18 มิ.ย.62 เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับโฆษณายาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับโฆษณายาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สธ. เสนอว่า
1. ด้วยได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 และมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติห้ามมิให้มีการโฆษณายาเสพติดให้โทษ เว้นแต่การโฆษณายาเสพติดให้โทษประเภท 5 ซึ่งกระทำโดยตรงต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย หรือเป็นฉลากหรือเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุ หรือเป็นเอกสารภาพ ภาพยนตร์ การบันทึกเสียงหรือภาพ โดยให้การขออนุญาตและการอนุญาตให้โฆษณาดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ดังนั้น สธ. ได้ยกร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ สำหรับยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชา และได้นำไปรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากหลายภาคส่วนแล้ว
2. ในคราวประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ครั้งที่ 400 – 4/2562 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา ที่ประสงค์จะขออนุญาตโฆษณาผลิตภัณฑ์ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา ที่ได้รับการรับรองตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ต้องยื่นคำขอตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. กำหนดให้การพิจารณาอนุญาตโฆษณายาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชาได้เฉพาะในกรณีเพื่อการโฆษณาที่กระทำโดยตรงต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพสัตวแพทย์ ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย หรือเป็นฉลาก หรือเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษนั้น
3. กำหนดคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตและให้ผู้รับอนุญาตยื่นคำขอต่อผู้อนุญาตพร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐานตามที่กำหนด
4. กรณีมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา หรือเอกสารทางวิชาการที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตหรือนำเข้าในสาระสำคัญ ซึ่งทำให้แตกต่างจากการโฆษณาที่ได้รับอนุญาตไว้แล้ว ให้การอนุญาตนั้นสิ้นสุดลง
5. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตต้องโฆษณาตามที่ได้รับอนุญาตและระบุเลขที่ใบอนุญาตไว้ในสื่อโฆษณาทุกครั้ง
6. กำหนดให้คำขออนุญาต ใบอนุญาต และใบแทนใบอนุญาตให้เป็นไปตามแบบที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยากำหนด
2. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2562 (ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2562 เรื่อง การปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2562 เรื่อง การปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 และร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2562 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ
สกพอ. เสนอว่า
1. คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ในการประชุมครั้งที่ 4/2562 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งหน่วยงานเพื่อติดตาม กำกับ และบริหารจัดการสัญญาร่วมลงทุนของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยให้หน่วยงานอยู่ภายใต้กำกับของ สกพอ.
2. ดังนั้น เพื่อให้การทำหน้าที่กำกับดูแลภาพรวมและการบริหารสัญญาร่วมลงทุนของโครงการฯ สำเร็จตามวัตถุประสงค์โครงการ มีประสิทธิภาพ สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบาย กพอ. สกพอ. จึงได้เสนอร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2562 ต่อที่ประชุม กพอ. เพื่อพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 ในหมวด 3 การกำกับดูแลและติดตามผล
3. กพอ. ในการประชุมครั้งที่ 5/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติเห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 ตามที่ สกพอ. เสนอ
4. นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาแล้วเห็นชอบให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 ในหมวด 3 การกำกับดูแลและติดตามผล ดังนี้
1. เพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการกำกับดูแล โดยให้มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการตามที่เห็นสมควร หรือเป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบาย
2. ปรับปรุงข้อความในวรรคท้ายของข้อ 20 จากเดิม “หน่วยงานเจ้าของโครงการอาจว่าจ้างที่ปรึกษาไทยและ/หรือที่ปรึกษาต่างประเทศซึ่งมีคุณสมบัติ ตามที่สำนักงานประกาศกำหนด เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับดูแลได้” เป็น “สำนักงานและ/หรือหน่วยงานเจ้าของโครงการอาจว่าจ้างที่ปรึกษาไทยและ/หรือที่ปรึกษาต่างประเทศซึ่งมีคุณสมบัติตามที่สำนักงานประกาศกำหนด เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับดูแลได้”
3. กำหนดให้เมื่อได้มีการลงนามในสัญญาร่วมลงทุนแล้ว ให้คณะกรรมการนโยบายแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสัญญา ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนสำนักงานเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานเจ้าของโครงการ ผู้แทนกระทรวงเจ้าสังกัด ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งแต่งตั้งจากผู้มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญอันจะเป็นประโยชน์แก่การดำเนินการของคณะกรรมการบริหารสัญญา เป็นกรรมการ และผู้แทนสำนักงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยให้มีหน้าที่และอำนาจควบคุมและกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานเจ้าของโครงการตามสัญญาร่วมลงทุน รวมถึงกำหนดแผนงานเพื่อกำกับดูแลและตรวจสอบให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและเอกชนคู่สัญญาปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุนได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน รายงานผลการดำเนินงานความคืบหน้า ปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดหรืออาจเกิดขึ้นในสัญญาร่วมลงทุนต่อคณะกรรมการกำกับดูแลและสำนักงาน อย่างน้อยสามเดือนต่อหนึ่งครั้ง และพิจารณาดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสัญญาร่วมลงทุนตามที่เห็นสมควร หรือเป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายคำสั่งของคณะกรรมการกำกับดูแลและสำนักงาน
4. กำหนดให้สำนักงานจัดหาบุคลากรและว่าจ้างที่ปรึกษาไทยและ/หรือที่ปรึกษาต่างประเทศ ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่สำนักงานประกาศกำหนด เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารสัญญาและหน่วยงานเจ้าของโครงการ ในการควบคุมและกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเอกชนคู่สัญญาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุน และในกรณีที่คณะกรรมการบริหารสัญญาเห็นสมควร อาจเรียกให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดส่งบุคลากรสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารสัญญาก็ได้
5. กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและสำนักงานดำเนินการเกี่ยวกับเงินทุนเพื่อใช้ในกิจกรรมของคณะกรรมการบริหารสัญญา รวมถึงการจัดหาบุคลากรและว่าจ้างที่ปรึกษา โดยให้หารือกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณ และ/หรือเจรจากับเอกชนคู่สัญญา เพื่อร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวในสัดส่วนที่เหมาะสมและเป็นธรรม
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง ในบริเวณจังหวัดตราด พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง ในบริเวณจังหวัดตราด พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
กษ. เสนอว่า ตามที่ได้มีกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. 2560 ข้อ 4 กำหนดให้จังหวัดตราด มีเขตทะเลชายฝั่ง ดังต่อไปนี้ (1) ระยะ 5 ไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง (2) ระยะ 3 ไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ แต่เนื่องจากการจัดทำแผนที่ท้ายกฎกระทรวงดังกล่าวได้กำหนดเขตทะเลชายฝั่งเป็นเส้นโค้งเว้าตามชายฝั่งทะเล ทำให้เป็นปัญหาในการปฏิบัติตามกฎหมายของชาวประมง ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนเขตทะเลชายฝั่งมากยิ่งขึ้น ลดปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายโดยไม่เจตนา ลดความขัดแย้งของชาวประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ในพื้นที่ และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในน่านน้ำภายใน และเขตทะเลชายฝั่งของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด อยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการประมง รวมทั้งเพื่อเป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 เกี่ยวกับแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย กษ. จึงเห็นสมควรปรับปรุงเขตทะเลชายฝั่งในบริเวณจังหวัดตราดเสียใหม่ โดยแก้ไขรูปแผนที่ท้ายกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวข้างต้น จาก “กำหนดเขตทะเลชายฝั่งเป็นเส้นโค้งเว้าตามชายฝั่งทะเล” เป็น “กำหนดเขตทะเลชายฝั่งเป็นเส้นตรงลากผ่านจุดพิกัด” แทน ซึ่งการแก้ไขแผนที่ท้ายกฎกระทรวงดังกล่าว จะทำให้แนวเขตทะเลชายฝั่งในบริเวณจังหวัดตราดเปลี่ยนไป โดยเดิมมีระยะ 5 ไมล์ทะเล เป็น 3 – 6.48 ไมล์ทะเล นับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง และระยะ 3 ไมล์ทะเล เป็น 3 – 6.48 ไมล์ทะเล นับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง ในบริเวณจังหวัดตราด พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้จังหวัดตราดมีเขตทะเลชายฝั่งระยะ 3 – 6.48 ไมล์ทะเล นับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่งและชายเกาะ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวง ทั้งนี้ เขตทะเลชายฝั่ง ไม่รวมถึงเขตอุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ พ.ศ. …. (จำนวน 8 ฉบับ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ พ.ศ. …. จำนวน 8 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำสะแกกรัง พ.ศ. …. 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำท่าจีน พ.ศ. …. 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก พ.ศ. …. 4. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำเพชรบุรี - ประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. …. 5. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน พ.ศ. …. 6. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา พ.ศ. …. 7. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง พ.ศ. …. และ 8. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นการกำหนดลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ลุ่มน้ำเพชรบุรี – ประจวบคีรีขันธ์ ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง และลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 71 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 71 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการตรวจสอบข้อกำหนดของธุรกรรมระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน และให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินในการปรับปรุงรายได้และรายจ่ายของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน ในกรณีที่มีข้อกำหนดทางด้านการพาณิชย์หรือการเงิน ในการทำธุรกรรมระหว่างกันแตกต่างจากที่ควรกำหนด หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวได้ดำเนินการโดยอิสระ
2. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 71 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการกำหนดข้อยกเว้นหน้าที่การรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน และการนำส่งเอกสารหรือหลักฐานแสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์ข้อกำหนดของธุรกรรมระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้จากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการประกอบกิจการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินสองร้อยล้านบาท เนื่องจากในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่ในบังคับตามมาตรา 71 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในการยื่นรายงานและเอกสาร หรือหลักฐานให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับอาญากำหนดไว้เป็นพิเศษตามมาตรา 35 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งสูงกว่าโทษปรับอาญากรณีทั่วไปมาก ดังนั้น จึงสมควรกำหนดขนาดของกิจการโดยพิจารณาจากฐานรายได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้มีความเหมาะสมกับบทกำหนดโทษนั้น
ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
เศรษฐกิจ - สังคม
6. เรื่อง (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ 2561 – 2580)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580)
2. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดการทำแผนงานรวมถึงแผนปฏิบัติการ รวมทั้งจัดทำรายละเอียดเป้าหมายรายลุ่มน้ำให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580)
3. มอบหมายให้ สทนช. จัดทำการติดตามและประเมินผล เพื่อตอบผลสัมฤทธิ์ของ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580)
สาระสำคัญของเรื่อง
สทนช. รายงานว่า
1. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 กนช. ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2561 เห็นชอบในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) และเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 กนช. ได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 4/2561 เห็นชอบในหลักการร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 -2580) และมอบให้คณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดำเนินการปรับปรุงแก้ไขแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) เป็นการปรับปรุงประเด็นหลักและรายละเอียดสำคัญของแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (พ.ศ. 2558 - 2569) ให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายใต้ยุทธศาสตร์ ด้านที่ 5 การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นที่ 19 การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำ 3 แผนย่อย ได้แก่ (1) การพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ (2) การเพิ่มผลิตภาพของน้ำทั้งระบบในการใช้น้ำอย่างประหยัดรู้คุณค่า และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้น้ำให้ทัดเทียมกับระดับสากล และ (3) การอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ ทั้งนี้ (ร่าง) แผนแม่บทฯ สรุปได้ ดังนี้
2.1 ปรับปรุงเป้าประสงค์ กลยุทธ์ แผนงาน เป้าหมาย การดำเนินการของแผนงานทั้ง 6 ด้าน ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติจากเดิม 34 กลยุทธ์ เป็น 28 กลยุทธ์ 54 แผนงาน
2.2 กำหนดตัวชี้วัดให้ถึงระดับผลลัพธ์ (Outcome) ในระดับแผนแม่บทฯ ให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับการประเมินผลของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 19
2.3 กำหนดหน่วยงานหลัก หน่วยงานปฏิบัติ และหน่วยงานอำนวยการขับเคลื่อนในระดับกระทรวง ประกอบด้วย สทนช. กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพื่อให้มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ
2.4 วิเคราะห์การแก้ไขพื้นที่อย่างเป็นระบบ (Area based) 66 พื้นที่ โดยกำหนดพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม/ภัยแล้ง ซ้ำซาก หรือปัญหาอื่น ๆ ด้านน้ำ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเชิงบูรณาการ เพื่อให้พื้นที่ที่ประสบปัญหาและความรุนแรงที่เกิดขึ้นลดน้อยลงโดยการจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนเพื่อกำหนดแนวทางและการบูรณาการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยพื้นที่ประสบปัญหาด้านน้ำ (น้ำท่วมและน้ำแล้ง) จำนวนทั้งสิ้น 53 พื้นที่ รวม 34.62 ล้านไร่ และพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและท่องเที่ยว จำนวนทั้งสิ้น 13 พื้นที่ รวม 11.29 ล้านไร่
3. (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) มีสาระสำคัญ ดังนี้
3.1 วิสัยทัศน์ ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดอุปโภค บริโภค น้ำเพื่อการผลิต มั่นคง ความเสียหายจากอุทกภัยลดลง คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาอย่างสมดุล โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
3.2 แผนแม่บทฯ ประกอบด้วย 28 กลยุทธ์ 54 แผนงาน มีเป้าหมายประสงค์และตัวชี้วัด 6 ด้าน สรุปได้ ดังนี้
แผนแม่บท |
เป้าประสงค์ |
ตัวอย่างตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ |
ด้านที่ 1 การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค |
เพื่อจัดหาน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภคให้แก่ชุมชน ครบทุกหมู่บ้านหรือทุกครัวเรือน ชุมชนเมือง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการจัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่ซึ่งขาดแคลนแหล่งน้ำต้นทุน พัฒนาน้ำดื่มให้ได้มาตรฐาน ในราคาที่เหมาะสม และการประหยัดน้ำโดยลดการใช้น้ำภาคครัวเรือน ภาคบริการและภาคราชการ |
1.1 สัดส่วนการเข้าถึงน้ำประปา (ร้อยละหมู่บ้านที่ก่อสร้างระบบประปา) 1.2 จำนวนแหล่งน้ำสำรอง 1.3 คุณภาพน้ำประปา 1.4 ปริมาณการใช้น้ำ/ของภาคครัวเรือน/บริการ/ราชการ |
ด้านที่ 2 การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต |
เพื่อพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำและระบบส่งน้ำใหม่ให้เต็มศักยภาพ พร้อมทั้งการจัดหาน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน เพื่อขยายโอกาสจากศักยภาพโครงการขนาดเล็กและลดความเสี่ยงในพื้นที่ไม่มีศักยภาพ ลดความเสี่ยง/ความเสียหายลง ร้อยละ 50 รวมถึงการเพิ่มผลิตภาพและปรับโครงสร้างการใช้น้ำ โดยดำเนินการร่วมกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมเพื่อยกระดับผลิตภาพด้านน้ำทั้งระบบ |
2.1 ปริมาณน้ำใช้การจากการปรับปรุงประสิทธิภาพแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำเดิม 2.2 มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยแล้งที่ลดลง 2.3 ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น/พื้นที่รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบกระจายน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน |
ด้านที่ 3 การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย |
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การจัดระบบป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง การจัดการพื้นที่น้ำท่วมและพื้นที่ชะลอน้ำ รวมทั้งการบรรเทาอุทกภัยในเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ ในระดับลุ่มน้ำและพื้นที่วิกฤต (Area base) ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ ลุ่มน้ำสาขา/ลดความเสี่ยงและความรุนแรงลงไม่น้อยกว่า ร้อยละ 60 |
3.1 จำนวนแห่งการปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ/ปรับปรุงลำน้ำธรรมชาติ 3.2 จำนวนระบบป้องกันน้ำท่วมเมือง/พื้นที่ชะลอน้ำ |
ด้านที่ 4 การจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ |
เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมและระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน การนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ ป้องกันและลดการเกิดน้ำเสียต้นทาง การควบคุมปริมาณการไหลของน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศพร้อมทั้งฟื้นฟูแม่น้ำ ลำคลอง และแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีความสำคัญในทุกมิติ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์ทั่วประเทศ |
4.1 ร้อยละน้ำที่ได้รับการบำบัด 4.2 สัดส่วนลำน้ำ/ลำคลองที่ได้รับ การฟื้นฟู 4.3 ร้อยละของปริมาณน้ำที่ได้รับ การบำบัดถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ |
ด้านที่ 5 การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน |
เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรม การป้องกันและลดการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ต้นน้ำและพื้นที่ลาดชัน |
5.1 ปริมาณน้ำท่าที่เปลี่ยนแปลง 5.2 ปริมาณตะกอนในลำน้ำที่เปลี่ยนแปลง 5.3 จำนวนพื้นที่ป่าที่ได้รับการปลูกฟื้นฟู 5.4 จำนวนพื้นที่ที่มีการป้องกันและลดการชะล้างพังทลายของดิน |
ด้านที่ 6 การบริหารจัดการ |
เพื่อจัดตั้งองค์กรด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการลุ่มน้ำ ฯลฯ) ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เชื่อมโยงประเด็นการพัฒนาและการหาแหล่งเงินทุน พัฒนาระบบฐานข้อมูลประกอบการตัดสินใจ (คลังน้ำชาติ) สนับสนุนองค์กรลุ่มน้ำ สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างภาครัฐและเอกชน การบริหารจัดการชลประทาน การศึกษาวิจัย เตรียมความพร้อม ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ พัฒนางานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการบริการและการผลิต รวมถึงพัฒนารูปแบบเพื่อยกระดับการจัดการน้ำในพื้นที่และลุ่มน้ำ (เชื่อมโยงการตลาด พลังงาน การผลิต และของเสีย) |
6.1 ระดับความสำเร็จของการจัดตั้งองค์กร/จัดทำแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ 6.2 ร้อยละการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 6.3 มีแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทุกระดับเป็นมาตรฐาน 6.4 ระดับความสำเร็จในการจัดทำระบบฐานข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำที่ทันสมัย |
4. แนวทางการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ต่อไป สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการตามภารกิจและแผนแม่บทรายพื้นที่/โครงการสำคัญ ซึ่งคณะกรรมการลุ่มน้ำจะใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำแผนแม่บทลุ่มน้ำ ซึ่งประกอบไปด้วยแผนปฏิบัติการตามภารกิจของหน่วยงานและแผนปฏิบัติการระดับพื้นที่ รวมทั้งจัดทำแผนบูรณาการงบประมาณประจำปีเสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทั้งนี้ สำหรับแผนบูรณาการงบประมาณประจำปีจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 17 (2) แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติด้วย เมื่อแผนดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ และคณะรัฐมนตรีแล้ว กระทรวงเจ้าสังกัดจะได้ขอจัดสรรงบประมาณต่อสำนักงบประมาณ (สงป.) ในการขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการตามแผนแม่บทลุ่มน้ำและแผนปฏิบัติการประจำปีต่อไป
7. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 4 โครงการ จากวันที่ 8 มิถุนายน 2562 ต่อเนื่องถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการตามภารกิจของ บจธ. จำนวน 4 โครงการ [ได้แก่ (1) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร (2) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน (3) โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง 5 ชุมชน และ (4) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ] จากวันที่ 8 มิถุนายน 2562 ต่อเนื่องถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นวันครบรอบปีแรกของการขยายเวลาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (5 กุมภาพันธ์ 2562)
2. เห็นชอบให้คณะกรรมการ บจธ. พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานและงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2563) เพื่อให้ บจธ. ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการตามภารกิจของ บจธ. จำนวน 4 โครงการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (5 กุมภาพันธ์ 2562) เห็นชอบให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (บจธ.) นำเงินงบประมาณ จำนวน 400,427,037 บาท ดำเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. จำนวน 4 โครงการ [(1) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร (2) โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง 5 ชุมชน (3) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินและเกษตรกรและผู้ยากจน และ (4) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ] โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 - 8 มิถุนายน 2562 ซึ่ง ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2562 โครงการฯ ซึ่งมีวงเงินรวมทั้งสิ้นจำนวน 400,427,037 บาท มีการเบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน 14,309,582.95 บาท (คิดเป็นร้อยละ 3.57) คงเหลืองบประมาณรวมทั้งสิ้น 386,117,454.05 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
โครงการ/ผลการดำเนินงาน |
งบประมาณ (บาท) |
ผลการเบิกจ่าย (บาท) |
1. โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร ผลการดำเนินงาน : เช่น มีการสำรวจ คัดเลือกผู้เดือดร้อน/ ผู้ประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ดินในแต่ละพื้นที่ การพิจารณาพื้นที่ดำเนินการ |
233,253,535 |
343,207.50 (ร้อยละ 0.15) |
2. โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน ผลการดำเนินงาน : เช่น การพิจารณาและตรวจสอบเอกสารการขอรับความช่วยเหลือของเกษตรกรฯ ซึ่งมีผู้เข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือ จำนวน 382 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อที่ดินให้แก่เกษตรกรจำนวน 40 ราย และช่วยเหลือด้านสินเชื่อ จำนวน 26 ราย |
86,032,687 |
252,872.00 (ร้อยละ 0.3) |
3. โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง 5 ชุมชน ผลการดำเนินงาน : เช่น บจธ. ได้จัดซื้อที่ดินในพื้นที่เป้าหมายแล้ว จำนวน 696 ไร่เศษ (เป้าหมาย 810 ไร่) ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกร |
44,785,501 |
13,709,943.45 (ร้อยละ 30.61) |
4. โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ ผลการดำเนินงาน : เช่น ได้ประสานงานกับกรมทางหลวงและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อขอข้อมูลกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ (บ้านเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีผู้เดือดร้อนจำนวน 45 ครัวเรือน 159 คน) |
36,355,314 |
3,560.00 (ร้อยละ 0.01) |
เนื่องจากโครงการฯ ต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงานหลายขั้นตอน บางขั้นตอนใช้ระยะเวลามาก เช่น กระบวนการขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดใช้ระยะเวลาประมาณ 90 วัน ส่งผลให้การจัดซื้อที่ดินเกิดความล่าช้า นอกจากนี้ ที่ดินที่จะจัดซื้อบางส่วนเป็นที่ดินของโรงเรียนและบางพื้นที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย จึงทำให้ต้องจัดหาที่แห่งใหม่แทนพื้นที่ดังกล่าว จึงทำให้เกิดความล่าช้า ดังนั้น ในครั้งนี้ บจธ. จึงขอขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินงานฯ จำนวน 4 โครงการดังกล่าวจากเดิมสิ้นสุดโครงการฯ วันที่ 8 มิถุนายน 2562 เป็นต่อเนื่องไปถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2563 และขอความเห็นชอบให้คณะกรรมการ บจธ. พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานและงบประมาณประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2563) เพื่อให้ บจธ. ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการฯ ต่อไป
8. เรื่อง ขอความเห็นชอบเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก 2020
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอให้ วธ. โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก 2020
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เห็นควรให้ วธ. (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม)
ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปดำเนินการก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 เห็นควรให้ วธ.(กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
วธ. รายงานว่า
1. World Association of Marching Show Band (WAMSB) ซึ่งเป็นองค์กรกลางด้านการพัฒนาและจัดการแข่งขันดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติได้เล็งเห็นถึงความพร้อมของไทยทั้งในด้านบุคลากร ความสามารถ และความพร้อมในด้านสนามแข่งขัน ที่พัก และแหล่งท่องเที่ยว จึงได้ทาบทามให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก 2020 (WAMSB World Championship 2020) เป็นครั้งแรก ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2563 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดย WAMSB ได้แต่งตั้งให้สมาคมดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทสากลประจำประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินงาน และสมาคมฯ ได้เชิญให้ วธ. (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) เป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดการประกวดดังกล่าว
2. วธ. แจ้งว่า สมาคมฯ จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของตนเองทั้งหมด เช่น การเดินทางไปประชุมต่างประเทศ การจัดอบรมครู นักเรียน ผู้ตัดสิน ค่าอุปกรณ์ดนตรีและอุปกรณ์การแสดง เป็นต้น ส่วน วธ. จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวนทั้งสิ้น 30 ล้านบาท
3. รายละเอียดของการเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดฯ ชิงแชมป์โลก 2020 สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
รายละเอียด |
|
ชื่อโครงการ |
โครงการจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก 2020 |
|
วันและสถานที่ |
29 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2563 ณ กรุงเทพมหานคร |
|
วัตถุประสงค์ |
(1) เพื่อส่งเสริมพัฒนาเยาวชน บุคลากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในวงการดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทของไทย (2) เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ด้านดนตรีสากลของไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล
(3) เพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอันจะนำไปสู่การยกระดับความสามารถด้านดนตรีของประเทศ |
|
ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ |
เป็นการดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ คือ ให้เด็กและเยาวชนไทยเล่นดนตรี นาฏศิลป์ หรือศิลปะการแสดงอย่างน้อย 1 อย่าง |
|
กลุ่มเป้าหมาย |
(1) นักเรียน นักศึกษาด้านดนตรีสากล ประเภทดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ท และวงโยธวาทิต ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่น้อยกว่า 2,500 คน (2) บุคลากรในสถาบันการดนตรีทั้งไทยและต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 1,000 คน (3) ประชาชนทั่วไปที่สนใจ
|
|
ผลที่คาดว่าจะได้รับ |
ด้านสังคม |
(1) เยาวชนไทยมีการพัฒนาตามพหุปัญญาได้อย่างเต็มศักยภาพ เสริมสร้างความสามารถพิเศษด้านสุนทรียศิลป์ตามความถนัดและเป็นการส่งเสริมระบบสถานศึกษาและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างและพัฒนาเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ (2) เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของบุคลากรด้านดนตรีและเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยสนใจเล่นดนตรีมากขึ้น (3) เยาวชนไทยได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน
|
|
ด้านเศรษฐกิจ |
(1) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย (2) ส่งเสริมเศรษฐกิจของไทย โดยจะมีเงินหมุนเวียนจากผู้เข้าแข่งขัน ผู้ติดตาม และผู้เข้าชมจากนานาประเทศ (3) ส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย |
แผนบริหารจัดการโครงการ |
ช่วงเวลา |
รายละเอียดกิจกรรม |
|
กรกฎาคม 2562 |
ผู้แทนไทยเข้าร่วมพิธีส่งมอบเมืองเจ้าภาพการประกวดและสังเกตการณ์การจัดการประกวดฯ ชิงแชมป์โลก 2019 ณ เมืองคาลการี แคนาดา |
ตุลาคม 2562 – กุมภาพันธ์ 2563 |
รับสมัครทีมตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ เพื่อเข้าร่วมการประกวดฯ ชิงแชมป์โลก 2020 ทางเว็บไซต์ www.WAMSB.org |
|
ธันวาคม 2562 |
ผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญประจำปี เพื่อรายงานและยืนยันความพร้อมในการจัดการประกวดฯ ชิงแชมป์โลก 2020 ณ นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา |
|
กรกฎาคม 2563 |
การจัดการประกวดฯ ชิงแชมป์โลก 2020 ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2563 ณ ศูนย์วัฒนธรรม แห่งประเทศไทย และศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คเมืองทองธานี |
|
สิงหาคม 2563 |
การประเมินผลโครงการ (1) เชิงปริมาณ โดยมีผู้เข้าร่วมการประกวดฯ จากนานาชาติ > 2,500 คน (2) เชิงคุณภาพ โดยเยาวชนไทยที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ > ร้อยละ 80 และ มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานที่ได้รับรางวัลตามสื่อต่าง ๆ > 2 สื่อ |
|
ความคุ้มค่า |
การส่งวงโยธวาทิตของไทยไปประกวดแต่ละครั้งใช้งบประมาณ 8-10 ล้านบาท/ทีม ซึ่งหากใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท ก็จะส่งประกวดได้แค่ 3 ทีม แต่ด้วยงบประมาณที่เท่ากันสามารถจัดการประกวดฯ ชิงแชมป์โลกในไทยได้ และคาดว่าจะมีผู้สมัครเข้าแข่งขันทีมไทยไม่น้อยกว่า 50 ทีม และทีมต่างประเทศไม่น้อยกว่า 10 ทีม |
9. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 (แก้ไขเพิ่มเติม)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 (แก้ไขเพิ่มเติม) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ดังนี้
สืบเนื่องจากคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ได้พิจารณาแนวทางการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (เพิ่มเติม) และแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (7 พฤษภาคม 2562) รับทราบแล้ว กระทรวงพลังงาน (พน.) ได้มีหนังสือแจ้งประธาน กนป. ขอปรับแก้ไขข้อความในสรุปมติการประชุม กนป. ครั้งที่ 2/2562 ดังกล่าว ในข้อ 2 แนวทางการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (เพิ่มเติม) ที่เสนอโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อให้เกิดความชัดเจนตามข้อหารือในที่ประชุม โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
ข้อความเดิม |
ข้อความที่ปรับแก้ไข |
ย่อหน้าที่ 1 |
|
เห็นชอบให้ พน. โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 200,000 ตัน ... |
มอบหมายให้ พน. โดย กฟผ. ร่วมกับ พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 200,000 ตัน ... |
ข้อ 2.3 |
|
ผู้ขายจัดส่งน้ำมันปาล์มดิบ ณ คลังน้ำมันปาล์มดิบจังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใน 15 วัน (วันปฏิทิน) หลังจากได้รับแจ้งผลการคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว ... |
ผู้ขายจัดส่งน้ำมันปาล์มดิบ ณ คลังน้ำมันปาล์มดิบ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใน 30 วัน (วันปฏิทิน) หลังจากลงนามสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ... |
ข้อ 2.6 |
|
สำหรับส่วนเพิ่มของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 200,000 ตัน ซึ่งได้แก่ ค่าน้ำมันปาล์มดิบ ค่าใช้จ่ายในการเก็บสต็อกและรักษาคุณภาพ และค่าขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากคลัง น้ำมันปาล์มดิบจังหวัดสุราษฎร์ธานีถึงโรงไฟฟ้าบางปะกง ในต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าบางปะกง ประมาณ 1,200 ล้านบาท ให้ กฟผ. ทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง (กค.) และสำนักงบประมาณ (สงป.) ให้เป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account: PSA) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า |
สำหรับส่วนเพิ่มจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าบางปะกง ประมาณ 1,200 ล้านบาท |
กนป. ได้พิจารณาและมีมติไม่ขัดข้อง/เห็นด้วยกับการปรับแก้ไขข้อความดังกล่าวตามข้อเสนอของ พน.
10. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 259.63 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบูรณะและฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ของกรมทางหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินถึงวันทำการสุดท้ายของเดือน กันยายน 2562 จำนวน 259.63 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบูรณะและฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน 5 โครงการ โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะค่าสิ่งก่อสร้าง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
กรมทางหลวงได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 5 โครงการ วงเงิน 259.63 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบูรณะและฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย สรุปได้ ดังนี้
1. โครงการบูรณะปรับปรุงคุณภาพทางหลวงหมายเลข 1117 ตอนคลองแม่ลาย – อุ้มผาง วงเงิน 83 ล้านบาท
2. งานฟื้นฟูทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 2331 ตอนควบคุม 0100 ตอนโจ๊ะโหวะ – อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า (ตอน 1) ระหว่างกิโลเมตรที่ 8+875 – กิโลเมตรที่ 9+425 วงเงิน 44.35 ล้านบาท
3. งานฟื้นฟูทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 2331 ตอนควบคุม 0100 ตอนโจ๊ะโหวะ – อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า (ตอน 2) ระหว่างกิโลเมตรที่ 9+425 – กิโลเมตรที่ 9+975 วงเงิน 42.13 ล้านบาท
4. งานฟื้นฟูทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 2331 ตอนควบคุม 0100 ตอนโจ๊ะโหวะ – อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า (ตอน 3) ระหว่างกิโลเมตรที่ 9+975 – กิโลเมตรที่ 10+550 วงเงิน 47.77 ล้านบาท
5. งานฟื้นฟูทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 2331 ตอนควบคุม 0100 ตอนโจ๊ะโหวะ – อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า (ตอน 4) ระหว่างกิโลเมตรที่ 10+550 – กิโลเมตรที่ 15+550 วงเงิน 42.38 ล้านบาท
ต่างประเทศ
11. เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (ความตกลงฯ) [บันทึกความเข้าใจฯ] (The Draft Memorandum of Understanding on the Opening of Additional Routes and Border Crossing Under Protocol 1 of the CBTA) รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝายไทย และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าวตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมบันทึกความเข้าใจฯ จากที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว หากการปรับเปลี่ยนไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้สามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558
สาระสำคัญของเรื่อง
เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (23 พฤศจิกายน 2542) อนุมัติให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (ความตกลงฯ) และต่อมาประเทศในกลุ่มภาคีความตกลงฯ ได้ให้สัตยาบันต่อภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงดังกล่าว รวม 20 ฉบับ ซึ่งรวมถึงพิธีสาร 1 การกำหนดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ จุดเข้าและออกประเทศด้วย ทั้งนี้ ในพิธีสาร 1 ดังกล่าวได้กำหนดจำนวนเส้นทางไว้แล้ว จำนวน 13 เส้นทาง โดยมีเส้นทางที่ผ่านประเทศไทย 7เส้นทาง
ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะกรรมการอำนวยความสะดวกการขนส่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank ADB) ได้มีการเสนอขอให้ประเทศสมาชิกแจ้งข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพิธีสาร 1 (การกำหนดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ จุดเข้าและออกประเทศ) ของความตกลงฯ ผ่านร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของความตกลงฯ เพื่อปรับปรุงและเพิ่มเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศให้มีความทันสมัยและครอบคลุมกับความต้องการของผู้ประกอบการขนส่งระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกกลุ่มแม่น้ำโขง โดยจะเปิดใช้เส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนใหม่ จำนวน 11 เส้นทาง 13 จุดข้ามแดน ซึ่งมีเส้นทางและจุดข้ามแดนที่กระทบต่อประเทศไทยโดยตรง 5 เส้นทาง 6 จุดผ่านแดน (เป็นจุดผ่านแดนใหม่ จำนวน 3 จุด ได้แก่ พุน้ำร้อน หนองเอี่ยน และนครพนม) ดังนี้
|
เส้นทาง |
จุดข้ามแดน |
1 |
มัณฑะเลย์ – แม่สอด |
แม่สอด |
2 |
นาบูเล – กรุงเทพมหานคร |
พุน้ำร้อน |
3 |
แหลมฉบัง – สะแรอัมเปิล (ศรีโสภณ) |
อรัญประเทศและหนองเอี่ยน |
4 |
กรุงเทพมหานคร – ฮานอย |
นครพนม |
5 |
อุบลราชธานี – แหลมฉบังหรือกรุงเทพมหานคร |
ช่องเม็ก |
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ จะทำให้การกำหนดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศตาม พิธีสาร 1 ดังกล่าว มีจำนวนเส้นทางเพิ่มขึ้นเป็น 24 เส้นทาง โดยเป็นเส้นทางที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 12 เส้นทาง
โดยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติมภายใต้พิธีสาร 1 ดังกล่าว ถือเป็นการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายคน (ผ่านรถโดยสารแบบไม่ประจำทางเท่านั้น) และสินค้า รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศสมาชิกลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาค อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเส้นทางใหม่ กรุงเทพมหานคร – ฮานอย ที่จะมีการกำหนดจุดข้ามแดนเพิ่มที่นครพนม เนื่องจากจะช่วยทำให้การเชื่อมต่อกับโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ของกรมการขนส่งทางบกซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมให้เกิดห่วงโซ่อุปทานตามแนวระเบียงเศรษฐกิจนครพนมต่อไป
12. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารความร่วมมือ และร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 13 รวมทั้งร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 6
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารความร่วมมือ และร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 13 รวมทั้งร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 6 จำนวน 8 ฉบับ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ รวมทั้งรับรองร่างเอกสารความร่วมมือ และร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างเอกสารความร่วมมือและร่างปฏิญญาร่วมฯ รวมทั้งร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสมตามที่กระทรวงกลาโหม เสนอ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนดเป็นประธานการประชุม 13th ADMM (13th ASEAN Defence Ministers’ Meeting :13th ADMM) ระหว่างวันที่ 10 ถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ซึ่งที่ประชุมฯ จะให้การรับรองร่างเอกสารความร่วมมือ และลงนามในร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ว่าด้วยความมั่นคงที่ยั่งยืนและมีกำหนดเป็นประธานการประชุม 6th ADMM-Plus (6th ASEAN Defence Ministers’ Meeting Plus :6th ADMM-Plus) ระหว่างวันที่ 16 ถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 โดยในห้วงการประชุมฯ จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ว่าด้วยการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความมั่นคงที่ยั่งยืน จำนวน 8 ฉบับ ดังนี้
1. ร่างเอกสารแนวคิดว่าด้วยการประเมินผลการปฏิบัติของความคิดริเริ่มในเชิงปฏิบัติในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (Draft Concept Paper on Guidelines for Assessment of the ADMM Initiatives)
2. ร่างเอกสารแนวความคิดว่าด้วยบทบาทของฝ่ายทหารอาเซียนในการสนับสนุนการบริหารจัดการชายแดน (Draft Concept Paper on the Role of ASEAN Defence Establishments in Supporting Border Management)
3. ร่างเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการขยายโครงสร้างการติดต่อสื่อสารโดยตรงของประเทศสมาชิกอาเซียนไปยังประเทศคู่เจรจา (Draft Concept Paper on the Expansion of the ASEAN Direct Communications Infrastructure (ADI) in the ADMM Process to the Plus Countries)
4. ร่างเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการประชุมแพทย์ทหารอาเซียน (Draft concept on Establishment of ASEAN Military Medicine Conference)
5. ร่างเอกสารขอบเขตการปฏิบัติงานโครงการ ASEAN Our Eyes (Draft TOR of ASEAN Our Eyes)
6. ร่างเอกสารแนวทางปฏิบัติในการปฏิสัมพันธ์ทางทะเล (Draft ADMM Guidelines for Maritime Interaction)
7. ร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ว่าด้วยความมั่นคงที่ยั่งยืน (Draft Joint Declaration of the ASEAN Defence Ministers on Sustainable Security)
8. ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจาว่าด้วยการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความมั่นคงที่ยั่งยืน (Draft Joint Statement by the ADMM-Plus Defence Ministers on Advancing Partnership for Sustainable Security)
สาระสำคัญของร่างเอกสารความร่วมมือ เป็นการพัฒนา และส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงให้อาเซียนสามารถตอบสนองความท้าทายด้านความมั่นคงของภูมิภาคในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมในทุกมิติ โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ และร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ในการพัฒนาและขับเคลื่อนความร่วมมือให้อาเซียนมีความมั่นคง เข้มแข็ง และสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองให้กับภูมิภาคให้มีความยั่งยืนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สอดคล้องกับแนวคิดหลักของการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทยว่าด้วย “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน”
13. เรื่อง การขออนุมัติงบประมาณสำหรับสมทบในกองทุน ACMECS ระยะ 5 ปี ภายในกรอบวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการงบประมาณสำหรับสมทบในกองทุน ACMECS ระยะ 5 ปีระหว่างปี 2563-2567 ปีละ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในกรอบวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์ สหรัฐสำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการต่างประเทศขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของสำนักงบประมาณ พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการจัดทำรูปแบบและดำเนินการบริหารกองทุน ACMECS รวมทั้งการหารือกับประเทศสมาชิกเพื่อสรรหาองค์กรหรือหน่วยงานที่จะทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุน ACMECS (Fund Management Agency) ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
โดยที่ไทยเป็นประธาน ACMECS วาระปี 2560-2561 ได้ให้ความสำคัญต่อการจัดหาแหล่งเงินทุนที่มีความยั่งยืน จึงได้เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุน ACMECS เพื่อระดมทุนสำหรับพัฒนาโครงการต่างๆ ภายใต้แผนแม่บท ACMECS โดยข้อเสนอดังกล่าวได้ถูกบรรจุในแผนแม่บท ACMECS ระยะ 5 ปี (ค.ศ.2019-2023) และร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561
ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุน ACMECS จะส่งผลดีต่อไทยและอนุภูมิภาค ดังนี้
1) เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประเทศสมาชิก ACMECS ในการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนแม่บท ACMECS ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ ACMECS เป็นอนุภูมิภาคที่มีความเชื่อมโยงกันหลายมิติ ทั้งด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน การค้า การลงทุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการติดต่อระดับประชาชน ทำให้ ACMECS สามารภเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลก และมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดย ACMECS จะเป็นศูนย์กลางการเจริญเติบโตที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาเซียนและของโลก เป็นสะพานเชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิกเป็นประชาคมที่มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในเวทีระหว่างประเทศและส่งเสริมการบูรณาการของอาเซียนในภาพรวม
2) การสมทบเงินเริ่มต้นในกองทุน ACMECS ของไทยจะเป็นการแสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของไทยต่อนโยบายความเชื่อมโยง ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลกรวมทั้งเป็นการแสดงบทบาทของไทยในการขับเคลื่อนการดำเนินการภายใต้แผนแม่บท ACMECS เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเลื่อมล้ำด้านการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมทั้งเป็นการส่งเสริมบทบาทของไทยในฐานะผู้ให้รายใหม่ (emerging donor) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
3) กองทุน ACMECS เป็นข้อริเริ่มของประเทศสมาชิก ACMECS และบริหารจัดการโดยหน่วยงานที่ประเทศสมาชิกเป็นผู้สรรหา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของ ACMECS นอกจากนี้ การส่งเสริมให้มีประเทศที่มีบทบาทนำในภูมิภาคเข้ามาเป็นประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของ ACMECS และสมทบเงินเข้ากองทุน ACMECS จะช่วยส่งเสริมสมดุลแห่งอำนาจ (balance of power )ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอีกด้วย
แต่งตั้ง
14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางอรัญญา ทองน้ำตะโก รองอธิบดีกรมบังคับคดี ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมบังคับคดี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี