“เสธโหน่ง” เร้าฝ่ายการเมือง-ประชาชน ร่วมเดินหน้าปลดอาวุธ คสช. หวั่น พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงพาไทยย้อนไปยุคนาซี มี ”เกสตาโป” คอยสอดส่อง เชื่อ 3 เดือนปลดได้หาก ภาคการเมืองเอาด้วย
25 มิ.ย. 62 ที่พรรคอนาคตใหม่ พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณี พ.ร.บ.รักษาความมั่นคง 2551 กรณีที่ กอ.รมน.รับโอนหน้าทีจาก คสช.หลังหมดอำนาจ) ว่า การยกเลิกคำสั่ง คสช.ได้นั้น จะต้องมีพระราชบัญญัติมารองรับ หมายความว่า สิ่งนี้จะยังคงอยู่จนกว่าจะมี ทั้งฝ่ายพรรคการเมือง และภาคประชาชนร่วมกับเพื่อร่วมกันปลดอาวุธ ของคสช. ซึ่งที่ผ่านมา แม้เราจะเชื่อกันว่า เมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้ว มาตรา 44 และคสช.จะหายไป ก่อนกลับสู่ชีวิตปกติ ซึ่งเป็นความจริง เพราะยังมีกฎหมายต่างๆ ที่ไปอยู่ใน พรบ.หรือ ระเบียบต่างๆของทางราชการ โดยเฉพาะกรณีการเพิ่มอำนาจ ของ กอรมน. ซึ่งที่ผ่านมา มีการพูดกันว่า จะมีการรับไม้ต่อจาก คสช. ก่อนจะมีการออกมาแก้ต่างว่าไม่มีการดำเนินการลักษณะดังกล่าว แต่สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงนั้นยังมีต่อไป
คำสั่ง คสช.ที่ 51/60 มาตรา 3 ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้มีการประเมินภัยคุกคามซึ่งอาจเกิดขึ้นในเรื่องความมั่นคง ขณะที่มีการเพิ่มเติมในมาตรา 11 ซึ่งเป็นส่วนที่มีปัญหามาก คือ ให้แม่ทัพภาคเป็นหัวหน้าคณะกรรมการ ร่วมกับหน่วยราชการต่างๆ ทั้งอัยการสูงสุด ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนในพื้นที่ ซึ่งปกติแล้วหากเราจะดำเนินการเรื่องกระบวนการยุติธรรม อำนาจต่างๆต้องแยกออกจากกัน แต่กรณีดังกล่าวอำนาจกลับมารรวมอยู่ที่แม่ทัพภาค ทำให้เกิดการรวมศุนย์ความคิด หมายความว่าแนวคิดของคณะกรรมการทั้งหมดไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก
ขณะที่ในมาตรา 13 มีการถ่ายอำนาจไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นผู้รับนโยบาย ครอบคลุมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันนี้ก็อยุ่ในความควบคุมอยู่แล้ว โดยไม่ได้ขึ้นตรงกับส่วนภูมิภาค หรือผุ้ว่าราชการจังหวัดอีกต่อไป ตามกฎหมายใหม่ เช่นเดียวกับระดับท้องที่ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
“โครงสร้างเครือข่ายในการควบคุมประชาชนตั้งแต่ในระดับรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไปจนถึงประชาชนคนสุดท้าย อยู่ในการควบคุมของกลไกที่มาจาก คสช. ถ้าจะให้นิยาม มันคือ เกสตาโป ในสมัยนาซี ที่เจ้าหน้าที่จะเข้าถึงทุกบ้าน หากประชาชนอยากเรียกร้อง หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง ก็ต้องไปที่องค์กรอิสระ ซึ่งสุดท้ายองค์กรอิสระ ก็อยู่ภายใต้การกำกับของ สว. อีกที แสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือ วงจรของคสช.ที่ยังไม่หมดไป แต่ผมเชื่อว่าภายใน 3 เดือนข้างหน้า หากมีการกระทำอย่างแข็งขันจริง และฝ่ายรัฐบาลเห็นด้วยในฐานะภาคการเมืองด้วยกัน เราสามารภทำสำเร็จได้ แต่ถ้าขาดการร่วมมือจากภาคการเมือง คงยากที่จะทำสำเร็จ และสุดท้ายเราก็จะอยู่ในการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ขององค์กรบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าปรารถนา” รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ระบุ
พล.ท.พงศกร กล่าวต่อว่า หากมีธุรกิจ 2 แห่ง แห่งแรก มีฝ่ายปกครอง ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอื่นๆ เข้ามาเยี่ยมทุกวัน ขณะที่อีกธุรกิจหนึ่งสามารถค้าขายได้ทั้งวันไม่มีใครว่าอะไร หมายความว่าเรื่องดังกล่าวจะกระทบต่อธุรกิจในระดับท้องถิ่นด้วย ดังนั้นทุกองคาพยพของประเทศไทยจะมีภัย ซึ่งกลไกราชการไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามกับเสรีภาพของประชาชน ในการทำธุรกิจ
“ฝ่ายราชการควรทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนประชาชน แต่กรณีดังกล่าว เป็นการเข้ามาควบคุมประชาชน ซึ่งเราต้องนิยามให้ได้ก่อนว่า ทหารเป็นผู้ป้องกันประเทศ ป้องกันอริราชศัตรู ดังนั้น งานนี้ต้องเป็นงานของฝ่ายพลเรือน รวมถึงต้องมีการแยกการทำงานระหว่างตำรวจ และอัยการด้วยเพื่อไม่ให้รวมการบัคับใช้กฎหมายอย่างเบ็ดเสร็จมากเกินไป เพื่อการตรวจสอบถ่วงดุล แม้ว่าเต่เดิมจะเคยมีคณะกรรมการลักษณะแบบนี้ แต่ไม่มีอำนาจเท่านี้ เป็นเพียงแค่การขอความร่วมมือ แต่ไม่ใช่ลักษณะสั่งการแบบนี้” พล.ท.พงศกร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี