วันนี้ 9 ก.พ.56 ที่ห้องประชุมสุโขทัยธรรมิราช สถาบันพระปกเกล้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บรรยายเรื่องการเมืองของการบริหารเศรษฐกิจไทย โดยกล่าวตอนหนึ่งว่าที่ผ่านมาการบริหารเศรษฐกิจยึดถือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่เมื่อประชาธิปไตยพัฒนามากขึ้นก็ต้องยอมรับว่าแผนพัฒนาฯ ไม่สามารถตอบโจทย์คนได้ทั้งหมด โดยเฉพาะแผนพัฒนาฉบับที่ 7 และ8 ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่ามีปัญหาความเหลื่อมล้ำและการละเมิดสิทธิ ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและเรื่องนี้ได้ทำให้ระบบการเมืองและการบริหารเศรษฐกิจต้องกาจุดลงตัวร่วมกัน การบริหารเศรษฐกิจต้องมีการตัดสินใจว่าจะเลือกอย่างไร แต่การตัดสินใจก็ต้องนำเข้าสู่ระบบการบริหารของการเมือง และในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าพรรคการเมืองหรือภาคการเมืองต้องเข้ามามีบทบาทวางแผนการพัฒนามากขึ้น ทั้งนี้ตนเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้คิดเรื่องการเมืองมากเกินไป เพราะสิ่งใดที่เป็นของรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้เริ่มต้นไว้ เขาจะไม่ทำ เช่นโครงการโฉนดชุมชน เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารงานมีชุมชนที่รอรับโฉนดชุมชนกว่า 166 ชุมชน แต่รัฐบาลไม่ทำ จนมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็แจ้งให้ชาวบ้านทราบว่าจะทำต่อ แต่ขอเปลี่ยนชื่อโครงการก่อน เพราะเป็นโครงการของพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งกองทุนเงินออมที่มีการออกกฎหมายแล้วก็ไม่ได้รับการสนับสนุน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่ามีประเด็นที่น่าคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยจากนี้ไป ที่ในยุคปัจจุบันการส่งเสริมที่จะทำให้ไทยก้าวพ้นเรื่องรายได้ทางเศรษฐกิจปานกลางให้สูงขึ้น จึงต้องได้รับการสนับสนุนมากขึ้นด้วย และรัฐบาลก็ต้องคำนึงโครงการการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างประชากร ที่คาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 25% แต่เรื่องนี้ยังขาดระบบสวัสดิการรองรับ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่านโยบายประชานิยมของรัฐบาลบางอย่างไม่มีเหตุผลมารองรับ โดยเฉพาะโครงการรถคันแรก ซึ่งนโยบายประชานิยม ขอให้ดูตัวอย่างในประเทศโซนอเมริกาใต้ที่มีความชัดเจนว่าแนวคิดนี้ไปไม่รอด เพราะนอกจากจะทำให้มีปัญหาด้านเศรษฐกิจแล้วก็จะมีวิกฤติการเมืองเข้ามาสอดแทรกด้วย ส่วนนโยบายรับจำนำข้าวก็น่าเป็นห่วง เพราะในทางการเงินการคลังขาดทุน 2.2 แสนล้านบาทเท่ากับ10% ของงบประมาณประจำปีแต่ละปี แต่ตัวเลขดังกล่าวชาวนาได้ประโยชน์เพียง 1 แสนล้านบาท ส่วนอีก 1.2 แสนล้านบาทนั้นเป็นค่าใช้จ่ายทุกปีที่ไม่รู้ว่าเข้าไปอยู่ในมือใคร ซึ่งตนเคยบอกว่าเงิน 1.2 แสนล้านบาทดังกล่าวนั้นให้นำมาหารจำนวนชาวนาทั้งหมดแล้วแจกเป็นเงินสดก็ยังได้มากกว่าที่ชาวนาได้รับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี