เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 2 กรกฎาคม 2562 ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจ - สังคม
1. เรื่อง ขออนุมัติงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ เพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย ระยะที่ 2 (ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย ระยะที่ 2 (ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) ระยะเวลาดำเนินการ 19 เดือน ในวงเงิน 751,624,800 บาท ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 112,743,700 บาท ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สำหรับส่วนที่เหลือจำนวน 638,881,100 บาท อนุมัติให้ รฟท. ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2564 ตามแผนการเบิกจ่ายต่อไป โดยให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณประจำปีให้ รฟท. ตามขั้นตอนต่อไป
2. อนุมัติให้ รฟท. ได้รับการยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) สำหรับการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาในครั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสัดส่วนการได้รับจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรก ที่กำหนดไว้ว่าต้องได้รับการจัดสรรไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นงบประมาณทั้งสิ้น
สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ กค. ได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2562 แล้ว โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป และให้ รฟท. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับ สงป. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของ สงป.
2. เรื่อง ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนตามนัยมาตรา 64 และมาตรา 68 (3) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 รวม 4 สัญญา ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ตรวจพิจารณา และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้ปรับปรุงร่างสัญญาตามข้อสังเกตของ อส. แล้ว ดังนี้
1. ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการคลังสินค้าฯ) ครั้งที่ 2 ระหว่าง ทอท. กับบริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (WFS- PG CARGO Co., Ltd. : WFSPG)
2. ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการซ่อมบำรุง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นฯ) ครั้งที่ 2 ระหว่าง ทอท. กับบริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด (Worldwide Flight Services Bangkok Air Ground Handling Co., Ltd. : BFS)
3. ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการครัวการบิน (Catering Services) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการครัวการบินฯ) ครั้งที่ 3 ระหว่าง ทอท. กับบริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด (Bangkok Air Catering Co., Ltd. : BAC)
4. ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการครัวการบิน (Catering Services) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครั้งที่ 3 ระหว่าง ทอท. กับบริษัท แอลเอสจี สกายเชฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด [LSG Sky Chefs (Thailand) Ltd. : LSG]
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องดังกล่าวกระทรวงคมนาคม โดยบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้เสนอขอแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมจำนวน 4 ฉบับ ระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเอกชนที่ได้รับสิทธิในการดำเนินโครงการคลังสินค้า โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุงและโครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (WFSPG) บริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด (BFS) บริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด (BAC) และ บริษัท แอลเอสจี สกายเชฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (LSG) ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันนำไปสู่การปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิช่วงระหว่างเดือนเมษายน – ธันวาคม 2553 (ระยะเวลา 9 เดือน) ตามมติคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ให้ความเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการปี 2553 และปี 2553 (เพิ่มเติม) และต่อมาคณะกรรมการประสานงานโครงการต่างๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 มีมติเห็นชอบมาตรการดังกล่าวข้างต้นยกเว้นการขยายอายุสัญญาออกไปอีก 2 ปี โดยจะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดังนี้
โครงการ/ผู้ประกอบการ |
มาตรการที่ 1 |
มาตรการที่ 2 |
มาตรการที่ 3 |
โครงการคลังสินค้า/บริษัท WFSPG |
√ |
√ |
√ |
โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง/บริษัท BFS |
|
√ |
|
โครงการครัวการบิน/บริษัท BAC |
√ |
√ |
√ |
โครงการครัวการบิน/บริษัท LSG |
√ |
√ |
√ |
หมายเหตุ มาตรการที่ 1 เลื่อนการเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำของปีสัญญาที่ 2 ไปเป็นอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำในปีสัญญาที่ 4 และปีสัญญาที่ 5 มาตรการที่ 2 ยกเว้นค่าตอบแทนขั้นต่ำ 9 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน – ธันวาคม 2553 (กรณีค่าตอบแทนที่คำนวณจากอัตราร้อยละสูงกว่าอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำให้เรียกเก็บเงินค่าตอบแทนในอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำ) มาตรการที่ 3 เลื่อนการเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำของปีสัญญาที่ 3 ไปเป็นอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำในปีสัญญาที่ 6 และตั้งแต่ปีสัญญาที่ 4 เป็นต้นไปให้เลื่อนอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำที่กำหนดไว้เป็นลักษณะเดียวกันกับการเลื่อนอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำของปีสัญญาที่ 3 เป็นปีสัญญาที่ 6 จนครบกำหนดอายุสัญญา 20 ปี |
โดยในส่วนของมูลค่าความช่วยเหลือผู้ประกอบการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการปี 2553 และปี 2553 (เพิ่มเติม) เมื่อบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้แก้ไขสัญญาเพิ่มเติมแล้ว จะทำให้อัตราค่าตอบแทนที่ผู้ประกอบการจะต้องชำระเป็นไปตามรายละเอียดที่ปรากฏในตาราง ซึ่งมูลค่าการให้ความช่วยเหลือนั้นเป็นไปตามหลักการที่ว่า การให้ความช่วยเหลือจะต้องไม่เกินไปกว่ามูลค่าความเสียหายที่ประเมินได้
ช่วงเวลาของสัญญา |
ครัวการบิน |
อุปกรณ์ภาคพื้นฯ |
คลังสินค้า |
|
BAC |
LSG |
BFS |
WFSPG |
|
ค่าตอบแทนขั้นต่ำ (บาท) |
||||
ปีที่ 4 |
|
|
|
|
(1 มกราคม 2553 – 31 มีนาคม 2553) |
29,000,000.00 |
17,500,000.00 |
41,500,000.00 |
37,500,000.00 |
(1 เมษายน 2553 – 27 กันยายน 2553) |
57,033,333.33 (ไม่เรียกเก็บขั้นต่ำ) |
34,416,666.67 (ไม่เรียกเก็บขั้นต่ำ) |
81,616,666.67 (ไม่เรียกเก็บขั้นต่ำ) |
73,750,000.00 (ไม่เรียกเก็บขั้นต่ำ) |
ปีที่ 5 |
|
|
|
|
(28 กันยายน 2553 – 31 ธันวาคม 2553) |
29,966,666.67 (ไม่เรียกเก็บขั้นต่ำ) |
18,083,333.33 (ไม่เรียกเก็บขั้นต่ำ) |
48,029,333.33 (ไม่เรียกเก็บขั้นต่ำ) |
38,750,000.00 (ไม่เรียกเก็บขั้นต่ำ) |
(1 มกราคม 2554 – 27 กันยายน 2554) |
86,033,333.33 |
51,916,666.67 |
137,890,666.67 |
111,250,000.00 |
ปีที่ 6 |
116,000,000.00 |
70,000,000.00 |
185,920,000.00 |
150,000,000.00 |
ปีที่ 7 |
129,920,000.00 |
78,400,000.00 |
185,920,000.00 |
168,000,000.00 |
ปีที่ 8 |
129,920,000.00 |
78,400,000.00 |
208,230,400.00 |
168,000,000.00 |
ปีที่ 9 |
129,920,000.00 |
78,400,000.00 |
208,230,400.00 |
168,000,000.00 |
ปีที่ 10 |
145,510,400.00 |
87,808,000.00 |
208,230,400.00 |
188,160,000.00 |
ปีที่ 11 |
145,510,400.00 |
87,808,000.00 |
233,218,048.00 |
188,160,000.00 |
ปีที่ 12 |
145,510,400.00 |
87,808,000.00 |
233,218,048.00 |
188,160,000.00 |
ปีที่ 13 |
162,971,648.00 |
98,344,960.00 |
233,218,048.00 |
210,739,200.00 |
ปีที่ 14 |
162,971,648.00 |
98,344,960.00 |
261,204,214.00 |
210,739,200.00 |
ปีที่ 15 |
162,971,648.00 |
98,344,960.00 |
261,204,214.00 |
210,739,200.00 |
ปีที่ 16 |
182,528,246.00 |
110,146,356.00 |
261,204,214.00 |
236,027,904.00 |
ปีที่ 17 |
182,528,246.00 |
110,146,356.00 |
292,548,720.00 |
236,027,904.00 |
ปีที่ 18 |
182,528,246.00 |
110,146,356.00 |
292,548,720.00 |
236,027,904.00 |
ปีที่ 19 |
204,431,636.00 |
123,363,919.00 |
292,548,720.00 |
264,351,253.00 |
ปีที่ 20 |
204,431,636.00 |
123,363,919.00 |
327,654,566.00 |
264,351,253.00 |
ดังนั้น เรื่องดังกล่าวจึงเป็นการเสนอขอแก้ไขการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับผลประโยชน์ตอบแทนของรัฐ จึงเข้าข่ายการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ซึ่งอาศัยบทเฉพาะกาลตามนัยมาตรา 64 และมาตรา 68 (3) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ด้วยแล้ว โดยร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลังสินค้า โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง และโครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมทั้งได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เห็นชอบกับการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคม [บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)] เสนอด้วยแล้ว
ทั้งนี้ การแก้ไขสัญญาที่กระทรวงคมนาคม [บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)] เสนอมาในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในลักษณะเดียวกันกับที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับไปแล้วก่อนหน้านี้ จึงเป็นไปตามหลักการความเท่าเทียมกันสำหรับผู้ประกอบการทุกราย ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3. เรื่อง ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 1,775.653 ล้านบาท และของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 3,238.682 ล้านบาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2562 ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ทั้งนี้ ให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ทราบในโอกาสแรกด้วยเพื่อ สศค. จะได้จัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2562 ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ขสมก. |
รฟท. |
||
ข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนฯ |
วงเงินที่คณะกรรมการฯ เห็นชอบ |
ข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนฯ |
วงเงินที่คณะกรรมการฯ เห็นชอบ |
4,976.8381 |
1,775.653 |
7,076.112 |
3,238.682 |
1ไม่รวมดอกเบี้ยจ่าย [แบ่งเป็นรถโดยสารธรรมดา (ดีเซล) จำนวน 3,029.912 ล้านบาท และรถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 1,946.926 ล้านบาท]
โดยรายการหลักที่คณะกรรมการฯ ได้ปรับลดกรอบวงเงินของทั้งสองหน่วยงานลงมีรายละเอียด ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
รายการที่ปรับ |
ข้อเสนอ |
วงเงินที่ลดลง |
ผลการพิจารณา |
เหตุผลของการปรับลด |
ขสมก. เช่น |
||||
1) เงินอุดหนุนบริการสาธารณะสำหรับรถโดยสารปรับอากาศ |
1,946.926 |
1,946.926 |
0.000 |
ไม่มีหลักฐานที่อ้างอิงได้ว่า ขสมก. ถูกควบคุมราคา |
2) เงินเดือนค่าจ้างและสวัสดิการ |
1,840392 |
306,780 |
1,533.612 |
เปลี่ยนวิธีการคำนวณให้เป็นไปตามเกณฑ์ เพื่อลดความคลาดเคลื่อน |
3) ค่าเชื้อเพลิง |
1,156.699 |
21.140 |
1,135.559 |
|
รฟท. เช่น |
|
|
|
|
1) ค่าโครงสร้างพื้นฐาน |
913.420 |
737.380 |
176.040 |
ค่าใช้จ่ายบางส่วนมีภาครัฐเป็นผู้รับภาระในการลงทุน |
2) ค่าเสื่อมราคา |
1,223.835 |
1,212.504 |
11.331 |
|
3) ต้นทุนดอกเบี้ย |
1,029.781 |
988.224 |
41.557 |
|
4) ค่าเชื้อเพลิง |
570.295 |
38.577 |
531.718 |
ปรับสมมติฐานการคำนวณต้นทุนให้เป็นไปตามเกณฑ์ |
5) รายจ่ายบำเหน็จบำนาญ
|
746.841 |
746.841 |
0.000 |
เป็นสวัสดิการสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปลดเกษียณแล้ว |
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้มีมติให้ ขสมก. และ รฟท. ไปพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะสาขาขนส่งด้วย
4. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2561 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. รายงานภาพรวมธุรกิจประกันภัยของไทย รอบ 12 เดือน ปี 2561 ประกอบด้วยธุรกิจประกันภัยของไทยในช่วงเดือนมกราคม – ธันวาคม ปี 2561 และแนวโน้มของธุรกิจประกันภัย ปี 2562 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
รายการ |
ปี 2560 (ล้านบาท) |
ปี 2561 (ล้านบาท) |
ขยายตัว (ร้อยละ) |
แนวโน้ม ปี 2562 (ล้านบาท) |
ขยายตัว (ร้อยละ) |
เบี้ยประกันชีวิต |
600,256 |
627,560 |
4.55 |
659,408 |
5.1 – 6.1 |
เบี้ยประกันวินาศภัย |
218,434 |
231,990 |
6.21 |
249,513 |
7.1 – 8.1 |
รวม |
818,690 |
859,550 |
4.99 |
907,920 |
5.6 – 6.6 |
2. รายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาลของสำนักงาน คปภ. และนโยบายที่กำหนดโดย คปภ. ภายใต้แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2559 - 2563) ใน 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่
ยุทธศาสตร์ |
กลยุทธ์ |
ปัญหา/อุปสรรค |
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมประกันภัย |
1. เสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการ 2. ยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจประกันภัย 3. คุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย และยกระดับพฤติกรรมทางตลาดของระบบประกันภัย |
การขาดบุคลากรที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยและการออกกฎเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้บริษัทขนาดเล็กมีระยะเวลาในการปรับตัว |
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงการประกันภัย |
1. เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย 2. ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยง เช่น การทำประกันภัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย 3. ส่งเสริมการเข้าถึงประกันภัยเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ 4. ขยายช่องทางการเข้าถึงการประกันภัยของประชาชน |
ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวในการเข้าถึงช่องทางการขายประกันภัยผ่านระบบออนไลน์และสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่งผลกระทบต่อรายได้ของครัวเรือนและการตัดสินใจซื้อประกันภัยของผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบควบการลงทุนมีความซับซ้อนทำให้เป็นข้อจำกัดหนึ่งในการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน |
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน |
1. เสริมสร้างการแข่งขันผ่านการผ่อนคลายการกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย 2. พัฒนาการกำกับและกระบวนการให้ความเห็นชอบ/อนุมัติผลิตภัณฑ์ประกันภัย 3. ส่งเสริมการเชื่อมโยงตลาดประกันภัยในภูมิภาคอาเซียน
|
ธุรกิจประกันภัยมีความแตกต่างของขนาดค่อนข้างมาก จึงต้องมีการผ่อนคลายการกำกับผลิตภัณฑ์อย่างค่อยเป็นค่อยไปรวมทั้งกฎหมายแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีความแตกต่างกัน จึงต้องพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดการเข้าถึงตลาดประกันภัยในประเทอื่น |
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย |
1. พัฒนาและยกระดับบุคลากรประกันภัยให้เป็นมืออาชีพ 2. ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาระบบประกันภัย 3. เสริมสร้างศักยภาพระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการประกันภัย 4. ผลักดันให้การประกันภัยเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง 5. เสริมสร้างศักยภาพของหน่วยงานกำกับ |
ข้อมูลด้านประกันภัยมีความซับซ้อน ประกอบกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกัน จึงต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและระดมความเห็นในการจัดทำโครงสร้างฐานข้อมูลและต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ระบบมีข้อบกพร่องน้อยที่สุด |
3. รายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดสำนักงาน คปภ. รอบ 12 เดือน ปี 2561 ประกอบด้วย 10 ตัวชี้วัด มีค่าคะแนนถ่วงน้ำหนักรวมอยู่ที่ 3.90 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน โดยมีตัวชี้วัดบางประการที่ได้รับคะแนนในระดับที่ต่ำกว่าตัวชี้วัดอื่น ๆ มาก ได้แก่ ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านทรัพยากรบุคคลระยะ 3 ปี (2 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) และระดับความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ฉบับที่ 2 (2 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) ซึ่งตัวชี้วัดประเภทเดียวกันในรายงานฯ ปี 2560 ก็มีคะแนนในระดับต่ำเช่นเดียวกัน
4. รายงานผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการกับสำนักงาน คปภ. รอบ 12 เดือน ปี 2561 ได้มีการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,000 ราย ประเมินผลความพึงพอใจ 3 ด้านคือ ความเป็นธรรม คุณภาพการให้บริการ และการเข้าถึงการบริการ ผลการประเมินภาพรวมอยู่ที่ 4.69 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน หรือที่ระดับความพึงพอใจมาก (เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ 4.60 คะแนน)
5. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ควรให้ กค. กำกับสำนักงาน คปภ. ให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาตามข้อ 3 อย่างเป็นรูปธรรมและนำผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในรายงานฯ ปี 2562 ต่อไป
5. เรื่อง ขออนุมัติการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการ เพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2552 เพิ่มเติม จำนวน 79 ราย รายละ 500,000 บาท เป็นจำนวนเงิน 39,500,000 บาท โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ดำเนินการประสานงานกับสำนักงบประมาณ (สงป.) ในการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตดังกล่าวต่อไป ตามที่ สปน. เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สปน. รายงานว่า
1. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติวันที่ 12 กรกฎาคม 2559 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้จัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินทดแทนการประกันชีวิตให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2552 เพิ่มเติม จำนวน 79 ราย รายละ 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 39,500,000 บาท
2. คณะกรรมการพิจารณาบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562 พิจารณาแล้วเห็นว่าการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการเพิ่มเติม ซึ่ง ศอ.บต. ได้เสนอเอกสารหลักฐานมาเพื่อประกอบพิจารณานั้น เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2552 รวมทั้งได้ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงิน “เงินทดแทนการประกันชีวิต” ครบถ้วนแล้ว จึงเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ (สปน.) ดำเนินการขออนุมัติการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2552 จำนวน 79 ราย รายละ 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 39,500,000 บาท ต่อคณะรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทำหนังสือสอบถามความเห็นของ สงป. เพื่อใช้ประกอบเป็นข้อมูลในการเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อไป
3. สงป. พิจารณาแล้วเห็นสมควรที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังดังกล่าวตามมติคณะกรรมการพิจารณาบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป และให้ตรวจสอบผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการประกันชีวิตเพิ่มเติม จำนวน 79 ราย กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2552 จำนวน 1,228 ราย ที่ได้เงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังไปก่อนหน้านี้เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการด้วย
ทั้งนี้ สปน. ได้ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดแล้ว ไม่พบว่ามีความซ้ำซ้อนกับผู้ได้รับเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังไปก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
6. เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ปี 2562 จำนวน 52 รายการ จำแนกเป็น 46 สินค้า และ 6 บริการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญขงเรื่อง
การพิจารณากำหนดสินค้าหรือบริการควบคุมปี 2562
ในคราวประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ครั้งที่ 3/2562 เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2562 ที่ประชุมได้พิจารณาทบทวนรายการสินค้าและบริการควบคุม โดยสรุปมติที่ประชุมได้ ดังนี้
โดยขอเพิ่มรายละเอียดสินค้า จำนวน 1 รายการ คือ มันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์ ปรับเป็น “ต้นพันธุ์ ท่อนพันธุ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์” เนื่องจากโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลังเป็นโรคร้ายแรง หากเกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมมันสำปะหลังทั้งระบบ จะทำลายผลผลิตมันสำปะหลังมากถึงร้อยละ 80 - 100 ส่งผลให้เกษตรกรมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งจากการใช้ยากำจัดแมลงหวี่ขาวที่เป็นพาหนะนำโรคการเพาะปลูกทดแทนมันสำปะหลังที่ต้องถอนทำลายทิ้ง รวมทั้งเมื่อทำลายแล้วจะต้องพักดินเพื่อให้เชื้อหมดกว่าจะปลูกใหม่ได้ เสียโอกาสในการขายผลผลิตและขาดรายได้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สำหรับภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการจะเกิดการขาดแคลนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมทั้งมันเส้น แป้งมันสำปะหลัง เอทานอล และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เกิดการแข่งขันด้านราคา ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมต่อเนื่องและกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน อาจทำให้สูญเสียตลาดคู่ค้าสำคัญ รวมทั้งส่วนแบ่งการตลาดลดลง
2. ยกเลิกรายการสินค้าควบคุม จำนวน 1 รายการ คือ ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน เนื่องจากความนิยมในการบริโภคครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมันลดลง ในขณะที่ตลาดมีผู้ประกอบการรายใหญ่จำนวนหลายรายและมีการแข่งขันสูง อีกทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการแจ้งขอปรับราคาจำหน่ายสินค้าสูงขึ้น รวมทั้งไม่มีการร้องเรียนเรื่องราคาจำหน่ายสูงเกินสมควร นอกจากนี้ จากเดิมต้องมีการนำเข้าวัถตุดิบ (ไขมันเนย) ในการผลิตแต่ปัจจุบันได้ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบทดแทน จึงเห็นควรยกเลิกการกำหนดเป็นสินค้าควบคุม
มีปัญหาราคาตกต่ำในช่วงฤดูกาลที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากมาโดยตลอด จากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2560 นำเข้า 36,492 ตัน และ ปี 2561 นำเข้า 89,205 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 144 รวมทั้งยังมีปัญหาการลักลอบการนำเข้า จึงเห็นควรกำหนดให้หอมหัวใหญ่เป็นสินค้าควบคุม เพื่อกำกับดูแลสินค้าหอมหัวใหญ่ให้เกิดความเป็นธรรม แก่เกษตรกร มิให้เกิดผลกระทบต่อราคาหอมหัวใหญ่ที่เกษตรกรขายได้
4. เห็นชอบสินค้าและบริการควบคุม ปี 2562 มี จำนวน 52 รายการ จำแนกเป็น 46 สินค้า 6 บริการ โดยแบ่งเป็น 10 หมวดสินค้า และ 1 หมวดบริการ ซึ่งครอบคลุมสินค้าและบริการที่สำคัญ ดังนี้
1) หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ จำนวน 2 รายการ คือ (1) กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว (2) กระดาษพิมพ์และเขียน
2) หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน 2 รายการ คือ (3) ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ (4) รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก
3) หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน 6 รายการ คือ (5) เครื่องสูบน้ำ (6) ปุ๋ย (7) ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช (8) รถเกี่ยวข้าว (9) รถไถนา (10) หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์
4) หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวน 2 รายการ คือ (11) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (12) น้ำมันเชื้อเพลิง
5) หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ จำนวน 2 รายการ คือ (13) ยารักษาโรค (14) เวชภัณฑ์ เกี่ยวกับการรักษาโรค
6) หมวดวัสดุก่อสร้าง จำนวน 4 รายการ คือ (15) ท่อพีวีซี (16) ปูนซีเมนต์ (17) สายไฟฟ้า (18) เหล็กโครสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น
7) หมวดสินค้าเกษตรที่สำคัญ จำนวน 7 รายการ คือ (19) ข้าวเปลือก ข้าวสาร (20) ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ (21) ข้าวโพด (22) ต้นพันธุ์ ท่อนพันธุ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ (23) ผลปาล์มน้ำมัน (24) มะพร้าวผลแก่ และผลิตภัณฑ์ (25) ยางพารา ได้แก่ น้ำยางสด ยางก้อน เศษยาง น้ำยางข้น ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ
8) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค จำนวน 8 รายการ คือ (26) กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า (37) แชมพู (28) น้ำยาปรับผ้านุ่ม (29) ผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก (30) ผลิตภัณฑ์ล้างจาน (31) ผ้าอนามัย (32) ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กและผู้ใหญ่ (33) สบู่ก้อน สบู่เหลว
9) หมวดอาหาร จำนวน 12 รายการ คือ (34) กระเทียม (35) ไข่ไก่ (36) ทุเรียน (37) นมผง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว ไม่รวมถึงนมเปรี้ยว (38) น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ (39) แป้งสาลี (40) มังคุด (41) ลำไย (42) สุกร เนื้อสุกร (43) หอมหัวใหญ่ (44) อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก (45) อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
10) หมวดอื่น ๆ จำนวน 1 รายการ คือ (46) เครื่องแบบนักเรียน
11) หมวดบริการ จำนวน 6 รายการ คือ (47) การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า (48) บริการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ (49) บริการทางการเกษตร (50) บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค (51) บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ และ (52) บริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า
7. เรื่อง การแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน จ่ายเงินชดเชยแก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานีจำนวน 9 รายรวมทั้งสิ้น 13,933,122.50 บาทโดยในส่วนของงบประมาณ ให้กรมชลประธานปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มาดำเนินการเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562 (เฉพาะโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี)
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า ในคราวการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562 มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เป็นประธานกรรมการ ได้มีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าชดเชยการสูญเสียโอกาสในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและค่าชดเชยการสูญเสียการทำประโยชน์ในที่ดินหลังฤดูเก็บเกี่ยว จำนวน 13,933,122.50 บาท แบ่งเป็น
- ค่าชดเชยการสูญเสียโอกาสในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ระยะเวลา 20 ปี (ตั้งแต่ พ.ศ 2540 ถึง พ.ศ. 2560) จำนวน 9 ราย เนื้อที่ 163-2-23 ไร่ เป็นเงินไร่ละ 63,000 บาท รวมเป็นเงิน 10,304,122.50 บาท
- ค่าชดเชยการสูญเสียการทำประโยชน์ในที่ดินหลังฤดูการเก็บเกี่ยว ตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 กรณีพื้นที่ทำการเพาะปลูกข้าว ไร่ละ 1,113 บาท มาคำนวณเนื้อที่ 163-2-23 ไร่ ระยะเวลา 20 ปี (พ.ศ. 2540 - 2560) จำนวน 9 ราย รวมเป็นเงิน 3,629,000 บาท
2. เห็นควรให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามข้อ 1
3. มอบหมายให้ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการดังกล่าวนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร่งด่วน และให้จัดทำรายละเอียดการดำเนินการทางการคลังและงบประมาณตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย
ทั้งนี้ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562 ให้กรมชลประทานปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อนำมาใช้จ่ายเงินเป็นค่าชดเชยแก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 13,933,122.50 บาท สรุปได้ ดังนี้
ประเภทรายจ่าย |
จำนวน (บาท) |
1. ค่าชดเชยการสูญเสียโอกาสในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม |
10,304,122.50 |
2. ค่าชดเชยการสูญเสียการทำประโยชน์ในที่ดินหลังฤดูการเก็บเกี่ยว |
3,629,000 |
รวมทั้งสิ้น |
13,933,122.50 |
ต่างประเทศ
8. เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เรื่อง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2462 (ค.ศ. 2019)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council - UNSC) เรื่อง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2462 (ค.ศ. 2019) และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือข้อขัดข้อง หรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการต่างประเทศเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณารับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council - UNSC) เรื่อง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2462 (ค.ศ. 2019) ที่ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นข้อมติ UNSC ฉบับที่ 25 เพื่อตอบสนองต่อการก่อการร้ายที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคง เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตและเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือเผยแพร่แนวคิดก่อการร้าย หาสมาชิก ระดมทุนและวางแผนการก่อการร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยข้อมติฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้ไทยในฐานะรัฐสมาชิกจะต้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของกฎหมายภายในของไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การกำหนดความผิดทางอาญาที่รุนแรงสำหรับการดำเนินคดีและลงโทษที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม การเรียกร้องให้รัฐสมาชิกพิจารณาเปิดเผยบัญชีการอายัดทรัพย์สินระดับชาติหรือระดับภูมิภาคต่อสาธารณะ การผลักดันให้รัฐสมาชิกมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการดำเนินการและปรับปรุงบัญชีมาตรการลงโทษกลุ่ม ISIL (Da’esh) และกลุ่ม Al – Qaida ให้ทันสมัย และการผลักดันให้รัฐสมาชิกจัดตั้งหรือยกระดับกรอบการทำงานระดับชาติที่อนุญาตให้หน่วยงานระดับชาติที่เกี่ยวข้องสามารถรวบรวมหรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย เป็นต้น
ทั้งนี้ การดำเนินการตามข้อมติดังกล่าวส่วนใหญสอดคล้องกับภารกิจการต่อต้านการก่อการร้ายที่ส่วนราชการของไทยปฏิบัติตามหน้าที่อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ไทยควรเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังเพื่อการป้องปรามเกี่ยวกับการห้ามเดินทางเข้าหรือผ่านดินแดนและการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลปฏิบัติการและข่าวกรองทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมหรือความเคลื่อนไหวของเครือข่ายก่อการร้ายกับประเทศต้นทาง ประเทศถิ่นพำนัก หรือเจ้าของสัญชาติ ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทาง เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางการเงินและการเดินทางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีความเป็นไปได้ที่นักรบก่อการร้ายต่างชาติอาจเลือกเดินทางผ่านเข้าและออกจากไทย ใช้ไทยเป็นที่พักพิง รวมทั้งอาจดำเนินธุรกรรมการเงินในหรือผ่านประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการก่อการร้ายทั้งในภูมิภาคนี้และภูมิภาคอื่นๆ
9. เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ
สาระสำคัญของร่างความตกลงด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตลอดจนการบริการด้านการค้นหาและช่วยเหลือทางการบินและการอำนวยความสะดวกในการค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุอากาศยานโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามข้อกำหนดในการบริการด้านการค้นหาและช่วยชีวิตในเขตการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัย (SRRs) ทั้งนี้ ความตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ณ วันที่มีการลงนามของรัฐทั้งสองฝ่าย
10. เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการบริหาร การบำรุงรักษา และการใช้ สะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาว่าด้วยการบริหาร การบำรุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมาธิการบริหารและบำรุงรักษาสะพาน (ฝ่ายไทย) ตายนัยข้อ 4 ของร่างความตกลงดังกล่าว โดยอนุมัติกระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทน สำหรับการลงนามดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 และทั้งสองฝ่ายได้จัดพิธีฉลองความสำเร็จการก่อสร้างสะพานดังกล่าว เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานร่วมฝ่ายไทยร่วมกับที่ปรึกษาแห่งรัฐ สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา
ทั้งนี้ การเปิดสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 จำเป็นต้องจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสภาพเมียนมา เพื่อกำหนดพื้นฐานทางกฎหมายที่จำเป็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ ความร่วมมือทางกฎหมาย การใช้ การบริหารและการบำรุงรักษาสะพาน บนพื้นฐานของความร่วมมือ และความเคารพในเอกราชอธิปไตย และความเสมอภาคระหว่างกัน
แต่งตั้ง
11. เรื่อง การแต่งตั้งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็กในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นายวันชัย รุจนวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ASEAN Commission on the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children: ACWC) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก เป็นวาระที่ 2 (ระหว่างวันที่ 7 เมษายน 2562 ถึงวันที่ 7 เมษายน 2565) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป
12. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นางสุวรีย์ ใจหาญ ที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอแต่งตั้ง นายเสนีย์ ชีพทองคำ ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ) สำนักงบประมาณ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นายสราวุธ ชีวะประเสริฐ ผู้อำนวยการกองนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
15. เรื่อง การรับโอนข้าราชการทหารมาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรับโอน พลเอก ชัยวัฒน์ โฆสิตาภา ข้าราชการทหาร ตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงกลาโหม มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอน และ ก.พ. ได้มีมติอนุมัติให้รับโอนมาบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้เป็นกรณีเฉพาะราย และ พลเอก ชัยวัฒน์ฯ ได้ผ่านการประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหารจากสำนักงาน ก.พ. ด้วยแล้ว
16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นางสาววรวรรณ พลิคามิน ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และการวางแผนพัฒนาทางสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายดำรง ใคร่ครวญ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2. นายเจษฎา กตเวทิน อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายดุสิต เมนะพันธุ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต รัฐคูเวต ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา
4. นายภควัต ตันสกุล เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูดาเปสต์ ฮังการี
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน โดยการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ ตามข้อ 1 และ 4 ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายณัฐ จับใจ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายกมล หมั่นทำ รองอธิบดีกรมทางหลวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิและขออนุมัติยกเว้นการดำเนินการตามข้อ 6 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์รับราชการต่อไป พ.ศ. 2552
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอุรวี เงารุ่งเรือง รองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
2. ยกเว้นการดำเนินการตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์รับราชการต่อไป พ.ศ.2552 ข้อ 6 โดยการย้าย นางสาวอุรวีฯ รองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง และนำเสนอ อ.ก.พ. กระทรวงพิจารณาเห็นชอบให้ข้าราชการดังกล่าว ซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 รับราชการต่อไปภายหลังเดือนมิถุนายน 2562
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี