"จตุพร"ขมวดปมปัญหาชาติ รัฐต้องแก้ไข"ภัยแล้ง-น้ำท่วม"ควรมีแผนเป็นระบบ อย่าเอาแต่แข่งขันขอบริจาค ต้องวางแนวทางเพื่ออนาคตไม่ผจญทุกข์ซ้ำซาก ยันคำตอบสะสางปัญหาชาติต้องผนึกพลังแก้รธน. เน้นด่านแรกตั้งสสร.ให้ได้ แล้วใช้พลังปชช.หนุนนำพรรคการเมือง ลั่นรัฐบาลเมื่อแก้ไขปัญหาชาติไม่ได้ คงไม่เหมาะจะเป็นรัฐบาลต่อไป
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2562 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ "ลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์" โดยระบุถึงปัญหาน้ำท่วมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560
โดย นายจตุพร กล่าวถึงถานการณ์น้ำท่วมว่า ขณะนี้กระจายทั่วภาคอีสานและขยายมาสู่ภาคกลางหลายจังหวัด ทั้งนี้ มีการกล่าวกันว่าตลอดทั้งปีประเทศไทยเผชิญหน้ากับแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม แต่ปัญหาดังกล่าวมีการศึกษาไว้หมด ขาดเพียงลงมือทำให้เป็นจริง หากรัฐบาลใดจะปฏิบัติให้เป็นจริงต้องมีอันเป็นไปทางการเมือง
"แต่วันนี้คนไทยอยากได้ยินแผนงานอุบลโมเดล เพื่อจะมีมาตรการในอนาคตว่า ไม่ต้องเจอน้ำท่วมอย่างไร แต่ไม่มี ขณะที่รัฐบาลมุ่งแข่งขันในด้านบริจาค ดังนั้น ไทยคงเจอปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากไป"
นายจตุพร เสนอว่า ฝ่ายรัฐควรเสนอแผนแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมทั้งระบบ เพราะคนไทยไม่อยากเจอปัญหานี้อีก ความจริงคนห้ามธรรมชาติไม่ได้ แต่คนมีหน้าที่แก้ไขปัญหา เมื่อขาดระบบการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ จึงได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งไม่เกิดความยั่งยืน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ปีนี้ไทยจะเกิดภาวะความยากจนมากกว่าปีที่แล้ว อีกทั้งพืชผลขายไม่ได้ราคา การเปิดอีอีซี ไทยคงจะเป็นประเทศขาดทุนฝ่ายเดียว จนกลายเป็นชาติล้าหลังแบบไม่น่าเชื่อ รวมทั้งประเทศลาวอาจได้ใช้รถไฟความเร็วสูงก่อนไทย
"สิ่งที่เป็นปัญหาทั้งหมด เพราะระบบการเมืองไทยยังไม่ข้ามพ้นการเล่นการเมืองมากกว่าการรับใช้ชาติ รัฐบาลทำหน้าที่แก้ไขปัญหาชาติไม่ได้ ก็ไม่เหมาะจะเป็นรัฐบาลต่อไป สิ่งที่อยากเห็น ไม่ใช่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยให้นายทุนได้ประโยชน์ ทั้งที่กลุ่มทุนไม่มีวันตาย ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นรัฐบาล ย่อมได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่ตายกับการก้มหน้าเล่นแต่การเมือง"
ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายจตุพร กล่าวว่า แม้เป็นเรื่องยาก แต่ต้องเล่นให้เป็น วันนี้ถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ก็ไม่มีทางเกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ได้ เพราะแนวโน้มได้เสียง ส.ว.มาสนับสนุน มีเพียงมาหมดหรือไม่มาทั้งหมด ซึ่งคงยากที่จะมี ส.ว.แยกตัวมาสนับสนุนหรือเห็นชอบให้แก้ไขแค่ 84 เสียงตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญกำหนดต้องมีเสียงเสียง ส.ว.เห็นชอบ 1 ใน 3 ในวาระที่ 1 และวาระที่ 3
นายจตุพร ย้ำว่า หากต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ สิ่งสำคัญต้องทำให้ด่านแรกเกิดขึ้นให้เป็นจริง คือ ต้องทำให้เกิด สสร.ให้ได้ เมื่อทุกฝ่ายต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเสนอตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) มาศึกษาแล้ว ควรตกลงกันให้เป็นแนวทางเดียวกันว่า จะแก้ไขมาตรา 256 เพื่อตั้ง กมธ.มาว่างแนวทาง สสร.ขึ้นมา
"วันนี้ หากต้องการการเพียงแค่ให้เกิดประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะฝ่ายแล้ว เราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ เมื่อทุกฝ่ายต่างเสนอศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ต้องวางหลักให้ชัดว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวหมวดกษัตริย์ และราชอาณาจักรแบ่งแยกไม่ได้ ที่เหลือเป็นเรื่องของประชาชน ทุกฝ่ายต้องตกลงกัน หากเอาแต่เล่นการเมืองก็แก้ไขไม่ได้"
นายจตุพร ย้ำว่า ถ้ารัฐบาลร่วมกันเปิดประตูให้แก้ไขรัฐธรรมนูญตามนโยบายรัฐบาล โดยเป็นไปตามขั้นตอนตั้ง สสร.แล้วลงประชามติ ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ และได้เลือกตั้งใหม่ ทุกขั้นตอนใช้เวลาร่วมปีครึ่งถึง 2 ปีเป็นอย่างน้อย เงื่อนไขเวลาเช่นนี้รัฐบาลได้เปรียบอยู่แล้ว
หากเอาแต่เล่นการเมืองแล้ว เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาของชาติได้ แต่ถ้าต้องการแก้ไขปัญหาชาติสำเร็จ เราต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ หยุดเล่นการเมือง เพราะตามรัฐธรรมนูญเก่าการเล่นการเมืองจนไล่รัฐบาลออกไปได้ ก็กลับมาใหม่ได้อีก ซึ่งเป็นแบบนี้เรื่อยไป แล้วประชาชนได้รับแต่ความเสียหาย
"วันนี้เราควรคิดเพื่อประเทศชาติ มากกว่าหาเศษหาเลยทางการเมืองกันเล็กๆ น้อยๆ แต่แก้ไขปัญหาไม่ได้ ต้องมองการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นผลสำเร็จ มากกว่าการเล่นการเมือง พรรคการเมืองต้องมีใจเปิดกว้าง ร่วมกันสู้ให้ได้สำเร็จ หากพรรคการเมืองข้ามพ้นปัญหานี้ไม่ได้ ก็แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี