26 เม.ย. 2567 สื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวประเด็นปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) หรือภาวะโลกร้อน ซ้ำเติมประชากรระดับฐานรากให้ต้องเผชิญกับความยากจนและการถูกเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจมากขึ้น อาทิ สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานข่าว Number of poor in Africa rises to 476 mln amid multiple crises: report อ้างรายงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับแอฟริกา (UNECA) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2567 ระบุว่า ปัญหาความยากจน-เหลื่อมล้ำ และความไม่มั่นคงด้านอาหารได้เพิ่มขึ้นทั่วทั้งทวีปแอฟริกา
รายงานของ UNECA ชี้สาเหตุไปที่สารพัดวิกฤติที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ความขัดแย้งในพื้นที่ ไปจนถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากสภาพอากาศแปรปรวน โดยในปี 2567 ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรในทวีปดังกล่าว ซึ่งมากกว่าปี 2562 ประมาณ 50 ล้านคน คาดว่าจะอยู่ในภาวะยากจน และย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวรับสภาพภูมิอากาศ เริ่มต้นการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างงานที่มีคุณภาพ และมีส่วนร่วมในความพยายามระดับโลกในการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนและรักษาชีวมณฑล
นสพ.Business Day สื่อท้องถิ่นในเมืองลากอสของไนจีเรีย รายงานข่าว 8 of 10 Nigerian farmers under poverty line over climate challenges – report อ้างรายงานล่าสุดของ APEX บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโภคภัณฑ์ของทวีปแอฟริกา ที่ระบุว่า เกษตรกรชาวไนจีเรียร้อยละ 80 มีฐานะทางเศรษฐกิจอยู่ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าระดับเส้นความยากจน เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้นในทวีปท่ามกลางปัจจัยอื่นๆ
รายงานของ APEX ที่ศึกษาปัญหาความยากจนในชนบทของไนจีเรีย พบปัญหาดังกล่าวขยายวงมากขึ้นในปี 2566 เมื่อเทียบกับการวัดในปี 2563 โดยชี้ไปที่ปัญหาน้ำท่วม ความแห้งแล้งที่เพิ่มขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่น้อยลงได้คุกคามผลผลิตของเกษตรกร ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงด้านอาหาร และเนื่องจากปัจจัยทางการเมือง ภูมิศาสตร์ และสังคมผสมกัน ไนจีเรียถูกจัดอยู่ในกลุ่มมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยอยู่ในอันดับที่ 160 จาก 181 ประเทศในดัชนี ND-GAIN ประจำปี 2563 ซึ่งสรุปความเปราะบางของประเทศต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความท้าทายระดับโลกอื่นๆ ร่วมกับความพร้อมในการปรับปรุงความยืดหยุ่นในการปรับตัว
นสพ.The Economic Times ของอินเดีย รายงานข่าว Climate change poses a child labour ‘threat multiplier’ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน สุ่มเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาการใช้แรงงานเด็กเพิ่มขึ้น โดยเด็กอย่างน้อย 160 ล้านคนหรือ 1 ใน 10 เป็นส่วนหนึ่งของแรงงานทั่วโลก และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็เป็น “ตัวคูณภัยคุกคาม” ตามรายงานล่าสุดที่เผยแพร่โดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่ย้ำว่า มีผลการศึกษาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สนับสนุนมุมมองเรื่องความยากจนชักจูงครัวเรือนให้พึ่งพาแรงงานเด็กมากขึ้น
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม ซึ่งพบว่ามีสัดส่วน 70% ของแรงงานเด็กทั้งหมด เนื่องจากภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลให้ผู้คนยากจนมากขึ้น บีบคั้นครอบครัวให้ดึงเด็กๆ ออกจากโรงเรียนและให้พวกเขาทำงานในไร่นา หมู่บ้านในกัมพูชาและแทนซาเนียที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง น้ำท่วม และพืชผลล้มเหลว มีระดับแรงงานเด็กที่สูงขึ้นมาก ในยูกันดาและปากีสถาน ราคาอาหารที่สูงขึ้นส่งผลให้แรงงานเด็กมีแนวโน้มมากขึ้นในครอบครัวนอกภาคเกษตร องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รายงานถึงความเคลื่อนไหวที่คล้ายกันที่กำลังเกิดขึ้นในเปรู เอธิโอเปีย เนปาล และไอวอรีโคสต์” สื่ออินเดีย ระบุ
สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ รายงานข่าว Searing heat shuts schools for 33 million children ระบุว่า สภาพอากาศร้อนจัดส่งผลกระทบต่อการศึกษาของเด็กและเยาวชนในหลายประเทศของทวีปเอเชีย อาทิ บังกลาเทศ ทางการสั่งปิดสถาบันการศึกษาประเภทโรงเรียนและวิทยาลัยไปอย่างน้อยจนถึงวันที่ 27 เม.ย. 2567 ส่งผลกระทบต่อนักเรียนมากถึง 33 ล้านคน ขณะที่อุณหภูมิในบังกลาเทศวัดได้ถึง 42 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ บังกลาเทศ เป็นชาติที่ 3 ต่อจากฟิลิปปินส์และอินเดีย ที่รัฐต้องใช้มาตรการสั่งปิดการเรียนการสอนในที่ตั้ง (ออนไซต์) ในปีนี้
ชูมอน เสนคุปตะ (Shumon Sengupta) ผู้อำนวยการองค์กร Save the Children ประจำบังกลาเทศ กล่าวว่า เด็กๆ ในบังกลาเทศเป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุดในโลก และมาตรการปิดสถาบันการศึกษาโดยอ้างสาเหตุเกี่ยวข้องกับอากาศร้อนน่าจะส่งสัญญาณเตือนถึงทุกคน โดยบังกลาเทศซึ่งเป็นพื้นที่ราบต่ำเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศมากที่สุด
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) องค์กรระหว่างประเทศซึ่งร่วมก่อตั้งโดยองค์กรอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) และโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า หากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น 30 ถึง 45 เซนติเมตร อาจทำให้ผู้คนมากกว่า 35 ล้านคนจากเขตชายฝั่งทะเลต้องพลัดถิ่น หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดของบังกลาเทศ
“ผู้นำจำเป็นต้องดำเนินการทันทีเพื่อลดอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น เช่นเดียวกับการจำแนกเด็กๆ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความยากจน ความไม่เท่าเทียม และการเลือกปฏิบัติ เข้าสู่การตัดสินใจและการเงิน เพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เสนคุปตะ กล่าว
ที่กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย มีการเตือนในสัปดาห์นี้ว่า ดัชนีความร้อนจะถึงระดับ “อันตรายอย่างยิ่ง” โดยดัชนีความร้อนดังกล่าว เป็นการวัดอุณหภูมิโดยคำนึงถึงความชื้น ความเร็วลม และปัจจัยอื่นๆ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2567 ว่า ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึงวันที่ 17 เม.ย. 2567 มีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดด หรือฮีทสโตรกแล้ว 30 ราย เทียบกับจำนวน 37 ราย ที่เป็นยอดรวมผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ตลอดทั้งปี 2566 ที่ผ่านมา
ด้านประเทศเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อาทิ เมียนมา ในวันที่ 24 เม.ย. 2567 วัดอุณหภูมิสูงสุดได้ 45 องศาเซลเซียส ขณะที่ ฟิลิปปินส์ โรงเรียน 47,000 แห่ง ระงับการเรียนการสอนแบบออนไซต์ ตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. 2567 เนื่องจากอากาศร้อนจัด พร้อมกับสถิติเหตุเพลิงไหม้ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับช้วงเดียวกันของปี 2566 จากปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรเนื่องจากมีการใช้ไฟฟ้ามากเกินไป (Overload) หรือพัดลมไฟฟ้าถูกใช้งานอย่างไม่หยุดจนเกินความร้อนสะสม
รายงานของ BBC ยังกล่าวอีกว่า ประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชียต้องเผชิญกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลจาก WMO พบว่า หลายประเทศในภูมิภาคนี้เผชิญกับปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ควบคู่ไปกับสภาวะที่รุนแรง ตั้งแต่ภัยแล้ง คลื่นความร้อน ไปจนถึงน้ำท่วมและพายุ ซึ่ง เซเลส เซาโล (Celeste Saulo) เลขาธิการ WMO กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์ดังกล่าวรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือชีวิตมนุษย์และสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่
ขอบคุณเรื่องจาก :
https://english.news.cn/20240426/de5c4ed7d8d7494ba996b083021b143e/c.html
https://businessday.ng/news/article/8-of-10-nigerian-farmers-under-poverty-line-over-climate-challenges-report/
https://economictimes.indiatimes.com/small-biz/sustainability/climate-change-poses-a-child-labour-threat-multiplier/articleshow/109580833.cms?from=mdr
https://www.bbc.com/news/articles/c1wxjj3g965o
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี