17 เม.ย.62 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างระเบียบฯ ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พ.ศ. 2552 เพื่อให้สอดคล้องกับการโอนภารกิจของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จากสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไปสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย มาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2559 อันจะทำให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีความต่อเนื่องในการปฏิบัติภารกิจเตือนภัยพิบัติของประเทศ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการ
2. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการคนที่หนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นรองประธานกรรมการคนที่สอง และเพิ่มเติมให้ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นกรรมการ และกำหนดให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
3. กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ครบกำหนดตามวาระ อยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคนใหม่
4. กำหนดให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ โดยมีหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทาง นโยบาย มาตรการ และแผนการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เสนอต่อคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ประสานงานกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในการจัดเตรียมแนวทาง นโยบาย มาตรการ และแผนการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และประสานกับหน่วยงานราชการในการศึกษา วิเคราะห์ และวิจัยปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
5. ในกรณีที่ต้องใช้เงินงบประมาณ เงินกู้ หรือความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขอทำความตกลงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนด้านการเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดตามความเหมาะสม
6. เพื่อประโยชน์ในการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีอาจมีคำสั่งให้ข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการอื่น หรือคณะรัฐมนตรีอาจมีมติให้พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐไปช่วยปฏิบัติงานเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ โดยถือว่าเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงานตามปกติ
7. กำหนดให้หน่วยงานราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
2. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (การยกเว้นอากรขาเข้ายาในกลุ่มยากำพร้า)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (การยกเว้นอากรขาเข้ายาในกลุ่มยากำพร้า) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและ ร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย กค. เสนอว่า
1. ได้มีประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง บัญชีรายการยากำพร้า พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2561 โดยประกาศดังกล่าวได้กำหนดรายการยากำพร้า ซึ่งเป็นยาที่จำเป็นต่อการให้บริการแก่ผู้ป่วย ใช้เพื่อวินิจฉัย บรรเทา บำบัด ป้องกัน หรือรักษาโรคที่พบได้น้อย หรือโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรง หรือโรคที่ก่อให้เกิดความทุพพลภาพอย่างต่อเนื่อง หรือยาที่มีอัตราการใช้ต่ำ รวม 75 รายการ โดยปัจจุบันมีจำหน่ายในประเทศ รวม 47 รายการ เช่น Hydralazine Labetalol (รักษาความดันโลหิตสูง และภาวะหัวใจวาย) โดยเป็นยาที่มีทะเบียนตำรับยา รวม 36 รายการ เช่น Ampicillin (ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย) Digoxin (รักษาภาวะหัวใจวายหรือเต้นผิดปกติ) ไม่มีทะเบียนตำรับยา รวม 11 รายการ เช่น Diphenhydramine (บรรเทาอาการแพ้) Phenol (บรรเทาอาการเจ็บคอ เจ็บช่องปาก และแผลร้อนใน) และไม่มีจำหน่ายในประเทศรวม 28 รายการ เช่น Pyrimethamine (ป้องกันโรคมาลาเรีย) Metyrapone (วินิจฉัยการทำงานของต่อมหมวกไต)
2. กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า ยากำพร้าส่วนใหญ่ไม่มีผลิตในประเทศ เนื่องจากไม่คุ้มกับการลงทุน ทำให้ประสบกับปัญหาการขาดแคลน และไม่มียาอื่นมาใช้ทดแทน หรือยากำพร้าบางรายการมีราคาที่สูงมาก ทำให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงยาได้ยาก ทั้งนี้ ในปี 2560 มีมูลค่าการนำเข้ายากำพร้าที่มีทะเบียนตำรับยาประมาณ 186 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้มีการขึ้นทะเบียนตำรับยากำพร้าและนำเข้ายากำพร้าที่มีความจำเป็นและไม่มีผลิตในประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้สามารถเข้าถึงยากำพร้าได้มากขึ้น จึงเห็นควรยกเว้นอากรขาเข้ายาในกลุ่มยากำพร้า เพื่อส่งเสริมให้มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาและมีการนำเข้ายาดังกล่าวที่มีความจำเป็นและไม่มีผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้สามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น กล่าวคือยกเว้นอากรขาเข้าผลิตภัณฑ์ยารักษาหรือป้องกันโรคในตอนที่ 30 เฉพาะที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และระบุ (P) ต่อท้ายในเลขทะเบียนตำรับยา เว้นแต่ยาที่มีการผลิตในประเทศ 11 รายการ
3. กค. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับ ตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งการยกเว้นอากรขาเข้ายาในกลุ่มยากำพร้า จะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐประมาณ 20 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การยกเว้นอากรขาเข้ายาในกลุ่มยากำพร้าจะเป็นการส่งเสริมให้มีการจดทะเบียนตำรับยาและมีการนำเข้ายากำพร้าที่มีความจำเป็นและไม่มีผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ประชาชนสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและพัฒนายาในประเทศ
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ยกเว้นอากรขาเข้าผลิตภัณฑ์ยารักษาหรือป้องกันโรค ตอนที่ 30 ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม ของบัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 เฉพาะที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และระบุ (P) ต่อท้ายในเลขทะเบียนตำรับยา เว้นแต่ยาที่มีการผลิตในประเทศ รวม 11 รายการ
เศรษฐกิจ - สังคม
3. เรื่อง โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) วงเงินลงทุนรวม 21,795.941 ล้านบาท ทั้งนี้ ทอท. จะสามารถลงนามผูกพันในสัญญาก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการ หรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (Environmental Health Impact Assessment: EHIA) ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) แล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีทางวิ่ง 2 เส้น คือ ทางวิ่งฝั่งตะวันตก ความยาว 3,700 เมตร (ด้านพื้นที่คลังสินค้า) และทางวิ่งฝั่งตะวันออก ความยาว 4,000 เมตร โดยทางวิ่งทั้งสองเส้นตั้งอยู่ในแนวขนานกัน มีระยะห่างประมาณ 2,200 เมตร มีขีดความสามารถรองรับเที่ยวบินได้รวม 64 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ซึ่งแม้จะยังมีศักยภาพเพียงพอรองรับปริมาณการจราจรในชั่วโมงคับคั่งในปัจจุบันที่มีประมาณ 63 เที่ยวบินต่อชั่วโมงได้ แต่ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือจำเป็นต้องมีการปิดซ่อมบำรุงทางวิ่งเส้นใดเส้นหนึ่งจะทำให้ความสามารถในการรองรับเที่ยวบินขึ้น – ลง ลดลงเหลือ 34 เที่ยวบินต่อชั่วโมง (ลดลงประมาณร้อยละ 50) นอกจากนี้ เที่ยวบินขนส่งสินค้าบางเที่ยวบินจำเป็นต้องไปใช้ทางวิ่งฝั่งตะวันออกสำหรับวิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นทางวิ่งที่มีความยาวมากกว่าจึงรองรับเที่ยวบินที่มีน้ำหนักบรรทุกมากได้ ในขณะที่อาคารคลังสินค้าตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกทำให้เครื่องบินขนส่งสินค้าต้องขับเคลื่อนเป็นระยะทางไกลเพื่อขึ้นบินทำให้สิ้นเปลืองเวลาและเชื้อเพลิง และยังเป็นการเพิ่มความหนาแน่นบนทางเชื่อมทางวิ่งทั้งสองเส้นด้วย
2. โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นการก่อสร้างทางวิ่งทางฝั่งตะวันตก (ฝั่งเดียวกับอาคารคลังสินค้าและทางวิ่งฝั่งตะวันตกความยาว 3,700 เมตร) มีความกว้าง 60 เมตร และความยาว 4,000 เมตร ขนานไปกับทางวิ่งฝั่งตะวันตก โดยโครงการฯ จะรวมถึงการจัดหาระบบเครื่องช่วยเดินอากาศยาน การก่อสร้างระบบระบายน้ำ และสถานีกู้ภัยและดับเพลิง รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโครงการนี้จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และรองรับการปิดทางวิ่งเพื่อซ่อมบำรุงหรือในกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งยังอำนวยความสะดวกให้แก่เที่ยวบินขนสินค้าด้วย ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2565 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (27 มีนาคม 2558) รับทราบแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมคาดว่า จะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในปี 2562 และคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564
3. กระทรวงคมนาคมแจ้งว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้เสนอโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีกรอบวงเงินลงทุนรวม 22,418.253 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงค่างานก่อสร้างทางวิ่งและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการชดเชยให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากมลภาวะ ทางเสียง
อย่างไรก็ตาม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นควรปรับลดวงเงินค่างานก่อสร้างส่วนต่อขยาย Taxiway B2 วงเงินรวม 622.311 ล้านบาท (รวมการประหยัดค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ร้อยละ 3 สำรองราคาเปลี่ยนแปลง ร้อยละ 10 และภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 7) เนื่องจากเป็น การพัฒนาขีดความสามารถของทางขับเพื่อรองรับการใช้งานลานจอดอากาศยานประชิดอาคารของอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ทอท. ทำให้วงเงินลงทุนของโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปรับลดลงจาก 22,418.253 ล้านบาท เป็น 21,795.941 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
4. เรื่อง (ร่าง) Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง) Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ปรับปรุง (ร่าง) Roadmap ดังกล่าว และจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2562 [เรื่อง (ร่าง) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ] ก่อนเสนอไปยังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้เดิมนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ว่า ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการลดการใช้วัสดุที่ผลิตขึ้นจากพลาสติก รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการจูงใจสำหรับบริษัท ห้างร้าน และสถานประกอบการต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณการใช้วัสดุที่ผลิตจากพลาสติกอีกทางหนึ่งด้วย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้จัดทำ (ร่าง) Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 [(ร่าง) Roadmap] ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว เพื่อใช้เป็นกรอบนโยบายการบริหารจัดการขยะพลาสติกในภาพรวมของประเทศ และเป็นกรอบแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการ ด้านการจัดการขยะพลาสติกแบบบูรณาการของหน่วยงาน โดย (ร่าง) Roadmap ได้ตั้งเป้าหมายในการลดและเลิกใช้พลาสติก บางประเภทภายในปี พ.ศ. 2562 เช่น พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม ด้วยการใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม และเลิกใช้พลาสติกประเภทถุงพลาสติกหูหิ้ว กล่องโฟมบรรจุอาหาร แก้วพลาสติก (แบบบางใช้ครั้งเดียว) และหลอดพลาสติกภายในปี พ.ศ. 2565 รวมทั้งมีการกำหนดหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานตาม (ร่าง) Roadmap ในทุกภาคส่วน ตลอดจนมีการกำหนดกลไกต่าง ๆ ในการขับเคลื่อน เช่น สร้างความรู้ ความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความร่วมมือการดำเนินงานรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น
5. เรื่อง แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจตามตัวชี้วัดการพัฒนาการได้รับสินเชื่อ (Getting Credit) ของการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก (Ease of Doing Business)
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจตามตัวชี้วัดการพัฒนาการได้รับสินเชื่อ (Getting Credit) ของการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก (Ease of Doing Business) ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. ให้กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงฐานข้อมูลการจดทะเบียนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเข้าด้วยกัน โดยใช้ระบบที่เหมาะสม เพื่อให้ฐานข้อมูลทะเบียนทรัพย์สินมีความครบถ้วน ทันสมัย และสามารถสืบค้นได้ ณ ที่เดียว รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
2. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) (กรมบังคับคดี) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ดำเนินการศึกษากฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจทั้งระบบ เพื่อพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันของประเทศไทย ให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้ดำเนินการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยเคร่งครัด เพื่อให้กฎหมายเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรายงานว่า
1. ในการประชุมเพื่อรายงานผลการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับ การประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ที่ประชุมมีมติให้เร่งรัด การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจ โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป อันจะส่งผลดีต่อการจัดอันดับของประเทศไทยในรายงาน Doing Business ของธนาคารโลก และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
2. สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กค. (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) พณ. (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ยธ. (กรมบังคับคดี) สคก. สมาคมธนาคารไทย สมาคมลีสซิ่งไทย สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย และธนาคารโลกประจำประเทศไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการเร่งรัดการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจ โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้
2.1 สืบเนื่องจากสิทธิในหลักประกันตามระบบกฎหมายไทยในปัจจุบันเป็นไปตามกฎหมายหลายฉบับ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. 2514 พระราชบัญญัติการจำนองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล พ.ศ. 2527 พระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ. 2481 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เป็นต้น ธนาคารโลกจึงเสนอให้ประเทศไทยปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ซึ่งผู้แทนธนาคารโลกประจำประเทศไทยชี้แจงว่า หากประเทศไทยสามารถดำเนินการตามข้อแนะนำของธนาคารโลกได้ ก็จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ธนาคารโลกมิได้ประสงค์ที่จะแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย และตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการเพราะ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อทุกภาคส่วน และต้องดำเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบ
2.2 ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า การพัฒนาระบบกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันของไทยเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่โดยที่มีผลกระทบมากจึงต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบไปพร้อม ๆ กับ การสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่สังคม อย่างไรก็ดี หากมิได้มีการปรับปรุงระบบหลักประกันทางธุรกิจตามข้อแนะนำของธนาคารโลก การอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจก็จะเป็นไปได้ยาก และจะส่งผลกระทบ ต่อความยากง่ายในการประกอบธุรกิจและการแข่งขันของประเทศโดยรวม ดังนั้น ที่ประชุมจึงเห็นควรดำเนินการ 2 ประเด็นควบคู่กันไปเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้
2.2.1 ประเด็นที่ 1 เป็นการดำเนินการระยะสั้น (ภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบัน)
ปัจจุบันการตรวจสอบสิทธิในหลักประกันเป็นไปได้ยาก เนื่องจากระบบของแต่ละหน่วยงานไม่เชื่อมโยงกัน ดังนั้น หากสามารถเชื่อมโยงการตรวจสอบสิทธิในหลักประกันได้ การมีกฎหมายหลายฉบับก็อาจไม่เป็นปัญหา ที่ประชุมจึงเห็นควรให้หน่วยงานที่มีระบบจดทะเบียนทรัพย์สิน [ได้แก่ พณ. กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และ กระทรวงคมนาคม (คค.)] ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิในหลักประกันของสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท (การจำนอง ลีสซิ่ง/เช่าซื้อ การนำบัญชีลูกหนี้ไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ และการขายแบบหน่วงกรรมสิทธิ์1) ร่วมกันเชื่อมโยงฐานข้อมูลการจดทะเบียนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเข้าด้วยกัน โดยอาจใช้ระบบ Blockchain2 หรือระบบอื่นใดที่เหมาะสม เพื่อให้ฐานข้อมูลทะเบียนทรัพย์สินมีความครบถ้วน ทันสมัย และสามารถสืบค้นได้ ณ ที่เดียว ทั้งนี้ เห็นสมควรมอบหมายให้ กค. (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) และ สพร. เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวและกำหนดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
2.2.2 ประเด็นที่ 2 เป็นการดำเนินการระยะกลาง (ภายใน 3 ปี)
ให้ กค. (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พณ. (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ยธ. (กรมบังคับคดี) สคก. และภาคเอกชน ดำเนินการศึกษากฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจทั้งระบบ เพื่อพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันของประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบท ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยดำเนินการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยเคร่งครัด เพื่อให้กฎหมายเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ การมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการปรับปรุงเกี่ยวกับระบบหลักประกันทางธุรกิจของประเทศไทยข้างต้นจะมีผลต่อการประเมินเพื่อจัดอันดับความยาก – ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกในรอบต่อไป (Ease of Doing Business 2021) การดำเนินการดังกล่าวจึงต้องมีผลในทางปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 – 30 เมษายน 2563
-----------------------------
1 การขายแบบหน่วงกรรมสิทธิ์คือ กรณีที่ผู้ขายสงวนกรรมสิทธิ์ในสินค้าไว้และจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อดำเนินการตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน เช่น ผู้ขายจะสงวนกรรมสิทธิ์ของสินค้าไว้จนกว่าผู้ซื้อจะชำระค่าสินค้าครบตามจำนวนที่ตกลงกัน
2 Blockchain คือ เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology) โดยทุกข้อมูลจะมีการเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ซึ่งผู้ใช้งานจะได้เห็นข้อมูลชุดเดียวกันทั้งหมด และเมื่อมีการเพิ่มเติมข้อมูล/รายการธุรกรรมใหม่ก็จะต้องรับรู้กันทั้งระบบ โดยเป็นรูปแบบการบันทึกข้อมูลที่รับประกันความปลอดภัยว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกไปก่อนหน้านั้น จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ เพื่อเป็นการสร้างกลไกความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยี Blockchain ในภาครัฐ เช่น (1) ประเทศอังกฤษได้นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการจ่ายเงินสวัสดิการภาครัฐต่าง ๆ โดยประชาชนจะได้รับเงินโดยตรงผ่านทาง Digital Wallet ของประชาชน ซึ่งช่วยลดค่าธรรมเนียมธนาคารและลดโอกาสในการทุจริตจากหน่วยงานท้องถิ่นลงได้ (2) ประเทศเอสโตเนียได้นำเทคโนโลยี Blockchain และบริการดิจิทัลมาใช้ในการบริการภาครัฐเกือบทุกประเภท เช่น ระบบภาษีออนไลน์ และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ และ (3) ประเทศญี่ปุ่นได้นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในกระบวนงานจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ในส่วนของข้อเสนอที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลการจดทะเบียนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเข้าด้วยกันนั้น กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) มีความเหมาะสมในการเป็นหน่วยงานหลักเพื่อดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับการนำทรัพย์สินมาเป็นหลักประกันอยู่แล้ว แต่โดยที่พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 4 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัติฯ เนื่องจากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ในขณะนั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัติฯ จาก “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม” เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” เนื่องจากการให้หลักประกันการชำระหนี้ตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการให้หลักประกันการขอสินเชื่อจากการประกอบธุรกิจจึงเป็นการให้สินเชื่อรูปแบบหนึ่ง ซึ่งกระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังของแผ่นดินและเป็นผู้ดูแลสินเชื่อในภาพรวม ดังนั้น กรณีนี้คณะรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงการคลัง สพร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงฐานข้อมูลการจดทะเบียนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเข้าด้วยกัน ตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ต่างประเทศ
6. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้นำโต๊ะกลมของการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้นำโต๊ะกลมของการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 ( Joint Communiqué of the Leaders’ Roundtable of the 2nd Belt and Road Forum for International Cooperation) โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรอง ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้นำโต๊ะกลมของการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศที่เข้าร่วมการประชุมจำนวน 38 ประเทศ โดยมุ่งเน้นความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง ความยั่งยืน ความสัมพันธ์ระดับประชาชน บนพื้นฐานของการเปิดกว้างและครอบคลุม ความโปร่งใส การได้ประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย การรักษาสิ่งแวดล้อม การมีประชาชนเป็นศูนย์กลางและการเคารพกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยกำหนดทิศทางความร่วมมือภายใต้กรอบสายแถบและเส้นทาง (BRI) ใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ความเชื่อมโยงทางนโยบาย อาทิ กรอบความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาคและโลก การอำนวยความสะดวกในด้านการค้าการลงทุน ศุลกากร ภาษี ดิจิทัล และ ความร่วมมือทางทะเล (2) ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทุกมิติ โดยมุ่งเน้นโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งทางอากาศ บก และน้ำ การเข้าถึงประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ดิจิทัล และการเงิน (3) การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานสะอาด และการต่อต้านการทุจริต (4) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของความร่วมมือให้ปฏิบัติได้จริงและมีผลลัพธ์ ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และโครงการความร่วมมือทางการเงิน เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำ และกฎหมาย และ (5) การพัฒนาการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนในมิติ ต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษา วัฒนธรรม เยาวชน นักวิชาการ และสื่อ
ทั้งนี้ การประชุมผู้นำโต๊ะกลมของการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 (Joint Communiqué of the Leaders’ Roundtable of the 2nd Belt and Road Forum for International Cooperation) จะมีการรับรองโดยที่ประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 27 เมษายน 2562 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
7. เรื่อง การจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับปี พ.ศ. 2562 -2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับปี พ.ศ. 2562 -2564 ภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2544 และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนอื่นที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมและ การท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับปี พ.ศ. 2562 – 2564 ทั้งนี้ หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของแผนปฏิบัติการดังกล่าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมฯ มุ่งเน้นความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นคณะผู้แทนรัฐบาลด้านวัฒนธรรม บุคลากรและเจ้าหน้าที่ทางด้านวัฒนธรรม ศิลปิน และบุคคลที่มีบทบาทในด้านศิลปะและวัฒนธรรมทั้งจากภาครัฐและเอกชน ผ่านความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างกันในสาขาทางด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ การสนับสนุนความร่วมมือเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ การบริการสาธารณะทางด้านวัฒนธรรม อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และตลาดวัฒนธรรม ตลอดจนความร่วมมือทางด้านศิลปะการแสดง พิพิธภัณฑ์และหน่วยงานด้านมรดกวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังสานต่อโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมไทย – จีน รวมถึงการแสดงดนตรีและวัฒนธรรม “สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน” การสนับสนุนการเจรจาแลกเปลี่ยนทางวิชาการและวัฒนธรรมระหว่างกัน และการสนับสนุนการจัดการเฉลิมฉลองในโอกาสครอบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปี พ.ศ. 2563
โดยแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมฯ มีลักษณะเป็นแผนงานที่กำหนดรายละเอียดโครงการหรือกิจกรรมด้านวัฒนธรรมที่จะดำเนินการร่วมกันอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 3 ปี เป็นข้อตกลงย่อย (arrangement) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และเป็นแผนการดำเนินงานที่ใช้เฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงวัฒนธรรม โดยทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักว่าความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกันภายใต้แผนปฏิบัติการฉบับนี้ จะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมฯ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกัน มิตรภาพ และความรู้ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการดำเนินความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนในด้านอื่น ๆ ต่อไป
8. เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงการเดินรถไฟร่วมกันระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
คณะรัฐมนตรีอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงการเดินรถไฟร่วมกันระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทน สำหรับการลงนามดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
สืบเนื่องจากการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายทางรถไฟ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2557 ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาได้จัดตั้งคณะทำงานจัดทำร่างความตกลงการเดินรถร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าระหว่างไทยและกัมพูชา โดยสาระสำคัญของร่างความตกลง ฯ เกี่ยวข้องกับการเดินรถไฟระหว่างประเทศครอบคลุมทั้งด้านการโดยสารและการขนส่งสินค้าทางรถไฟ การกำหนดนิยามคำศัพท์และการตีความ เช่น สถานีระหว่างประเทศ สถานีชายแดน ทรัพย์สินร่วม เป็นต้น รวมถึงการระบุถึงกรรมสิทธิ์ที่ดิน พนักงานสถานีระหว่างประเทศ การจัดการเดินรถผ่านแดน การจัดหาล้อเลื่อนและการคิดค่าลากจูง ความรับผิดชอบต่อความเสียหาย และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมล้อเลื่อน ความรับผิดชอบต่อการสูญเสีย การบาดเจ็บ สินค้าสูญหาย และอื่น ๆ ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการเดินรถผ่านแดน และการชำระบัญชี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเข้าร่วมพิธีฉลองความสำเร็จในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน – สตึงบท) พิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างอาคารด่านศุลกากรและถนนเชื่อมต่อฝั่งกัมพูชา พิธีเปิดสถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก พิธีลงนามความตกลงการเดินรถไฟร่วมกันระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และพิธีส่งมอบรถไฟดีเซลรางในวันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2562 ณ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยพิธีลงนามความตกลงดังกล่าวจะมีนายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามด้วยน
การลงนามในร่างความตกลงดังกล่าวจะเป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมในแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) และส่งเสริมการเคลื่อนย้ายคนและสินค้าระหว่างไทยและกัมพูชา อันจะเป็นประโยชน์ต่อการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเดินทางไปมาหาสู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ
แต่งตั้ง
9. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางสาวทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิชาการอาหารและยา) สูง) สำนักด่านอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ (ด้านอาหารและยา) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
10. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายอดุลย์ บัณฑุกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
11. เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 74/2562 เรื่อง มอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
ตามที่พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562 กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล” โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ นั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562 จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
12. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นางสาวสาวิตรี ชำนาญกิจ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
13. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ในฐานะประธานกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ จำนวน 10 คน ดังนี้
1. นายภูมิรักษ์ ชมแสง
2. รองศาสตราจารย์ประสบศรี อึ้งถาวร
3. นายเจษฎา โชคดำรงสุข
4. ศาสตราจารย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล
5. ศาสตราจารย์พรทิพภา เล็กเจริญสุข
6. นายอำนวย กาจีนะ
7. รองศาสตราจารย์พิเศษทวี โชติพิทยสุนนท์
8. นางวิชชุดา จริยะพันธุ์
9. รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ
10. นายวิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร
ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2562 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
14. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแทนตำแหน่งว่าง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แทนตำแหน่งว่าง จำนวน 3 คน/รูป ดังนี้
1. พระพรหมบัณฑิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านพุทธศาสนาและการศึกษา)
2. นายวิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส ด้านการศึกษาเอกชน และด้านการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ)
3. รองศาสตราจารย์อนุชาติ พวงสำลี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการบริหารการศึกษา)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2562 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี