ตัวตน แนวคิด และมุมมอง‘ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ’เลขานุการประธานรัฐสภา
ด้วยวัยเพียง 35 ปี กับบทบาทและหน้าที่ที่ได้รับในตำแหน่ง รองเลขาธิการพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ จนถึงตำแหน่งเลขานุการประธานรัฐสภา ทำให้ชื่อของ ”ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ” โดดเด่น เป็นที่จับตาขึ้นมาในกลุ่ม ”ยังปลัด” นักการเมืองเลือดใหม่ ในฐานะคนข้างกายประธานรัฐสภา ”ชวน หลีกภัย”
คำถามที่ตามมาสำหรับ “คอการเมือง” คือ “อิสระ” เป็นใคร มาจากไหน ถึงมีตำแหน่งทางการเมืองแบบก้าวกระโดด และเป็นที่ไว้ใจของ “กระบี่มือหนึ่ง” อย่าง ชวน หลีกภัย ให้รับตำแหน่งและหน้าที่สำคัญที่นักการเมืองน้อยคนในวัยเท่านี้จะได้รับโอกาส
เมื่อเปิดโปรไฟล์แล้วพบว่า “อิสระ” มีดีกรีไม่ธรรมดา โดยจบการศึกษาจบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ จาก Imperial College London สถาบันระดับท็อปของอังกฤษ ก่อนจะกลับมาดูแลธุรกิจรถยนต์ของครอบครัว จนวันหนึ่งเมื่อสถานะของธุรกิจอยู่ในระดับไปได้สวย และหมดห่วง ‘อิสระ’ จึงโดดเข้าสู่โลกการเมืองอย่างเต็มตัว เพื่อทำตามความฝันในวัยเด็ก และวันนี้ก็ได้เปิดโอกาสให้ ”แนวหน้า” นั่งพูดคุย ถึงตัวตน แนวคิด และมุมมองต่างๆ ในงานการเมือง
จุดที่ทำให้สนใจทางการเมือง
โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบงานด้านการเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มจากที่ติดตามการประชุมสภาฯ ช่วงอายุประมาณ 8 – 9 ขวบ ดูแล้วรู้สึกสนุก แต่ครอบครัวผมไม่ใช่ครอบครัวทางการเมือง ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ ก็เลยต้องไปเรียนด้านวิศวะ เพราะเป็นสาขาวิชาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจครอบครัวของตัวเอง ถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเรา ซึ่งสิ่งที่ผมเชื่อและพูดมาตลอด คือบอกกับน้องๆ ทุกคนว่าครอบครัวต้องทำให้ดีก่อน เพราะสุดท้าย สังคมก็คือครอบครัวหลายๆ ครอบครัวมาประกอบกัน ถ้าตัวเราเองทำครอบครัวไม่ได้ดีแล้ว เราจะไปทำให้สังคมการเมืองให้ดีมันก็ไม่ใช่ และโดยนิสัยส่วนตัวแล้ว ถ้าจะทำอะไรก็จะทำให้สุด ทำแบบไม่มีกั๊ก ซึ่งหลังจากที่เรียนจบปริญญาเอก ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากทุนของสหภาพยุโรป เมื่อทำงานใช้ทุนเรียบร้อยแล้วก็ได้กลับมาทำธุรกิจของครอบครัวเมื่อปี 2552 – 2553 ทำจนกระทั่งรู้สึกว่า อิ่มตัวแล้ว เข้าที่เข้าทางแล้ว ก็เลยหันมาทำสิ่งที่ฝัน คือ การทำงานทางการเมือง
มองว่าการเมืองไทยมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง
ยังไม่เห็นเลยนะ และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักๆ อันหนึ่ง ที่ทำให้เลือกตัดสินใจว่า อยากทำงานทางการเมือง เพราะเราเห็นว่า สิ่งนี้เป็นวังวนที่ยังเกิดขึ้นอยู่หลายๆ รอบ ก็คือคนที่เขาเลือกตั้งเข้ามาเข้ามาด้วยวิธีการที่ไม่บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม พอเข้ามาเขาก็ทำในสิ่งที่ทำให้อำนาจอธิปไตยอ่อนแอลง ก็เกิดการแบ่งขั้ว สุดท้ายก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าทางตัน อำนาจพิเศษก็เข้ามา ซึ่งไม่ได้แก้ไข หรือทำอะไรที่เป็นรูปธรรม หลังจากนั้นก็เกิดการเลือกตั้งใหม่ ก็ได้นักการเมืองแบบเก่ากลับเข้ามาอีก มันก็วนๆ อยู่อย่างนี้ จนกระทั่ง ผมคิดว่า ความหวังของการเมืองไทยเหมือนเทียนที่ริบหรี่ลง ซึ่งคำว่าริบหรี่ก็ไม่ได้หมายความว่าหมดหวัง แต่แปลได้ว่ายังพอมีความหวัง ผมจึงอยากเข้ามาก่อนที่ความหวังอันริบหรี่นั้นจะดับลง
นิยามประชาธิปไตย ในมุมมองของ “อิสระ” มีความหมายอย่างไร
ผมมองว่าประชาธิปไตยของไทยในขณะนี้ คือ “ประชาธิปไตยที่ยังไม่มีอิสรภาพ” และเป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ คือว่า ประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่รูปแบบหรือแบบฟอร์มเท่านั้น แต่เนื้อหาสาระสำคัญยังไม่ใช่ เป็นเพียงแค่โครงสร้าง แต่เนื้อหาข้างในยังไม่ใช่ เช่น ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติกลับทำหน้าที่ที่จะเป็นตุลาการเสียเอง ในอดีตที่ผ่านมา มีนายกรัฐมนตรีที่ประกาศว่า “ข้าพเจ้าจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” แล้วตัดสินประหารชีวิตคนตรงนั้นเลย กรณีการเกิดความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือการพยายามผ่านร่างพระราชบัญญัติที่จะเป็นการตัดตอนในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเอามาตัดสินกันในสภา แล้วใช้เสียงของ ส.ส. ตัดสินกันเลย พอได้ผลเป็นอย่างไรให้ถือว่าเป็นคำตัดสินของตัวแทนประชาชนคนไทย เป็นต้น
ดังนั้น พออำนาจอธิปไตยที่ยังไม่ชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายทำหน้าที่อะไร ก็จะเกิดวงเวียนอยู่แบบนี้ และจะนำไปสู่เรื่องของคนที่ได้ประโยชน์และคนที่เสียประโยชน์ แล้วก็เกิดการแบ่งขั้ว มีการทะเลาะกัน จนมีคนกลางที่เรียกว่า “อำนาจพิเศษ” นี่คือรูปแบบของประชาธิปไตยที่ผมเรียกว่า ”ประชาธิปไตยแบบโครงสร้างแต่ไม่ใช่เนื้อแท้”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ จุดเริ่มต้นในการเข้ามาทำงานทางการเมือง การเข้ามาสู่อำนาจ ถ้าเข้ามาด้วย”การเมืองสุจริต” ซึ่งเป็นคำที่ผมได้ยินบ่อยๆ จากท่านชวน หลีกภัย และผมก็เชื่อด้วยว่า ถ้าเริ่มต้นตรงนี้ ทุกอย่างก็สามารถไปต่อได้ และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ เข้ามาในวงการการเมืองเพราะอะไร เพราะหากเข้ามาเพื่อหวังจะเอื้อประโยชน์หรือต่อยอดกับให้ธุรกิจของตัวเอง ก็ไม่สามารถนำไปสู่การเมืองสุจริต ถามว่า ตัวผมเองที่มั่นใจว่าอยากเข้ามาการเมืองเพราะอะไร ผมชัดเจนว่า ผมเข้ามาเพราะอยากทำสิ่งที่เชื่อให้มันเป็นความจริง และผู้ใหญ่ก็มองเห็น พรรคมองเห็น คนรอบข้างมองเห็น ก็เลยเป็นความโชคดีเมื่อทุกคนมองเห็นในสิ่งนั้น ทำให้ผมได้รับโอกาส เพราะว่า ในเรื่องของความสามารถในตำแหน่งที่ผมอยู่นั้น เชื่อว่า ทุกคนในพรรคประชาธิปัตย์สามารถเป็นได้หมด แต่ก็มีองค์ประกอบอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ใหญ่มองเห็น พรรคมองเห็นก็เลยได้รับโอกาสตรงนี้”
“นายชวน หลีกภัย” ได้สอนอะไรในการทำงานทางการเมืองบ้าง
ผมศรัทธาท่านชวน จากบทบาทภายนอกที่ได้เห็นสิ่งที่ท่านทำ ก่อนที่รู้จักเป็นการส่วนตัว เมื่อผมมีโอกาสได้มาพบท่าน แล้วบอกเล่าประวัติว่า ผมมีความสามารถอย่างนี้ อย่างนั้นท่านก็กรุณาให้โอกาสมาทำงาน และต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่พอสมควร ซึ่งท่านก็ได้เห็นสิ่งที่ผมทำแล้วท่านก็ยอมรับ โดยก่อนการเลือกตั้ง ก็ช่วยทำงานด้านวิชาการและด้านการต่างประเทศ จากนั้นจึงแสดงเจตจำนงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ท่านชวนก็ได้แนะนำให้พบกับเลขาธิการพรรคในเวลานั้น ก็คือคุณจุติ ไกรฤกษ์ ซึ่งหลังจากนั้นก็คือกระบวนการที่ทำงานให้กับพรรค ในส่วนของสำนักงานเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นการทำงานที่คู่ขนานกันไป ต่อมาเมื่อมีการคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561 ก็ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นกรรมการบริหาร ในตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ก็ได้ลงสมัคร ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งถือเป็นกระบวนการของทางพรรคที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งตัดสินใจได้
การปะทะความคิดระหว่างนักการเมืองรุ่นใหม่กับนักการเมืองรุ่นอาวุโส จะหาจุดตรงกลางอย่างไร
อันดับแรกต้องนิยามให้ถูกเสียก่อนคำว่า ‘นักการเมืองรุ่นใหม่’ไม่ใช่แค่นักการเมืองคนรุ่นใหม่อย่างเดียว อาจจะหมายถึงนักการเมืองที่เข้ามาใหม่ แต่กลับมีอายุและประสบการณ์ ก็สามารถทำการเมืองให้ดีกว่านี้ได้หรือแม้กระทั่ง นักการเมืองที่อยู่มานานแล้ว เขาก็เห็นว่า วิถีทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ใช่วิถีที่จะนำไปสู่แสงสว่างปลายอุโมงค์ เขาก็เริ่มที่จะทำการเมืองแบบใหม่ พวกนี้ผมเห็นว่า ก็จัดเข้าไปอยู่ในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ได้หมด จริงๆตอนนี้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาในแง่ของ การทำใจให้เป็นกลาง ไม่มองว่าใครเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล และ ส.ส.ชุดนี้แทบทุกคนก็ทำการบ้านมาดี คือไม่เห็นว่าเข้ามาแล้วจะพูดจาเสียดสีใส่ร้ายในสภา เพราะสิ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะมานำในการอภิปรายของสภา ตอนนี้เราจะเห็นว่า ก่อนที่จะเปิดไมค์จะมีการทำการบ้าน หาข้อมูลเพราะเขารู้ว่า ประชาชนมีวิจารณญาณในการตัดสิน ส.ส. ผมเห็นว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ชัดเจนขึ้น
งานที่ถนัดที่สุดคืออะไร
ความถนัดของผมคือในเรื่องของงานด้านการต่างประเทศ แต่ไม่ได้จำกัดแต่เพียงว่า เป็นงานที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการพูดคุย แต่งานด้านการต่างประเทศ ถือเป็นหน้าต่างของประเทศ เนื่องจาก ทุกวันนี้ ผมได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านและได้แจ้งประธานรัฐสภาว่า ผลผลิตต่างๆ ไม่รู้ว่าจะไปขายที่ไหน ไล่มาจากปัญหาจากเล็กแค่นั้นไปจนถึงขนาดใหญ่ ถ้าเกิดเราใช่ช่องทางด้านการต่างประเทศให้เป็นประโยชน์ เราก็สามารถบอกได้ว่า ประเทศของเรามีของดีอะไร และของอะไรที่จะสามารถนำไปสู่ตลาดโลก
การประชุมรัฐสภาอาเซียน (AIPA) ระหว่างวันที่ 25 – 30 สิงหาคมนี้ ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากการประชุมในครั้งนี้
ปีนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน และตามกฎบัตรของสมัชชารัฐสภาอาเซียน จึงได้เป็นประธานสมัชชา ฯ ด้วย ซึ่งมีความสำคัญคือเป็นโอกาสที่ ผู้นำรัฐสภาประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 9 ประเทศ ประเทศผู้สังเกตการณ์อีก 11 ประเทศ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ได้มาเจอกันโดยการประชุมก็จะมีกรอบครอบคุลมหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม สตรี เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเทศ จะส่ง ‘ร่างข้อมติ’ ว่าแต่ละประเทศจะความสนใจในการผลักดันเรื่องอะไร ก็สามารถส่งมาได้ที่สำนักงานเลขานุการการประชุมฯ ที่รัฐสภาไทย บางร่างอย่างเช่น ร่างที่เกี่ยวกับกิจการของสมัชชาฯ ก็จะมี 19 ข้อมติ เป็นต้น ร่างข้อมติเหล่านั้น เมื่อได้รับการรับรองจากกรรมการบริหารในที่ประชุม ในวันที่ 25 สิงหาคมแล้ว จากนั้น จะเป็นเวทีที่ทางประเทศสมาชิก AIPA จะต้องมาดำเนินการประชุมเพื่อถกแถลงร่างข้อมติแต่ละร่าง โดยวัตถุประสงค์ของการตกลงในร่างข้อมติก็คือ เพื่อให้กฎหมายของประเทศสมาชิกในอาเซียน มีทิศทางและมีมาตรฐานไปในแนวเดียวกัน นั่นคือเป็าประสงค์หลักในการพิจารณาว่าร่างข้อมติใดควรที่จะให้การยอมรับ และเทคนิคของอาเซียนอย่างหนึ่งก็คือว่า ทั้ง 10 ประเทศ ต้องตกลงร่วมกัน โดยที่ประเทศใดประเทศหนึ่งค้านก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถือเป็นความท้าทายและเป็นความสวยงามว่า เราก็อยู่กันมาแบบนี้ ตั้งแต่ก่อตั้งอาเซียนมา 52 ปีแล้วส่วนสมัชชาฯ ก็ก่อตั้งมา 40 กว่าปี เราก็อยู่ร่วมกัน ในพื้นฐานที่ว่า ข้อตกลงอะไรก็ตามที่จะมาวางบนโต๊ะ ก็จะต้องเห็นชอบทั้งหมด 10 ประเทศ
สำหรับ ประเทศไทยเองก็ได้ส่งร่างข้อมติ ซึ่งแน่นอนว่า จะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทยอย่างแน่นอน อย่างเช่น เรื่องของคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เรื่องของความปลอดภัยทางท้องถนน เป็นต้น ซึ่งอย่าลืมว่าประเทศไทย ซึ่งร่างข้อมติที่เรายอมรับ ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยทางอ้อม หรือเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกอาเซียนโดยรวม อีกทั้งเมื่อผลของการประชุมออกมามีผลสัมฤทธิ์ที่ดี ผลประโยชน์ที่จะตกกับอาเซียนก็เปรียบเสมือนกับแพคเกจ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่จะเจรจากับนานาประเทศ ก็ถือเป็นข้อต่อรองที่สำคัญ และมีอำนาจในการต่อรองมากกว่า อีกสิ่งที่สำคัญก็คือ วันนี้ เรามีสภาผู้แทนราษฎรที่สมบูรณ์แล้ว ถือเป็นโอกาสอันดี ที่เราได้บอกกับประชาคมโลกว่า ประเทศไทยเราพร้อมที่จะเปิดเวทีเจรจาต่างๆ ที่ค้างคามานาน ซึ่งผมเห็นว่า เป็นโอกาสที่ดีที่จะให้ทั่วโลกได้เห็นในหลายๆอย่างของประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้
ในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคที่ความนิยมถดถอย ทำให้ที่นั่ง ส.ส.ลดลงไปมาก มีแนวคิดในการฟื้นฟูพรรคอย่างไร
หนึ่งในสาเหตุหลักๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ในความคิดส่วนตัวก็คือ ผลพวงมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่เราได้เห็นว่ามีพรรคการเมืองหนึ่งได้รับผลประโยชน์ จากกฎระเบียบที่ออกมา แล้วก็มีพรรคการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่เสียผลประโยชน์ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่เสียประโยชน์ ส่วนเรื่องความนิยมที่ถดถอยนั้น การที่มีนักการเมืองใหม่ๆ เข้ามาอาสาทำงานให้กับประเทศเป็นจำนวนมากขึ้น หากพูดถึงเมื่อเวลาจะไปซื้อของแล้วมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากขึ้น ต่อให้เรามีคุณภาพ เป็นของที่ดีเหมือนเดิม เมื่อมีคู่แข่งที่มากขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่ส่วนแบ่งทางการตลาดจะลดลง เพราะฉะนั้นสิ่งที่พรรคจะต้องทำก็คือ เราจะหยุดนิ่งไม่ได้ และตนก็กำลังทำอยู่ เช่น การตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ แล้วมีการดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาปรับกระบวนทัศน์เพื่อให้เข้ากฎระเบียบแบบนี้ให้ได้ ในทางคู่ขนานเราก็พยายามผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เราคิดว่าต้องมีการปรับแก้ ซึ่งถือว่า เป็นสองแนวทาง ที่ทางพรรคจะทำไปพร้อมกัน และจะต้องปรับปรุงโครงสร้าง กลยุทธ์ของพรรคเองให้เข้ากับการแข่งขันในปัจจุบัน
“ตัวผมเอง เป็นคนทำอะไรก็จะทำให้สุด ผมเชื่อว่าทุกคนที่ทำงานอะไรก็ตาม ก็อยากทำให้สุด และดีที่สุด ตามความสามารถและโอกาส ผมเองผมก็พิสูจน์ว่าผมเรียนคณะวิศวะผมก็เรียนให้สูงที่สุด ในสถาบันที่เรียกว่า ดีที่สุด ผมไปสอบใบประกอบวิชาชีพก็ตั้งใจว่า จะสอบให้ถึงระดับที่สูงที่สุด เพราะฉะนั้น ผมก็ตอบคำถามได้ว่า ในทางการเมือง ผมก็อยากจะไปในจุดที่สูงที่สุดเช่นกัน”
นฤนาท ยอดอาจ / สิทธิชน กลิ่นหอมอ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี