ตามขยี้‘บิ๊กตู่’! จุดพลุยื่นศาล รธน.ตีความคุณสมบัติ ล่าชื่อเปิดสภาซักฟอก
6 มิ.ย.62 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ เปิดเผยว่า จากการประชุมรัฐสภา ที่ประกอบด้วย ส.ส.และ ส.ว. เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.62 เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผลการโหวต พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น สมาชิกรัฐสภาได้ทำหน้าที่อภิปรายในสภา ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนที่มีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะเนื้อหาในการอภิปรายเกี่ยวกับคุณลักษณะผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตาม มาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญฯ คือ 1.ประเด็นคุณสมบัติตาม มาตรา 160 (5) “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” เพราะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกำหนด “มาตรฐานทางจริยธรรม” และเมื่อประกาศใช้บังคับแล้วให้ใช้บังคับแก่ ส.ส. , ส.ว. และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ด้วย
พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า หมวด 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ตั้งแต่ ข้อ 5 ถึง ข้อ 10 อาทิ “ข้อ 5 ต้องยึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครองระบอประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ฯลฯ สมาชิกรัฐสภา อภิปรายว่าคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีขัดรัฐธรรมนูญ ขัดกับมาตรฐานจริยธรรม ข้อ 5 มาก ในพฤติกรรมที่ พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช ที่ทำรัฐประหารยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 50 และล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 และพฤติกรรมที่ใช้อำนาจตาม ม.44 จนถึงปัจจุบัน สมาชิกเห็นว่าไม่ต้องยึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครองระบอประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นการฝ่าผืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามข้อ 5 แล้ว และยังมีข้ออื่นๆที่สมาชิกอภิปรายอีก
2.ประเด็น มาตรา 160 (4) “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” การอภิปรายได้นำกรณีที่เหตุการณ์สำคัญที่ส่อไปทางทุจริตและไปเชื่อมโยงกับมาตรฐานจริยธรรมลักษณะร้ายแรง หมวดที่ 1 3.ประเด็น มาตรา 160 (6) “ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (15)” คือ เป็นพนักงานหรือลูกจ้างหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐฯ หรือ รัฐวิสาหกิจ หรือ เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
4.ประเด็น มาตรา 114 “โดยขัดกันแห่งผลประโยชน์” รวมถึงใช้ มาตรฐานจริยธรรม ข้อ 11 “ไม่กระทําการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม” ประกอบกับข้อมูลและข้อเท็จจริง สมาชิกรัฐสภาที่อภิปรายและลงมติ ใช้เวลาถึงประมาณ 14 ชั่วโมง ไม่ควรจบแค่ผลโหวตว่าใครมีคะแนนเสียงมากกว่าเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีเท่านั้น
พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า ที่สำคัญจะต้องหาข้อยุติว่า ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีคุณสมบัติต้องห้ามตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 160 หรือไม่ ซึ่งใครจะเป็นผู้ให้คำตอบที่เป็นที่ยุติ เรื่องนี้จึงเห็นควรที่ ส.ส. ต้องร่วมกันผลักดันนำเรื่องคุณสมบัติที่มีประเด็นว่าต้องห้าม ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ได้วินิจฉัยให้เกิดความกระจ่างชัดต่อไป เพื่อยกระดับหลักนิติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
“แต่ถ้ายังเห็นว่า องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยได้ถูกเลือกมาโดยหัวหน้า คสช.ที่ถูกโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รับเรื่องหรือไม่ดำเนินการ หรือปัญหาอื่นๆในการวินิจฉัย ควรหาข้อมูลและหลักฐานเพิ่มเติมเมื่อพิจารณาระยะเวลาเห็นว่าเหมาะสม ส.ส.จำนวน 1 ใน 5 ของ ส.ส.ทั้งหมด หรือ 100 คน เข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ที่ประชุมเฉพาะสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 500 คน และมติเสียงข้างมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่อยู่อยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ส.ส.จึงต้องรักษากฎหมายและความยุติธรรม จะต้องผลักดันให้ การตรวจสอบ คุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นจริง เพราะประชาชนชาวไทยทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน” เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี