ลาวเผยนักการเมืองไทยจ้างปลูก“กัญชา”แปลงใหญ่ผลิตน้ำมันกัญชาได้ถึง 30 ตัน มูลค่านับหมื่นล้าน ขายใต้ดินรับทรัพย์อื้อ “อ.เดชา”เตรียมเคลื่อนขบวน“เดินเท้า”จากพิจิตร-สุพรรณบุรี รณรงค์แก้ไขกฎหมาย 20 พ.ค.62
2 พ.ค.62 ที่ห้องประชุมภูมิแผ่นดิน มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จ.เพชรบุรี มีการเสวนาเรื่อง “กัญชารักษาหรือเสพติด” โดยวิทยากร ประกอบด้วย นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ , ศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์เมืองเพชร และนายปริญญา ศรีสุคนธ์ โดยมีประชาชนกว่า 200 คนเข้าร่วมรับฟังจนแน่นห้องประชุม
นายเดชา กล่าวว่า ตั้งแต่เด็กตนมีภาพไม่ดีกับกัญชา เพราะเห็นคนสูบกัญชาแล้วไม่ทำงาน ตนเป็นคนไม่สูบบุหรี่และตอนนั้นเห็นว่ากัญชายิ่งกว่าบุหรี่ เพราะเป็นยาเสพติด แต่ตนต้องมาเกี่ยวข้องเพราะคิดว่าหากตนเป็นมะเร็งเหมือนแม่และน้าชายอีก 3 คนที่เป็นมะเร็งตับ ซึ่งโอกาสที่ตนจะเป็นมะเร็งมีอยู่มาก จึงคิดว่าหากมีวิธีอื่นที่ดีกว่า โดยไม่เลือกการฉายแสงหรือผ่าตัด จึงศึกษาเรื่องน้ำมันกัญชา ซึ่งเป็นเรื่องน่าเชื่อถือกว่า
ทั้งนี้ ตนได้อ่านเรื่องของชาวแคนาดาที่เป็นมะเร็งอยู่โรงพยาบาล สุดท้ายหมอบอกว่าหมดโอกาสแล้ว แต่เขาเป็นคนใฝ่รู้และอ่านงานวิจัยต่างๆจนพบสารชนิดหนึ่งในน้ำมันกัญชาสามารถฆ่าเซลมะเร็งได้ จึงขอให้หมอเขียนใบสั่งยาให้ เพราะตอนนั้นกัญชาในแคนาดาเป็นสารเสพติด แต่หมอไม่ยอม เขาเลยลงมือสกัดเอง และเขาเริ่มกินโดยไม่มีหมอจนหาย และได้สกัดให้เพื่อนกินก็หายเช่นกัน ที่สุดเขาไปบอกหมอว่าปลูกและใช้กัญชารักษาหายหลายคนแล้ว แต่หมอไปแจ้งตำรวจ จนเขาถูกจับ แต่เขาไม่เข็ดยังคงปลูกอีก ตำรวจก็จับอีก เขาจึงหนีไปต่อสู้อยู่นอกประเทศ และตั้งมูลนิธิรักษาคนจนกัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในแคนาดา
นายเดชา กล่าวอีกว่า ตนได้ทดลองสกัดตามที่ชาวแคนาดารายนี้ทำ และเริ่มทดลองใช้ แต่เพราะตามฝรั่งที่ให้กิน 4 เม็ดถั่วเขียว ทำให้คนไข้เมาและหลอน จึงไปหาพระรูปหนึ่งที่มรณภาพไปนานแล้ว แต่พูดผ่านร่างทรง แรกๆก็ไม่เชื่อ แต่พิสูจน์ด้วยการถามเรื่องกัญชา แต่พบว่าสิ่งที่พระบอกกลายเป็นเรื่องจริงทุกครั้ง ตนเอายาที่ทำไปถามว่ายานี้ให้คนไข้กินได้หรือไม่และหายหรือไม่ ท่านก็บอกให้กินก่อนนอน ครึ่งเม็ดถั่วเขียวไปเรื่อยๆ และงดของแสลง เช่น สัตว์เลือดอุ่น ของหมักดองทุกชนิด ของมึนเมา นอกจากนี้ยังมีเจ้ากรรมนายเวร หากต้องการให้หายจริงต้องทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม นั่นคือต้องทำบุญให้เขา ปรากฏว่า 4 เดือนคนไข้คนนี้หายจริงๆ เมื่อครบ 6 เดือนไปหาหมอ ทำให้หมอแปลกใจและบอกว่าคนไข้รายนี้หายจากมะเร็งตับระยะสุดท้าย
นอกจากโรคมะเร็งแล้วเลยนำมาพิจารณาเรื่องอื่น เพราะตอนที่วัย 65 ปีความจำเริ่มไม่ดีและมือเริ่มสั่น จึงถามพระในร่างทรงนี้อีกว่ารักษาได้หรือไม่ ซึ่งท่านก็บอกว่ารักษาได้ โดยใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 97% และน้ำมันกัญชา 3% ตนกินแค่ 10 หยดก่อนนอนเพื่อให้นอนหลับ ปรากฏว่าโรคก็หายไปเอง ซึ่งจากที่เราค้นพบไม่เหมือนกับที่ฝรั่งหรือที่ใดๆในโลก กัญชารักษาโรคไม่จำกัดที่เกิดจากร่างกายที่ไม่ใช่เชื้อโรค แต่ขัดกับความเชื่อว่าพืชตัวเดียวจะรักษาโรคได้เยอะอย่างไร แต่ในการใช้จริงเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ตอนนี้ผมอายุ 71 ปีแล้ว แต่กลับเป็นช่วงที่สมองดีที่สุด เมื่อตอน 65 เคยสมองเสื่อมไปเยอะ แต่น้ำมันกัญชาสามารถฟื้นสมองได้ สามารถสร้างสมองใหม่มาเติมและจัดระเบียบให้สมองด้วย การฟื้นของสมองครั้งนี้ดีกว่าเดิม และสมอง 2 ซีกสามารถเชื่อมกันด้วย ทำให้ความคิดมีนวัตกรรมต่างๆได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก” ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ กล่าว
ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ กล่าวอีกว่า คนในยุคปัจจุบันต้องพัฒนาให้เหนือเอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ให้ได้ ซึ่งกัญชาช่วยได้ ซึ่งตนพบว่าสมองตัวเองดีกว่าเดิม ทำให้คนแก่มีศักยภาพมากกว่าคนหนุ่มสาว เพราะสะสมประสบการณ์มายาวนาน แต่คนแก่มักเอามาใช้ไม่ได้เนื่องจากสมองเสื่อม แต่ถ้าทำให้คนแก่สมองดีก็จะเป็นกำลังของประเทศคนแก่เพราะมีพร้อมทุกอย่าง เปลี่ยนจากภาระของชาติมาเป็นกำลังของชาติ
นอกจากนี้ตนยังเป็นคนแรกในโลกที่ใช้น้ำมันกัญชากับดวงตา ซึ่งเคยเป็นต้อเนื้อ หมอบอกว่าไม่หายแล้ว หากดูแลดีก็ใช้ตาได้นานหน่อย แต่บังเอิญตนหยิบยาหยอดตาผิดขวด และเอาน้ำมันกัญชาไปหยอดตา ซึ่งพบว่าอาการดีขึ้นจนต้อเนื้อหายขาด ตอนนี้สายตาตนดีกว่าตอนอายุ 50 ปีเพราะตอนนั้นต้องตัดแว่นอ่านหนังสือแล้ว แต่พอหยอดน้ำมันกัญชา ทำให้สายตาที่เคยสั้น กลับมาปกติ
นายเดชา ถามถึงข้อโต้แย้งทางการแพทย์ในแง่มุมต่างๆเกี่ยวกับการใช้กัญชารักษาโรค ว่า แพทย์มี 2 สำนัก คือ แพทย์สมัยใหม่ที่คิดแบบแยกส่วน เมื่อคนเป็นโรคก็บอกว่าเกิดจากเชื้อโรค และเวลารักษาก็เอายาไปสู้อาการนั้นโดยตรง อีกสำนักหนึ่งคือแพทย์แผนไทยที่คิดว่าร่างกายผิดปกติ ก็ต้องจัดการตัวเอง ร่างกายประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หากสมดุลกันก็ปกติ หากป่วยก็ต้องปรับธาตุให้สมดุลโดยมองแบบองค์รวม ซึ่งกัญชาที่ตนคิดก็ใช้แบบองค์รวม แต่ฝรั่งใช้กัญชาแบบแยกส่วน แค่เอาสารที่เป็นพระเอกมา 3-4 ตัวไปสู้กับโรคโดยตรง ซึ่งเป็นการแพทย์สมัยใหม่
แต่เราใช้หลักการเดียวกับแพทย์แผนไทย โดยกัญชาทำให้นอนหลับยาวพอ 6-10 ชั่วโมงและหลับลึกให้สมองและร่างกายได้ซ่อมตัวเอง แต่ยังไม่พอต้องหลับฝันด้วยสัก 10-30 % ของการนอนช่วยปลดปล่อยอารมณ์ค้างของความเครียด ซึ่งคนในปัจจุบันรับข้อมูลข่าวสารเข้าไปมากเพราะต่างก้มหน้าก้มตาดูข้อมูลในมือถือ เมื่อเอาเข้าไปเยอะแต่ฝันน้อย ทำให้กลายเป็นโรคต่างๆโดยเฉพาะโรคซึมเศร้า แต่กัญชาทำให้คนหลับฝันและหลับลึก ที่สำคัญคือการหายใจที่เอาออกซิเจนเข้าไปซ่อม หากหายใจไม่ดีก็ไม่สามารถซ่อมได้ มีการกรนและหยุดหายใจแต่น้ำมันกัญชาช่วยได้เพราะกัญชาทำให้คุณภาพการนอนดีขึ้น ช่วยซ่อมแซมทุกส่วนของร่างกาย และร่างกายก็ฟื้นเอง เราใช้กัญชาพันธุ์ไหนก็ได้ ขอให้นอนหลับอย่างเดียว แต่หลับมากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี
นายเดชา กล่าวอีกว่า ตอนนี้กำลังประสานกับจุฬาฯในการวิจัยพันธุ์กัญชา ซึ่ง 3 เดือนนี้จะรวบรวมพันธุ์กัญชาไทยให้ได้มากที่สุด และดำเนินการควบคู่กับการจัดทำยา โดยประเทศไทยมีพันธุ์กัญชาหลากหลาย แต่ถูกปกปิดมานาน ถ้าไม่รีบฟื้นฟูขึ้นมาก็จะสูญหาย เราไม่ต้องการทำแค่ยา ซึ่ง จ.เพชรบุรี เป็นแหล่งกัญชาโบราณ ได้ยินว่าจะมีแปลงกัญชาป่าขนาดใหญ่ซึ่งถูก ป.ป.ส.ตัดไป เรื่องนี้คงต้องคุยกันว่าอย่าไปตัดเลย แต่นำมาวิจัยดีกว่า เพราะกว่าจะหลุดรอดมาได้ในป่าก็หายาก ควรเอาพันธุ์นี้มาใช้
“แต่เบื้องต้นคือต้องทำให้กัญชาหลุดออกจากยาเสพติดก่อน ตอนนี้เรากำลังวางแผนเดินเท้าตั้งแต่ จ.พิจิตร มายัง สุพรรณบุรี ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.62 ซึ่งเป็นวันหมดระยะเวลานิรโทษกรรม โดยใช้เวลา 20 วัน เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้กฎหมายและระดมทุน หากยังแก้ไขกฎหมายไม่ได้ คนผลักดันกฎหมายเป็นใครคนนั้นก็ได้ประโยชน์ เช่นกลุ่มทุนใดหรือพรรคการเมืองใดผลักดัน ผลประโยชน์ก็ได้กับคนกลุ่มนี้ แต่ไม่ถึงภาคประชาชน” นายเดชา กล่าว
นายเดชา ระบุว่า สาเหตุที่ต้องเดินและแก้กฎหมาย เพราะคำนวณแล้ว หากทำตามกฎหมายในปีหนึ่งแจกยาคนไข้ได้ไม่ถึง 1 หมื่นคน หรืออยากมากก็ 5 พันคน แต่ปัจจุบันมีผู้ป่วยแอบใช้กัญชาราว 8 แสน-2 ล้านคน และอนาคตจะเพิ่มเป็น 10 ล้านคน เพราะฉะนั้นมีทางเดียวคือต้องแก้กฎหมาย ที่ตนกล้าทำเรื่องกฎหมายต่อเพราะเชื่อว่ากัญชาเป็นของศักดิ์สิทธิที่ไม่ให้ใครไปผูกขาด ไม่ให้นายทุนหากิน และเป็นของทุกคน เราจึงต้องเคลื่อนไหวเรื่องกฎหมายแต่ต้องมีความเพียรสุดๆกันก่อนเหมือนพระมหาชนก อีกฝ่ายหนึ่งโลภเพราะอยากได้ประโยชน์ แต่เราให้ทาน เอาไปแจกจึงเชื่อว่าเทวดาอยู่ฝ่ายเรา
นายเดชา กล่าวด้วยว่า ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาตรวจค้นและจับกุมที่มูลนิธิข้าวขวัญ ตนได้ไปพูดและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่าต้องการให้มีการแจกน้ำมันกัญชาใน 1 วัด 1 อำเภอ คาดว่าหากทำเช่นนี้สิ้นปีก็แจกยาได้ 1 ล้านเม็ด แต่การทำเชนนี้ทำให้เงินของพวกใต้ดินที่ขายน้ำมันกัญชาหายไปราว 100 ล้านบาท ตนเชื่อว่าตรงนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราถูกจับ และในตอนนี้ราคาของน้ำมันกัญชาได้เพิ่มสูงขึ้นจากเม็ดละ 100 บาทเป็นเม็ดละ 300 บาท มีคนบอกตนว่าที่เขาจับ เพราะตนท้าทายเขาเกินไป ช่วงนั้นตนไปลาว จริงๆแล้วอยากรีบกลับมาเคลียร์ตั้งแต่แรก แต่มีคนบอกว่าไม่ต้องกลับดีกว่าเดี๋ยวจะยุ่งกันใหญ่ ยิ่งในวันหลังๆข่าวดังมากขึ้น แม้แต่ในลาวก็ต่างรับรู้กัน
“พอวันท้ายๆก่อนกลับ มีคนที่เป็นหมอใหญ่ของลาว และทำเรื่องกัญชาใหญ่ที่สุดในลาวมาหาผม เขาบอกว่าเข้าใจเรา และเขายังบอกว่าเมื่อปีที่แล้วมีนักการเมืองไทยคนหนึ่ง ได้ว่าจ้างจ้างให้คนลาวปลูกกัญชาหลายพันไร่ สามารถกลั่นเป็นน้ำมันกัญชาได้ถึง 30 ตัน ราคากลางลิตรละ 5 แสนบาท หรือตันละ 500 ล้านบาท เขามี 30 ตัน คือ 1.5 หมื่นล้านบาท เขาได้เงินก้อนนี้แน่ๆ ปีนี้เขาจะไปทำอีก แต่ทางการลาวห้าม แต่ 30 ตันที่เขามีอยู่กำลังหาทางปล่อยอยู่ ขณะที่ของเราแจกฟรี จึงมีการจัดการผม เพราะเงินของเขาตั้ง 1.5 หมื่นล้าน และกำลังเพิ่มขึ้นสูงถึง 3 หมื่นล้านบาท เพราะตอนนี้ราคาปรับตัวขึ้นมาก” นายเดชา กล่าว
ด้านศาสตราภิชานล้อม กล่าวว่า เรื่องกัญชากำลังโด่งดังจึงเป็นเรื่องที่ควรมีการหารือกัน ขณะที่ภาคประชาชนรวมตัวกันกว้างขวางที่สุดเกี่ยวกับกัญชา และมีการบริจาคเงินจำนวนมาก เพื่อประกันตัวนายพรชัย เราจัดงานครั้งนี้เพราะต้องการเข้าใจเรื่องกัญชา ซึ่งในอดีตเมืองเพชรเป็นแหล่งปลูกกัญชาที่ดีที่สุดเป็นรายได้รองจากอาหารทะเลแห้ง แต่ตอนหลังฝรั่งอยากขายยาของตัวเอง จึงบีบบังคับให้รัฐบาลออกกฎหมายให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ที่เมืองเพชรยังใช้กัญชาเป็นประโยชน์มาตลอด โดยเฉพาะร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆมักมีกัญชาผสมอยู่ในน้ำซุป และกัญชามักถูกทำให้ปิดบังซ่อนเร้นมาโดยตลอด ทำให้การศึกษาหาความรู้เรื่องกัญชาเป็นเรื่องลำบาก แต่โอกาสนี้เป็นโอกาสดี และกัญชามีประโยชน์มหาศาล จึงไม่ควรปิดปังกันเอาไว้อีกแล้ว ควรมีการปรับปรุงพันธุ์
“แต่ที่น่าห่วงคือกัญชาจะกลายเป็นของบริษัทยา หรือทุนผูกขาด ฟังจากอาจารย์เดชาแสดงว่าปัจจุบันมีน้ำมันกัญชาของนักการเมือง 30 ตันขายอยู่ในตลาดมืด ซึ่งเป็นเรื่องน่าสงสัยมาก ลักษณะเช่นนี้ทำให้กลัวว่าสิ่งที่พวกเรากำลังต่อสู้ ท้ายที่สุดจะกลายเป็นสมบัติของนักการเมือง กลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา ยิ่งเราดิ้นเท่าไหร่นักการเมืองยิ่งชอบ ทุกวันนี้เวลารัฐบาลทำอะไรก็มองดูชอบกั๊ก อาจเป็นเพราะฟังจากนายทุนอยู่ก็ได้” ศาสตราภิชานล้อม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี