปี โดยมีพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบัน (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และอำเภอจะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อยของจังหวัดสงขลา) |
การสงวนอัตราเข้ารับราชการ |
ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 ที่ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สงวนอัตราเพื่อรองรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา กระทรวงละ 4 อัตรา สำหรับส่วนราชการอื่นให้สงวนอัตราไว้อย่างน้อยกระทรวงละ 1 อัตรา และให้สอบแข่งขันคัดเลือกกันเองในการเข้ารับราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
อย่างไรก็ตาม จากกิจกรรมข้างต้น พบว่า ผลการประเมินจากนักศึกษาผู้รับทุน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและคณะผู้ดำเนินการประเมินผลโครงการฯ มีข้อเสนอแนะหลายประการที่สำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ เช่น ควรมีการเพิ่มจำนวนเงินทุนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ควรพิจารณาการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ (ค่าครองชีพ ค่าอุปกรณ์การเรียน) การจ่ายเงินทุนควรดำเนินการเป็นรายภาคการศึกษา ควรมีการประกาศรายชื่อคณะ/มหาวิทยาลัยที่เปิดรับสมัครอย่างชัดเจน ควรมีการชี้แจงลำดับคะแนนในการสัมภาษณ์โดยละเอียดตามเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการรับสมัครให้แก่ผู้สมัครทราบล่วงหน้า ควรมีการติดตามผลการเรียนและความเป็นอยู่ของนักศึกษาควรดำเนินการอย่างใกล้ชิด เป็นต้น ดังนั้น กระทรวงมหาดไทยจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 10) พ.ศ. 2562 – 2566 โดยกำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดของโครงการฯ ดังนี้
1. ให้คงจำนวนนักศึกษา ปีละ 44 ทุน ให้เข้าศึกษาในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ จำนวน 27 ทุน สาขาวิชาสังคมศาสตร์ จำนวน 17 ทุน (อัตราส่วน 60 : 40) และในการรับนักศึกษาตามจำนวนดังกล่าว ให้พิจารณารับนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดละ 2 คน เพื่อเป็นการเยียวยาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. ให้คงจำนวนมหาวิทยาลัยที่จะรับนักศึกษาตามโครงการฯ ไว้ จำนวน 9 แห่งเช่นเดิม
3. ให้สงวนอัตราเข้ารับราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 และควรมีการสงวนอัตราที่ชัดเจนและเพียงพอกับนักศึกษาทุนทุกคน เพื่อเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้การปฏิบัติการทางด้านจิตวิทยาบรรลุผลสำเร็จ
4. ให้มีการพิจารณาเพิ่มจำนวนเงินทุนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และการจัดสรรเป็นเงินทุนอุดหนุนการศึกษาตามที่จ่ายตามจริงในแต่ละสาขาวิชา รวมทั้งให้มีการพิจารณาการสนับสุนค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ เช่น ค่าครองชีพ ค่าอุปกรณ์การเรียน ทั้งนี้ ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับเงินทุนอุดหนุนการศึกษา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 – 2566 เป็นเงิน 41,700,000 บาท
6. เรื่อง ขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่อง ขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเสนอ แล้วมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่อนุมัติในหลักการการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล จำนวน 67 แปลง เนื้อที่ 302-3-73.41 ไร่ ในอัตราไร่ละ 32,000 บาท ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเสนอ สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายเป็นเงินค่าชดเชยดังกล่าว เห็นควรให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จากโครงการ/รายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณเหลือจ่ายและ/หรือรายการที่หมดความจำเป็น และ/หรือรายการที่คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปดำเนินการ ภายในวงเงิน 9,693,872.80 บาท และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การกำหนดให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าชดเชยในท้องที่ 3 จังหวัด เพื่อตรวจสอบสิทธิของบุคคลและการจ่ายเงินให้เป็นไปอย่างถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริง และมีขั้นตอนการดำเนินการที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ เห็นควรดำเนินการตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเสนอ
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าชดเชย ในท้องที่ 3 จังหวัด (จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดศรีสะเกษ) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิและจำนวนเงินค่าชดเชย เพื่อให้เป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบฯ ประกอบด้วย
1. ผู้ว่าราชการจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง ประธานกรรมการ
2. เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
3. อัยการจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
4. คลังจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
5. นายอำเภอท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
6. ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
7. ผู้อำนวยการส่วนจัดหาที่ดินที่ 2
สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน กรรมการ
8. ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรอีสาน กรรมการ
9. ผู้แทนกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน กรรมการ
10. ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย กรรมการ
11. ผู้แทนกลุ่มเกษตรกรฝายราษีไศล กรรมการ
12. ผู้แทนกลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการ
13. ผู้แทนกลุ่มอิสระ กรรมการ
14. ผู้แทนกลุ่มสมัชชาลุ่มน้ำมูล กรรมการ
15. ผู้แทนกลุ่มสมัชชาคนจน กรรมการ
16. ผู้แทนกลุ่มชาวนา 2000 กรรมการ
17. ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง กรรมการและเลขานุการ
โดยมีอำนาจหน้าที่พิจารณาและควบคุมการโอนจ่ายเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ จำนวนเนื้อที่ และจำนวนเงินค่าชดเชยตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติในการจ่ายเงินเห็นสมควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินค่าชดเชย
7. เรื่อง ขออนุมัติกรอบวงเงินการจ่ายค่าชดเชยเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่อง ขออนุมัติกรอบวงเงินการจ่ายค่าชดเชยเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเสนอ แล้วมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่อนุมัติในหลักการการจ่ายค่าชดเชยเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลภายในกรอบวงเงิน 599,974,400 บาท ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเสนอ และเห็นควรให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าว เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและคำนวณเงินค่าชดเชยผ่านบัญชีธนาคารให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ สำหรับงบประมาณที่จะขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนรายละเอียดการจ่ายเงินค่าชดเชยที่คาดว่าจะจ่ายได้จริงในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในส่วนที่ยังขาดและไม่สามารถจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าวได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าชดเชย ในท้องที่ 3 จังหวัด (จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดศรีสะเกษ) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิและจำนวนเงินค่าชดเชย เพื่อให้เป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบฯ ประกอบด้วย
1. ผู้ว่าราชการจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง ประธานกรรมการ
2. เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
3. อัยการจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
4. คลังจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
5. นายอำเภอท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
6. ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
7. ผู้อำนวยการส่วนจัดหาที่ดินที่ 2
สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน กรรมการ
8. ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรอีสาน กรรมการ
9. ผู้แทนกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน กรรมการ
10. ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย กรรมการ
11. ผู้แทนกลุ่มเกษตรกรฝายราษีไศล กรรมการ
12. ผู้แทนกลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการ
13. ผู้แทนกลุ่มอิสระ กรรมการ
14. ผู้แทนกลุ่มสมัชชาลุ่มน้ำมูล กรรมการ
15. ผู้แทนกลุ่มสมัชชาคนจน กรรมการ
16. ผู้แทนกลุ่มชาวนา 2000 กรรมการ
17. ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง กรรมการและเลขานุการ
โดยมีอำนาจหน้าที่พิจารณาและควบคุมการโอนจ่ายเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ จำนวนเนื้อที่ และจำนวนเงินค่าชดเชยตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ในการจ่ายเงินเห็นสมควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินค่าชดเชย
8. เรื่อง ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการอ่านสร้างชาติ : ซื้อหนังสือลดหย่อนภาษี (ช้อปหนังสือช่วยชาติ) (วธ.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการอ่านสร้างชาติ : ซื้อหนังสือลดหย่อนภาษี (ช้อปหนังสือช่วยชาติ) ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2561 – 16 มกราคม 2562 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (4 ธันวาคม 2561) เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนผลผลิตภาคการเกษตร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่นของชุมชน เพื่อให้ผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถนำค่าหนังสือที่ซื้อจากผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการบูรณาการการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ในการประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 ให้รายงานผลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และที่ประชุมมีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1. รายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน (กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,547 คน) ต่อโครงการอ่านสร้างชาติ : ซื้อหนังสือลดหย่อนภาษี (ช้อปหนังสือช่วยชาติ) ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้น การดำเนินโครงการ วธ. (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ได้ร่วมกับสวนดุสิตโพลจัดทำขึ้น โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
ความเห็น |
ร้อยละ |
การรับทราบโครงการ |
ทราบ |
82.55 |
ไม่ทราบ |
17.45 |
|
ช่องทางรับทราบโครงการฯ |
โทรทัศน์ |
40.33 |
สื่อโซเซียล (เช่น Facebook Pantip เป็นต้น |
31.84 |
|
ความคิดเห็นต่อโครงการฯ |
เห็นด้วยมากที่สุด เนื่องจากเป็นมาตรการที่ดี |
91.27 |
ทำให้ประชาชนเกิดความสนใจอยากอ่านหนังสือมากขึ้น |
67.87 |
|
ความพึงพอใจต่อโครงการฯ |
ส่วนใหญ่ค่อนข้างพึงพอใจ |
60.37 |
ไม่พึงพอใจเลย |
2.33 |
|
ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการฯ |
ทำให้ประชาชนรักการอ่านมากขึ้น |
52.28 |
ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ |
34.18 |
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐบาลควรให้การสนับสนุนหรือจัดให้มีโครงการลักษณะนี้ต่อไป เนื่องจากเป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และยังเป็นการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้ให้แก่ประชาชน รวมถึงควรขยายเวลาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและลดวงเงินในการซื้อเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจแต่มีรายได้น้อยด้วย
2. รายงานผลการสำรวจยอดจำหน่ายหนังสือของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) พบว่าการใช้มาตรการภาษีฯ ของรัฐบาลครั้งนี้ส่งผลดีต่อธุรกิจหนังสือ โดยช่วยให้มีรายได้จากการจำหน่ายหนังสือและสิ่งพิมพ์ของร้านหนังสือเชนสโตร์ (Chain Store) ร้านหนังสืออิสระ และการขายทางออนไลน์ของสำนักพิมพ์เพิ่มขึ้นจากรายได้ปกติก่อนดำเนินมาตรการภาษีฯ
การเติบโตเฉลี่ยของยอดขายของสำนักพิมพ์และร้านหนังสือเชนสโตร์ |
||
ประเภทร้าน |
การเติบโตเฉลี่ย |
ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2560 |
สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ |
ร้อยละ 8 |
|
สำนักพิมพ์ขนาดกลาง |
ร้อยละ 2.5 |
134 ล้านบาท |
สำนักพิมพ์ขนาดเล็ก |
ร้อยละ 2.5 |
|
ร้านหนังสือเชนสโตร์ |
ร้อยละ 35 |
195 ล้านบาท |
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะที่เห็นควรสนับสนุนมาตรการภาษีฯ ตลอดทั้งปีและเพิ่มวงเงินค่าซื้อหนังสือเพื่อเป็นแรงจูงใจในการซื้อหนังสือเพื่อบริจาคหรือกิจกรรม CSR ให้สามารถลดหย่อนภาษีได้ ควรมีการประชาสัมพันธ์มากกว่านี้ และควรเผื่อเวลาประกาศใช้มาตรการภาษีฯ มากกว่านี้ เพื่อที่สำนักพิมพ์จะได้มีเวลาในการเตรียมหนังสือและจัดส่งหนังสือไปยังร้านหนังสือเชนสโตร์ทั่วประเทศ รวมถึงควรเปิดโอกาสให้ร้านค้าที่จดทะเบียนแบบบุคคลธรรมดาเข้าร่วมด้วย
9. เรื่อง การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม กำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2562 จำนวน 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอกรณีการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ยกเว้นการเก็บค่าผ่านทางพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2562 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การดำเนินการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษดังกล่าวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2562 คาดว่าจะมีปริมาณจราจรที่ใช้ทางพิเศษ ดังนี้
1) ทางพิเศษบูรพาวิถีจะมีปริมาณจราจร จำนวน 1,546,218 คัน จะทำให้ กทพ. ไม่ได้รับรายได้ประมาณ 60,364,350.- บาท แต่จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจประเมินเป็นมูลค่าเงินจำนวน 78,347,529.- บาท ซึ่งประกอบด้วยมูลค่าจากการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ (Vehicle Operating Cost Saving : VOC Saving) 27,342,855.- บาท และมูลค่าจากการประหยัดเวลาในการเดินทาง (Value of Time Saving : VOT Saving) 51,004,674.- บาท รวมเป็นเงิน 78,347,529.- บาท
2) ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) จะมีปริมาณจราจร จำนวน 2,191,752 คัน จะทำให้ กทพ. ไม่ได้รับรายได้ประมาณ 69,456,618 บาท.- แต่จะได้ประโยชน์ตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจประเมินเป็นมูลค่าเงินจำนวน 89,686,602.- บาท ซึ่งประกอบด้วยมูลค่าจากการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ (Vehicle Operating Cost Saving : VOC Saving) 37,613,628.- บาท และมูลค่าจากการประหยัดเวลาในการเดินทาง (Value of Time Saving : VOT Saving) 52,072,972.- บาท รวมเป็นเงิน 89,686,602.- บาท
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากผลประโยชน์ที่ประเมินเป็นมูลค่าเงินได้ (VOC Saving, VOT Saving) ยังมีผลประโยชน์ที่ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าเงินได้ ได้แก่ ความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยต่อผู้ใช้ทางพิเศษและลดมลพิษทางอากาศบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ และยังเป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางพิเศษในช่วงเทศกาลที่มีประชาชนเดินทางเป็นจำนวนมาก แสดงถึงความรับผิดชอบของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยที่มีต่อประชาชน เพื่อให้เกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของหน่วยงานและเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษกาญจนาภิเษกมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐอีกด้วย
2. เพื่อให้การดำเนินการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา – ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษ สายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 5 มาตรา 19 และมาตรา 39 ประกอบกับข้อสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการทางพิเศษฉลองรัชและโครงการทางพิเศษบูรพาวิถีดังกล่าว จึงได้ออกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 และประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นให้ผู้ใช้รถบนทางพิเศษสายดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2562 เวลา 00.01 นาฬิกา ถึงวันที่ 18 เมษายน 2562 เวลา 24.00 นาฬิกา ซึ่งคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติเห็นชอบและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ให้ความเห็นชอบและลงนามในประกาศกระทรวงคมนาคมแล้ว ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
10. เรื่อง แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่อง แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากรตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ แล้วมีมติรับทราบและเห็นชอบดังนี้
1. รับทราบแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร มีกำหนดแผนการดำเนินการ 9 ปี (ปี พ.ศ. 2562 – 2570)
2. เห็นชอบแผนงานการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วม และบำบัดน้ำเสียคลองเปรมประชากรทั้งระบบ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามแผนงานหลักระยะเร่งด่วน ปี 2562 – 2565 จำนวน 4 โครงการ วงเงิน 4,448 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วมและบำบัดน้ำเสียคลองเปรมประชากรทั้งระบบ ตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา - กทม. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
2.1 กทม. ดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนจากถนนเทศบาลสงเคราะห์ – สุดเขต กทม. ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) แล้ว ในวงเงิน 3,443 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินอุดหนุนรัฐบาลในสัดส่วนร้อยละ 50 เป็นเงิน 1,721.50 ล้านบาท และใช้เงินรายได้ของ กทม. สมทบร้อยละ 50 เป็นเงิน 1,721.50 ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเขื่อนที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 62 ล้านบาท และที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 760 ล้านบาท เนื่องจาก กทม. ไม่ได้เสนอขอตั้งงบประมาณรองรับไว้ เห็นควรให้ กทม. ใช้จ่ายจากเงินรายได้ที่ต้องนำมาสมทบก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อไป ให้ กทม. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
2.2 กรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนคลองเปรมประชากรจากคลองบ้านใหม่ – คลองรังสิตประยูรศักดิ์ วงเงิน 980 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจและออกแบบการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2562 ดังนั้น หากมีค่าใช้จ่ายที่จะต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
2.3 กรมชลประทานดำเนินการขุดลอกคลองเปรมประชากรในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ – คลองเชียงรากน้อย ระยะทาง 15.3 กิโลเมตร วงเงิน 16 ล้านบาท และขุดลอกคลองเปรมประชากรในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากคลองเชียงรากน้อย – สถานีสูบน้ำเปรมเหนือบางปะอิน ระยะทาง 8.1 กิโลเมตร วงเงิน 9 ล้านบาท ซึ่งมีความพร้อมที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยให้กรมชลประทานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อมาดำเนินการตามแผนงานต่อไป
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร มีรายละเอียด ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ทั้งชุมชนและเมือง พัฒนาด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โดยการออกแบบวางผังพื้นที่ริมคลองให้องค์ประกอบต่างๆ มีความสอดคล้องกัน ได้แก่ การพัฒนาที่อยู่อาศัย การพัฒนาด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การจัดระบบสาธารณูปโภคและผังเมือง การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชุมชน แผนพัฒนาจุดเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะ ล้อ – ราง – เรือ – ทางจักรยาน และแผนพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชุมชน เป็นต้น
2. พื้นที่โครงการ : คลองเปรมประชากร จากคลองผดุงกรุงเกษม ถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ความยาว 50.8 กิโลเมตร อยู่ในพื้นที่ กทม. ความยาว 22.8 กิโลเมตร ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ความยาว 20 กิโลเมตร และในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ความยาว 8 กิโลเมตร
3.ระยะเวลาดำเนินการ 9 ปี (ปี พ.ศ. 2562 – 2570)
4. แนวคิดหลัก 4 ด้าน
แนวคิดหลัก |
รายละเอียด |
(1) ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมของเมือง* |
โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การบำบัดน้ำเสีย การพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่ง การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของเมือง เช่น (1) โครงการก่อสร้างเขื่อนริมคลอง อุโมงค์ระบายน้ำระบบรวบรวมน้ำเสีย โรงบำบัดน้ำเสีย (2) การพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่ง และการเชื่อมต่อ รถ-ราง-เรือ |
(2) ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชุมชมริมคลอง
|
โดยการรื้อย้ายบ้านรุกล้ำเดิม และวางผังจัดระเบียบที่อยู่อาศัยใหม่ด้วยการก่อสร้างบ้านมั่นคง พร้อมระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ศูนย์ฝึกอาชีพ ศูนย์การเรียนรู้ ลานกีฬา |
(3) ด้านการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วม |
โดยการสร้างการรับรู้และเจรจาทำความเข้าใจกับประชาชนในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง และการเผยแพร่หรือประชาสัมพันธ์โครงการต่อสาธารณะ |
(4) ด้านกฎหมายและการขับเคลื่อนงาน |
โดยการปรับแก้กฎหมายหรือระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงาน การบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด และการขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามแผนแม่บทฯ |
หมายเหตุ * ด้านที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คือ ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมของเมือง กรอบแผนงานที่ 1.1 การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วมและบำบัดน้ำเสีย
5. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2560 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่อง การดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากรเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกลำน้ำสาธารณะโดยให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องทำการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นชอบ
11. เรื่อง การเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเสนอดังนี้
1. เห็นชอบเอกสารนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพ ภายใต้ชื่อ The Ancient Town of Si Thep เพื่อบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก
2. เห็นชอบเอกสารนำเสนอกลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด ภายใต้ชื่อ Ensemble of Phanom Rung, Muang Tam and Plai Bat Sanctuaries เพื่อบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก
3. เห็นชอบให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกลงนามในหนังสือถึงศูนย์มรดกโลกเพื่อนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพ และกลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด เพื่อบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก
4. รับทราบการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม และแหล่งมรดกทางธรรมชาติ เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของการเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมทั้งสองแหล่งเพื่อบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก สรุปได้ ดังนี้
1. เมืองโบราณศรีเทพ นำเสนอต่อศูนย์มรดกโลกในชื่อ The Ancient Town of Si Thep ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ดำเนินการจัดทำเอกสารการนำเสนอโดยกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเมืองที่มีคูเมืองกำแพงเมืองล้อมรอบ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย เมืองในและเมืองนอก มีพื้นที่ประมาณ 4.7 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตพื้นที่รอยต่อทางวัฒนธรรมสำคัญ 2 แห่ง ได้แก่ “แอ่งวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำลพบุรี – ป่าสัก” และเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน กับ “แอ่งอารยธรรมอีสาน” ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงเครือข่ายการแลกเปลี่ยนสินค้าและเส้นทางการค้าระหว่างพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มี ความสำคัญมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงวัฒนธรรมเขมรโบราณ ปรากฏหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้าในระหว่างภูมิภาคระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับ ชุมชนภายนอกโดยเฉพาะอินเดียว่าเป็นกลุ่มแรก ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากการขยายวัฒนธรรมของอินเดีย อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม และมีพัฒนาการขึ้นเป็นบ้านเมืองที่มีความสำคัญโดดเด่นในสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ด้าน วัฒนธรรมเมืองโบราณศรีเทพตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รอยต่อระหว่างวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาแบบ ทวารวดีจากภาคกลางของประเทศไทย และวัฒนธรรมเขมรสมัยก่อนเมืองพระนครที่เกี่ยวเนื่องกับ ศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาแบบมหายานจึงมีบทบาทสำคัญทั้งการรับและส่งผ่านวัฒนธรรมดังกล่าว และผสมผสานวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องเข้าด้วยกัน หรือส่งผ่านไปยังบ้านเมืองอื่นต่อไป และมีการสร้างสรรค์ผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปกรรมเนื่องในศาสนา ซึ่งมี เอกลักษณ์เฉพาะตนแตกต่างไปจากงานศิลปกรรมร่วมสมัย แสดงออกถึงภูมิปัญญา ความรู้ และความเชี่ยวชาญในฝีมือช่างที่พัฒนาขึ้นจนมีรูปแบบเฉพาะของตนเองโดยเฉพาะงานประติมากรรมนี้ ศาสตราจารย์ ซอง บวสเซลิเยร์ (Jean Boisselier) เรียกว่า “สกุลช่างศรีเทพ” โดยนำเสนอเพื่อขอบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลกด้วยหลักเกณฑ์คุณค่า ความโดดเด่นอันเป็นสากล จำนวน 2 เกณฑ์ ได้แก่
(1) หลักเกณฑ์ข้อที่ 2 เมืองโบราณสำคัญในเส้นทางเครือข่ายทางการค้าและวัฒนธรรมสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาในการเลือกสรรชัยภูมิที่ตั้งอันเป็นจุดเชื่อมโยงผสมผสานการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนสินค้าภายในและระหว่างภูมิภาค ที่มีพัฒนามาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ทวารวดี และวัฒนธรรมเขมรโบราณ
(2) หลักเกณฑ์ข้อที่ 3 เป็นแหล่งวัฒนธรรมที่มีความสำคัญโดดเด่น ในพื้นที่ศูนย์กลางภูมิภาคตอนในของประเทศไทย แสดงถึงภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์และผสมผสานงานศิลปกรรมทางพุทธศาสนาเถรวาท มหายาน และศาสนาฮินดู จนมีเอกลักษณ์รูปแบบเฉพาะสกุลช่างของตนเอง
ทั้งนี้ ได้มีการเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันและโบราณสถานต่างๆ ได้แก่ ศาสนสถานมิเซิน ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนสถานในภาคกลางของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม กลุ่มเมืองโบราณ ปยุ (Pyu Ancient Cities, Myanmar) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และแหล่งโบราณคดีสมโบร์ไพรกุก ราชอาณาจักรกัมพูชา
2. กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด นำเสนอต่อศูนย์มรดกโลกในชื่อ Ensemble of Phanom Rung, Muang Tam and Plai Bat Sanctuaries ดำเนินการจัดทำเอกสาร การนำเสนอโดยกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ประกอบด้วยโบราณสถาน 3 แห่ง สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
(1) ปราสาทพนมรุ้ง หรือวนัมรุง เป็นปราสาทหินทรายสีชมพู ตั้งอยู่บนยอดเขาใกล้กับปล่องของภูเขาไฟเก่าที่ดับแล้ว ในแนวเทือกเขาพนมดงรัก อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวในโลก ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างหลายสมัยที่สามารถกำหนดอายุได้จากรูปแบบศิลปกรรมและศิลาจารึก มีวัตถุประสงค์การสร้างเพื่อเป็นเทวาลัยของพระศิวะ ลัทธิไศวนิกาย เสมือนเป็นที่ประทับบนยอดเขาไกรลาศ องค์ประกอบของสิ่งก่อสร้างถูกออกแบบให้วางตามแกนทิศ เริ่มจากชั้นฐานล่างสุดพุ่งขึ้นสู่จุดศูนย์กลาง เบื้องบนคือปราสาทประธาน ปราสาทประธานและซุ้มโคปุระของกำแพงแก้วและระเบียงคตถูกกำหนดให้อยู่ในตำแหน่งที่สมมาตรตรงกันทั้งสี่ทิศ รูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของปราสาทประธานแสดงให้เห็นถึงทั้งความแข็งแกร่งของโครงสร้างอาคารที่มีลักษณะการก่อเรียงซ้อนกันขึ้นไปโดยใช้น้ำหนักหินกดทับกันเอง มีการก่อหินเหลื่อมจนจรดกันตรงกลางเกิดเป็นวงโค้งหลังคา และความละเอียดประณีตจากลวดลายจำหลักภาพ เล่าเรื่องราวรามายณะและมหาภารตะที่ปรากฏบนทับหลังและหน้าบันลักษณะเด่นเฉพาะที่ไม่เหมือนใครในการออกแบบศาสนสถาน โดยสามารถดึงประโยชน์จากชัยภูมิที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อันเป็นยอดเขามาประกอบเข้ากับคติทางศาสนา ด้วยภูมิปัญญาในด้านสถาปัตยกรรมและดาราศาสตร์ ในการกำหนดวางช่องประตูให้ตั้งตรงกันจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกรวม 15 ช่องประตู เพื่อให้เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้นตรงช่องประตูส่องกระทบศิวลึงค์ที่ตั้งเป็นประธานอยู่ในห้องกลางของปราสาท จำนวน 4 ครั้ง ใน 1 ปี คือพระอาทิตย์ขึ้นตรงช่องประตู 2 ครั้งในเดือนเมษายนและกันยายน พระอาทิตย์ตกตรงช่องประตู 2 ครั้ง ในเดือนมีนาคมและตุลาคม
(2) ปราสาทเมืองต่ำ เป็นเทวสถานลัทธิไศวะนิกาย ตั้งอยู่บนที่ราบห่างจากเขาพนมรุ้งมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 8 กิโลเมตร เป็นปราสาทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในด้านการวางผังที่สวยงาม สมดุล และมีลวดลายภาพสลักที่งดงามประณีต แผนผังปราสาทเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ก่อล้อมด้วยกำแพงสร้างจากศิลาแลง มีโคปุระตั้งอยู่ที่กึ่งกลางกำแพงทั้งสี่ทิศ ลานด้านในประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างที่ได้สัดส่วนงดงาม มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือสระน้ำรูปตัวแอลที่ตั้งอยู่อย่างสมมาตรที่มุม ทั้งสี่ด้าน โดยแต่ละมุมของสระประดับด้วยเศียรนาค 5 เศียร ที่ไม่มีเครื่องประดับศีรษะ ลำตัวทอดยาวเป็นขอบสระ แต่ละสระแยกออกจากกันด้วยทางเดินที่นำเข้าสู่ลานชั้นในทั้ง 4 ทิศ อันเป็นที่ตั้งของปราสาทอิฐ 5 หลัง ตั้งเรียงกันเป็น 2 แถว อยู่บนฐานเดียวกัน ซึ่งทำให้ดูเหมือนประหนึ่งมีสายน้ำล้อมรอบเกาะ มีการวิเคราะห์รูปแบบตัวอักษรจากจารึกซึ่งพบในบริเวณปราสาทเมืองต่ำ จากการดำเนินงานทางโบราณคดีและการอนุรักษ์โบราณสถาน ทำให้สามารถกำหนดอายุปราสาทเมืองต่ำอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16
(3) ปราสาทเขาปลายบัด 1 และ 2 ตั้งอยู่บนเขาปลายบัด ซึ่งเป็นภูเขาไฟลูกโดดที่ดับแล้วเช่นเดียวกับเขาพนมรุ้ง มีการก่อสร้างปราสาท 2 หลัง คือ ปราสาทปลายบัด 1 อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขา และปราสาทปลายบัด 2 อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขา จากการดำเนินงาน ทางโบราณคดีและการบินสำรวจด้วยเทคโนโลยีสำรวจงานภูมิศาสตร์ (Light Detection and Ranging - Lidar) ทำให้ได้ข้อมูลความสูงของพื้นผิว ภูมิประเทศ พบหลักฐานปราสาทปลายบัดมีรูปแบบการวางแผนผังตามแกนทิศ พุ่งขึ้นสู่ศูนย์กลางเช่นเดียวกับปราสาทพนมรุ้ง โดยมีฉนวนทางเดินทอดยาวมาทางทิศตะวันออก และมีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เชิงเขาในลักษณะเดียวกับปราสาทพนมรุ้ง และจากการขุดแต่งทางโบราณคดีพบว่า ตัวปราสาทปลายบัด 1 มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับปรางค์น้อยที่ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธานปราสาทพนมรุ้ง
โดยมีการนำเสนอเพื่อขอบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลกด้วยหลักเกณฑ์คุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากล จำนวน 3 เกณฑ์ ได้แก่
(1) หลักเกณฑ์ข้อที่ 3 เป็นประจักษ์พยานเพียงหนึ่งเดียวหรืออย่างน้อยมีลักษณะพิเศษของการสืบทอดทางวัฒนธรรม หรือของอารยธรรมที่ดำรงต่อเนื่องอยู่หรือที่สูญหายไปแล้ว
(2) หลักเกณฑ์ข้อที่ 4 เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างกลุ่มสถาปัตยกรรมหรือกลุ่มเทคโนโลยี หรือลักษณะภูมิประเทศของภูมิทัศน์ซึ่งแสดงถึงช่วงเวลาที่สำคัญช่วงหนึ่งหรือหลายช่วงในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
(3) หลักเกณฑ์ข้อที่ 5 เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ การใช้พื้นที่ทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งเป็นตัวแทนของวัฒนธรรม หรือปฏิสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งเหล่านั้นเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา
ทั้งนี้ ได้มีการเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันและโบราณสถานต่าง ๆ ได้แก่ ปราสาทวัดภู และการตั้งถิ่นฐานสมัยโบราณที่เกี่ยวข้องในเขตพื้นที่ภูมิทัศน์วัฒนธรรมนครจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และปราสาทพระวิหารราชอาณาจักรกัมพูชา
ต่างประเทศ
12. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (สศส.) ดำเนินการประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (นางอรรชกา สีบุญเรือง) ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในนามของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และมอบหมายให้ กต.จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เสนอ
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศในด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดความเข้าใจและการมีส่วนร่วมระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศในด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยมีสาขาความร่วมมือ 19 สาขา และสาขาอื่น ๆ ดังนี้ (1) การโฆษณา (2) สถาปัตยกรรม (3) เนื้อหาสำหรับการออกอากาศ (4) งานฝีมือ (5) วัฒนธรรมการประกอบอาหาร (6) เนื้อหาดิจิทัล (7) แฟชั่น (8) ภาพยนตร์ (9) แอนิเมชัน (10) การออกแบบตกแต่งภายใน (11) การออกแบบผลิตภัณฑ์ (12) การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ (13) การออกแบบการสื่อสารด้วยภาพ (14) ศิลปกรรม (15) วิดีโอเกม รวมถึงเกมคอนโซล เกมพีซี และเกมบนมือถือ (16) ดนตรี (17) ศิลปะการแสดง (18) สิ่งพิมพ์ (19) การถ่ายภาพ และ (20) สาขาอื่นๆ ที่คู่ภาคีทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีความร่วมมือ โดยมีรูปแบบความร่วมมือ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลโครงการ การศึกษา ข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัยตลาด การฝึกอบรม การแบ่งปันประสบการณ์ในการพัฒนารูปแบบการจัดหาเงินทุน ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีในการพัฒนาศิลปะการแสดงที่เกี่ยวข้อง การจัดแสดงผลงานและเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเพื่อการตลาด เป็นต้น
ทั้งนี้การจัดทำบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในระดับรัฐบาลและระดับประชาชนของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ การดำเนินความร่วมมือดังกล่าวยังเป็นช่องทางให้ไทยได้ขยายความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ใหม่ในภาคธุรกิจของไทย และยกระดับบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศด้วย
13. เรื่อง การเสนอร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย องค์กรลูกจ้าง องค์กรนายจ้างและองค์การแรงงานระหว่างประเทศ เรื่อง แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย พ.ศ. 2562 – 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย องค์กรลูกจ้าง องค์กรนายจ้าง และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ เรื่อง แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย พ.ศ. 2562 – 2564 และร่างแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย พ.ศ. 2562 – 2564 โดยหากจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย องค์กรลูกจ้าง องค์กรนายจ้างและองค์การแรงงานระหว่างประเทศ เรื่อง แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย พ.ศ. 2562 – 2564 ในฐานะรัฐบาลไทย ร่วมกับผู้แทนองค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง และ ILO และเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2562 เรื่อง (ร่าง) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ตามความจำเป็นเร่งด่วนของเรื่อง ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า (Decent Work Country Program - DWCP) คือ กรอบความร่วมมือที่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization -ILO) จัดทำร่วมกับประเทศสมาชิกเพื่อใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนประเทศสมาชิก โดยการวางกลยุทธ์แนวทางและเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจนและสอดรับกับบริบทและวาระเร่งด่วนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมการทำงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน (Promotion of Decent Work for All) ทั้งนี้ DWCP ของประเทศไทย ได้ผ่านกระบวนการหารือระหว่างไตรภาคีในประเทศไทย (กระทรวงแรงงาน ผู้แทนองค์กรนายจ้างและองค์กรลูกจ้าง) และ ILO ประกอบด้วย ความสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ความสำคัญที่ 1 : ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของการจ้างงานที่ดีและมีประสิทธิผล ความสำคัญที่ 2 : สร้างความเข้มแข็งในการคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่เปราะบาง และความสำคัญที่ 3 : เสริมสร้างการกำกับดูแลตลาดแรงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ
2. ขั้นตอนสุดท้ายของการจัดทำ DWCP จะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ร่วมกัน 4 ฝ่าย ได้แก่ รัฐบาล ผู้แทนองค์กรนายจ้าง ผู้แทนองค์กรลูกจ้าง และผู้แทน ILO เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย DWCP โดยกระทรวงแรงงานจะจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ พร้อมทั้งเปิดตัว DWCP ในวันที่ 11 เมษายน 2562 ระหว่างการถ่ายทอดสดงานเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 100 ปี องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ของประเทศไทย
14. เรื่อง ขออนุมัติแผนเตรียมความพร้อมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรของประเทศไทยเป็นวาระแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีเห็นชอบแผนเตรียมความพร้อมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรของประเทศไทยเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคเร่งด่วน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 53,604,900 บาท เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมปศุสัตว์ดำเนินการตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2560 รวมถึงขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
แผนเตรียมความพร้อมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในประเทศไทย แบ่งการดำเนินการ 2 ส่วน ดังนี้
1. โครงสร้างการบริหารจัดการและขับเคลื่อนมาตรการ จัดให้มีคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรแห่งชาติ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมปศุสัตว์เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยคณะกรรมการประกอบไปด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคสหกรณ์ผู้เลี้ยงสัตว์ และภาคเอกชน
2. แผนการดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 ระยะ
2.1 ระยะก่อนเผชิญเหตุการณ์ระบาด เป็นการดำเนินการเฝ้าระวัง เตือนภัย ป้องกันโรค และเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เพื่อป้องกันและลดความเสียหายหากมีโรคระบาดเกิดขึ้น
2.2 ระยะเผชิญเหตุการณ์ระบาด การตอบสนองในภาวะฉุกเฉินเมื่อมีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร โดยการจัดการควบคุมโรคที่เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน เพื่อเผชิญเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลดความสูญเสียจากการแพร่กระจายของโรคที่จะมีต่อทรัพย์สินของเกษตรกรและลดผลกระทบจากการระบาดของโรคให้น้อยที่สุด
2.3 ระยะภายหลังเผชิญเหตุการณ์ระบาด เป็นการดำเนินการฟื้นฟูเพื่อปรับสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรและผู้ที่ได้รับผลกระทบให้กลับสู่ภาวะปกติ หรือพัฒนาให้ดีกว่าและปลอดภัยกว่าเดิม ลดปัญหาการเกิดโรคอุบัติซ้ำ โดยการนำปัจจัยในการลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมาใช้ในการฟื้นฟู
โดยประกอบด้วย 8 มาตรการ คือ การบริหารจัดการและขับเคลื่อน การป้องกันโรคเข้าประเทศเชิงบูรณาการ การเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรคของฟาร์ม การเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังโรค การพัฒนาการตรวจวินิจฉัยและสร้างเครือข่ายทางห้องปฏิบัติการ การพัฒนาการควบคุมโรค การเพิ่มศักยภาพในการสื่อสารความเสี่ยง และการจัดการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร
ทั้งนี้ หากกรณีที่ประเทศไทยมีระบบการป้องกันโรคที่ดี รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้มีระบบการทำลายสุกรที่เป็นโรคและซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาดเป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคในประเทศได้ จะเป็นโอกาสทางธุรกิจเนื่องจากความต้องการสุกรของสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และราชอาณาจักรกัมพูชา เพิ่มสูงขึ้น
แต่งตั้ง
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอแต่งตั้ง นายภูมิวิศาล เกษมศุข ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
16. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
1. รับทราบกรณี รองศาสตราจารย์บัณฑิต ทิพากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในคณะกรรมการสภาการศึกษา พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากลาออก
2. เห็นชอบแต่งตั้ง ศาสตราจารย์อำนาจ วงศ์บัณฑิต เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2562 เป็นต้นไป และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสภาการศึกษาในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
17. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ จำนวน 8 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ
1. พลตำรวจตรี ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ (เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค)
2. นางภานุมาศ สิทธิเวคิน [กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)]
3. นางปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล (รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)
4. นางปิยนุช วุฒิสอน (เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)
ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน
1. นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ (รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย)
2. รองศาสตราจารย์นิพิฐ พิรเวช (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านระบบบริการสุขภาพสมาคมเวชสารสนเทศไทย)
3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนวรรธน์ พลวิชัย (รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย)
4. นางศิริรัตน์ เด่นวรพงษาสุข (กรรมการสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2562 เป็นต้นไป และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี