"ประธานกสม."ชี้การที่"ประธานศาลฎีกา"ไม่แต่งตั้ง"กสม.ชั่วคราว"ทำให้ประเทศและคนไทยเสียหาย รวมทั้งสถาบันสิทธิฯของชาติ ระบุกระทบเรื่องขอคืนสถานะAจากเครือข่ายสถาบันสิทธิมนุษยชนสากล(GANHRI) รวมทั้งยังมีรายงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯคั่งค้างรอการพิจารณาจำนวนมาก
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้มีหนังสือถึงเลขาธิการประธานศาลฎีกา เพื่อให้นำความกราบเรียนประธานศาลฎีกาทราบว่า การที่ประธานศาลฎีกาไม่แต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับ กสม.เพื่อทำหน้าที่เป็น กสม.เป็นการชั่วคราว ตามหน้าที่และอำนาจในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 (พรป.กสม.) มาตรา 60 วรรคสาม ประกอบมาตรา 22 ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ ประชาชน สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย และสำนักงาน กสม.
นายวัส กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าประธานศาลฎีกาในฐานะประธานกรรมการสรรหา กสม.ได้ดำเนินการสรรหาบุคคลมาเป็น กสม.โดยออกประกาศคณะกรรมการสรรหา กสม. รับสมัครหรือการเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กสม.มาแล้ว 4 ฉบับ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 จนถึงบัดนี้เป็นเวลา 1 ปีเศษ และมีผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามร่วมร้อยคน ขณะเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต พรป.กสม.จึงมอบอำนาจให้ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดร่วมกันแต่งตั้ง กสม.เป็นการชั่วคราว ซึ่งหลังจากมี กสม.ลาออก 2 คน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ทำให้เหลือผู้ปฏิบัติหน้าที่ กสม.เพียง 3 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง (4 คน) ตนจึงได้มีหนังสือด่วนที่สุดกราบเรียนให้ประธานศาลฎีกาดำเนินการแต่งตั้ง รวม 7 ฉบับ คือ ฉบับวันที่ 31 กรกฎาคม วันที่ 1 , 13 , 15 , 29 สิงหาคม วันที่ 2 และ 12 กันยายน 2562 เพื่อให้ กสม.ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติให้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อความผาสุกของประชาชนชาวไทยและผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติ (รัฐธรรมนูญ มาตรา 247 วรรคสาม และ พรป.กสม.มาตรา 25)
"กสม.มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (พรป.กสม.มาตรา 28) แต่จนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลามากกว่า 7 สัปดาห์ ที่ กสม.ไม่สามารถเปิดการประชุมเพื่อแก้ไขเยียวยาความทุกข์ร้อนของประชาชน อาทิ การออกรายงานผลการตรวจสอบการละมิดสิทธิมนุษยชนกว่า 125 เรื่อง การพิจารณารับเรื่องร้องเรียนกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนไว้เป็นคำร้องเพื่อตรวจสอบกว่า 12 เรื่อง และการมอบหมายให้องค์กรที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหากว่า 52 เรื่อง หากเวลาเนิ่นนานไปก็จะยิ่งมีเรื่องคั่งค้างสะสมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลเสียต่อการปกป้อง คุ้มครอง และเยียวยาให้แก่ประชาชนผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น" นายวัส กล่าว
นายวัส กล่าวต่อว่า ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ มีข้าราชการระดับสูงของสำนักงาน กสม.เกษียณอายุราชการ กสม.จึงมีหน้าที่แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการแทนผู้ที่จะพ้นราชการ ซึ่งมีกระบวนการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหาที่ กสม.แต่งตั้ง
"ภายในวันที่ 15 ตุลาคม นี้ กสม. ต้องส่งรายงานความสอดคล้องกับหลักการปารีสและเอกสารอื่นๆ รวม 5 รายการ โดยจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือสเปน ทั้งในรูปแบบฉบับพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประกอบการประเมินสถานะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทยขึ้นใหม่ หรือการขอคืนสถานะ A ไปให้ฝ่ายเลขานุการของ Sub-Committee on Accreditation (SCA) ใน Global Alliance of National Human Rights Institutions (GANHRI) และยังต้องให้ความเห็นชอบต่อร่างแนวปฏิบัติและร่างแถลงการณ์ รวมทั้งความเห็นต่อร่างข้อบังคับการดำเนินงานของกรอบความร่วมมือระหว่างสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia National Human Rights Institutions Forum : SEANF) ซึ่ง กสม.ไทยเป็นสมาชิกอยู่ ก่อนที่จะมีการประชุมประจำปีของ SEANF ครั้งที่ 16 ระหว่างวันที่ 22 - 24 ตุลาคม 2562 ณ กรุงดิลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต ซึ่งเอกสารเหล่านี้ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม กสม." นายวัส กล่าว และว่า ตนได้ส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวนี้ไปให้ประธานศาลปกครองสูงสุดซึ่งพร้อมที่จะร่วมแต่งตั้ง กสม.ชั่วคราวทราบด้วยแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี