พณ.หาช่องคืนสิทธิ์GSP
ถก‘สหรัฐฯ’
คลอด7มาตรการรับมือ
นายกฯเชื่อเจรจาได้
อย่าพูดให้บานปลาย
จ่อชงขึ้นเวทีอาเซียน
นายกฯชี้ยังมีเวลาอีก 6 เดือน เจรจาสหรัฐสางปมตัดจีเอสพีไทย เล็งชงถกบนเวทีอาเซียน ติงอย่าตื่นตระหนกหรือคาดเดาจนทุกอย่างเลวร้ายไปกว่าเดิม ด้านพณ.ยันเดินหน้าเจรจาทุกช่องทาง ประเดิมตั้งโต๊ะคุยตัวแทนผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ในเวที East Asia Summit ต้นพฤศจิกายน พร้อมคลอด7 มาตรการ รับมือผลกระทบ ทั้งลุยหาตลาดใหม่ทดแทน เร่งขยายส่งออกก่อนมาตรการมีผล
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม (กห.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสหรัฐอเมริกามีคำสั่งระงับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรทั่วไป หรือจีเอสพีกับสินค้าจากประเทศไทยว่า เป็นเรื่องของสหรัฐฯ เป็นเรื่องของกฎหมายใคร ก็กฎหมายเขา ซึ่งมีการทำงานของหน่วยงานเขา ของเราก็มีของเรา ซึ่งรัฐบาลทราบมาอยู่แล้วว่าจะมีปัญหาตรงนี้ ที่ผ่านมาก็แก้ปัญหามาตลอด กระทรวงพาณิชย์ (พณ.)ได้เจรจา ต่อรอง พร้อมๆกับแก้ปัญหาภายในของเราด้วย โดยเฉพาะปัญหาแรงงาน ต้องไปดูว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง เราพยายามเดินหน้าเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ตนคิดว่า จะคาดเดาไม่ได้ เหมือนเขาก็คาดเดาเราไม่ได้เหมือนกัน ว่าเราจะทำอะไรต่อ จึงขึ้นอยู่กับกติกาของเรา
นายกฯวอนอย่าตระหนก
“อยากจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่เราต้องตื่นตระหนก หรือกล่าวให้ร้ายกันไปมาก เพราะไม่เกิดประโยชน์ อย่าไปคาดเดาว่าเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราต้องแก้ และเท่าที่กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงมา ผมคิดว่าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว รัฐบาลก็ทำมาตลอด เพียงแต่ระยะเวลาที่ดำเนินการมาได้ทำหลายอย่าง โดยเฉพาะกฎหมายแรงงานคือปัญหาหลักของเรา และเป็นกฎหมายของเราในประเทศของเรา ถ้าเราทำตามเขามากๆ เราจะมีปัญหาอะไรหรือไม่กับเราเอง ”นายกฯกล่าว และว่า เท่าที่ได้ฟังตัวเลขต่างๆ ก็เป็นจำนวนไม่มากทั้งหมดประมาณ 573 รายการ เราใช้ไปประมาณ 300 รายการ สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้คือ เราต้องตื่นตัวพัฒนาเรื่องเหล่านี้ รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ ในส่วนกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา ที่ผ่านมาส่งผู้แทนไปเจรจาตลอด ในหลายเรื่องที่เป็นปัญหาในอดีต เขาคุยกันหมดแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ประเทศเขายินยอมแค่ไหน
มีเวลาคุยอีก6เดือน-เล็งถกเวทีอาเซียน
นายกฯกล่าวอีกว่า เรื่องนี้มีเวลาอีก 6 เดือน เราก็ต้องหาวิธีการพูดคุยกันต่อไป ถ้าไม่ได้ก็คือ ไม่ได้ เพราะเป็นกฎหมายของเขา กฎหมายใครก็ต้องกฎหมายใคร อย่าให้เป็นปัญหาทางการเมืองอีก และอย่าพูดให้ทุกอย่างมันเลวร้ายไปกว่าเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ต้องมีอยู่ คู่ค้าสำคัญของเราเหมือนกัน เป็นนโยบายของเขา นโยบายของเราก็คนละอันกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หากพบกับผู้นำสหรัฐฯ หรือผู้แทนจะนำเรื่องนี้มาพูดคุยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนต้องคุยกันอยู่แล้ว อาจจะในเวที
พณ.ยันเดินหน้าเจรจาทุกช่องทาง
ด้านนายกีรติ รัชโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีสหรัฐฯตัดจีเอสพีสินค้าไทย 573 รายการว่า สาเหตุของการถูกตัดสิทธิครั้งนี้ คือเรื่องสวัสดิภาพแรงงาน ไม่เกี่ยวกับเรื่องค้ามนุษย์ และแรงงานเด็ก เป็นผลจากสมาพันธ์แรงงานและสภาอุตสาหกรรมแรงงานสหรัฐฯ (American Federation Labor & Congress of Industrial Organization: AFL-CIO) ยื่นคำร้องให้ตัดสิทธิ GSP ไทย เพราะเห็นว่าไทยมิได้คุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานระหว่างประเทศ สำหรับประเด็นนี้ไทยพอทราบมาล่วงหน้า เพราะสหรัฐฯส่งสัญญาณมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว เป็นการตัดสิทธิชั่วคราว ยังมีเวลาเจราอีก 6 เดือนสำหรับแนวทางการแก้ปัญหา ที่ผ่านมากรมการค้าต่างประเทศ ได้พูดคุยกับผู้ส่งออกให้รับทราบแล้ว และรู้ว่าต้องพัฒนาตัวเองให้แข่งขันได้
นายกีรติยังยืนยันว่า กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯทุกช่องทางช่วง 6 เดือนนี้ เพื่อทำความเข้าใจ โดยกรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลบวกของประเทศ คาดว่า เวทีแรกที่จะเริ่มเจรจา กับตัวแทนผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งจะเดินทางมาร่วมประชุม East Asia Summit ต้นเดือนพฤศจิกายน
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาสิทธิพิเศษทางการค้า GSP เป็นอันดับหนึ่งจากประเทศที่สหรัฐฯให้สิทธิ GSP ทั้งหมด 119 ประเทศ จากการระงับสิทธิ GSP ทั้ง 573 รายการ ไม่ได้หมายความว่า ไทยจะไม่สามารถส่งออกสินค้าดังกล่าวไปสหรัฐฯหรือสูญเสียมูลค่าที่ได้รับสิทธิ GSP ประมาณ 40,000 ล้านบาท ไทยยังคงส่งออกไปได้แต่ต้องเสียภาษีในอัตราปกติ (MFN Rate) เฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.5 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณไม่เกิน 1,800 ล้านบาท
ชี้เป็นเรื่องปกติ-กลุ่มเซรามิกอ่วม
สำหรับสินค้าสำคัญที่ถูกระงับสิทธิ GSP ได้แก่ มอเตอร์ไซค์ แว่นสายตา เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติกและของทำด้วยพลาสติก อาหารปรุงแต่ง เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์ที่ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ทองแดง ผลิตภัณฑ์เซรามิก เครื่องประดับ โดยกลุ่มสินค้าที่ถูกเก็บภาษีอัตราสูงสุดคือ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องครัวเซรามิก (ร้อยละ 26) และอัตราต่ำสุดคือเคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 0.1) ทั้งนี้ การประกาศพิจารณาทบทวนสิทธิ GSP ครั้งนี้ ไม่ได้มีไทย เพียงประเทศเดียว แต่ยังมี โบลิเวีย อิรัก ยูเครน อุสเบกิสถาน ซึ่งถูกประกาศพิจารณาทบทวนสิทธิ GSP ในครั้งเดียวกัน แต่ต่อมาสหรัฐฯคืนสิทธิให้ 4 ประเทศแล้ว นอกจากนี้ อินเดีย และตุรกี ก็ถูกตัดสิทธิแบบไทยทุกรายการ เมื่อเดือนมิถุนายน ดังนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ
นายกีรติยังเปิดผยสถิติการใช้สิทธิของไทย ตั้งแต่ปี 2519 ว่า ไทยใช้สิทธิ GSP ประมาณ 70% ส่วนมูลค่า 40,000 ล้านบาท หรือ 1,300 เหรียญดอลล่าสหรัฐฯ เป็นจำนวนทั้งหมดจาก 573 รายการที่ถูกตัดสิทธิ ซึ่งเป็นการคำนวณจากปีที่ผ่านมา ที่ไทยส่งออกสินค้าทั้งหมดภายใต้ GSP ซึ่งไทยยังส่งออกสินค้าได้เหมือนเดิม แต่ต้องเสียภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในอัตราปกติ ประมาณกว่า 4.5% ของราคาสินค้า โดยกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีผลกระทบสูงสุด เป็นกลุ่มภาชนะเซรามิก 26% ต้องจ่ายภาษีเพิ่มประมาณ 1,500 -1,800 ล้านบาท ย้ำว่าไม่ใช่ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 40,000 ล้านบาท ตามกระแสข่าว
คลอด7มาตรการรับมือตัดจีเอสพี
ส่วนนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวในเรื่องนี้ว่า มาตรการตัดจีเอสพี จะยังไม่กระทบเป้าส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ปี 2562 ที่วางไว้ขยายตัวร้อยละ 4 เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าและทยอยส่งมอบไปแล้ว ซึ่งยอดส่งออก 9 เดือนแรกคิดเป็นร้อยละ 73-75 ของทั้งปี คาดว่าช่วงนี้ผู้นำเข้าจะเร่งนำเข้าสินค้าก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเตรียมมาตรการรองรับ และเพิ่มกิจกรรมหาตลาดทดแทน พร้อมทั้งหารือกับภาคเอกชน เพื่อกำหนดตลาดและกิจกรรมด้วยแล้ว เบื้องต้นมี 7 มาตรการรองรับ
1.เร่งขยายการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้จนถึงก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้ คาดการณ์ว่าผู้นำเข้าจะเร่งนำเข้าสินค้าที่จะได้รับผลกระทบการมาเตรียมไว้ก่อน ดังนั้น ช่วงนี้อาจมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฐานการผลิตในไทย ขณะเดียวกันมีการคืนสิทธิ/ผ่อนผันตามเกณฑ์จีเอสพีรายสินค้าแก่ไทย 7 รายการ ได้แก่ ปลาแช่แข็ง ดอกกล้วยไม้สด เห็ดทรัฟเฟิล ผงโกโก้ หนังของสัตว์เลื้อยคลาน เลนส์แว่นตา และส่วนประกอบเครื่องแรงดันไฟฟ้า ซึ่งกรมจะเร่งขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้สินค้าเหล่านี้ไปพร้อมกัน
2. เร่งกระจายความเสี่ยง โดยหาตลาดส่งออกให้หลากหลายและแสวงหาตลาดใหม่ให้สินค้าที่โดนผลกระทบ 3. ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหารแปรรูป โดยใช้โอกาสจากภาวะเงินบาทแข็งค่าไปลงทุนในสหรัฐฯ ในรูปของสำนักงานขาย หรือการแสวงหาเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 4. กระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าพันธมิตร และเพิ่มความร่วมมือกับผู้นำเข้าขนาดกลาง และเอสเอ็มอีในประเทศต่างๆ 5.สร้างความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารไทย และกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในหลายตลาด
6. เน้นให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า พัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรม สอดคล้องกับแนวโน้มตลาด และ 7. ผลักดันการค้าผ่าน thaitrade.com ซึ่งเป็นช่องทางการค้าออนไลน์ที่สามารถส่งออกสินค้าไทยคู่ขนานไปกับการค้ารูปแบบเดิม และเดือนพฤศจิกายนจะเปิดตัวร่วมกับ TMall Global ในจีน และจะขยายสู่ประเทศสำคัญอื่นต่อไป
ผจก.ตลท.เชื่อผลกระทบไม่รุนแรง
อีกด้านหนึ่ง มีความเห็นจากหลายฝ่ายต่อกรณีสหรัฐฯตัดจีเอสพีไทย โดยนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ดัชนีหุ้นไทยในช่วงเช้าที่ผ่านมาปรับลดลงแรง 14.15 จุด ว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่นักลงทุนวิตกข่าวสหรัฐฯตัด GSP สินค้าไทยบางรายการ แต่เมื่อนักลงทุนได้อ่านข้อมูลบทวิเคราะห์แล้วทราบว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้รุนแรงมากเท่าที่คาดไว้ ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาเป็นบวกได้ ดังนั้น ขอให้นักลงทุนศึกษาบทวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์ต่อไป ส่วนบริษัทจดทะเบียนไทยมีหลายบริษัทที่มีแหล่งการผลิตในหลายประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย มีแหล่งการผลิตอยู่ทั่วโลก ดังนั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้อาจมีไม่มาก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบต้องมีบ้าง โดยเฉพาะบางบริษัทที่มีแหล่งผลิตในประเทศเท่านั้น
ซีพีเอฟยันไม่กระทบแค่เกี้ยวกุ้ง0.2%
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวถึง กรณีที่สหรัฐอเมริกายกเลิก GSP ในสินค้าจากไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้าว่า สินค้าที่บริษัทส่งออกจากประเทศไทยในกลุ่มที่จะโดนตัด GSP มีเพียงบะหมี่เกี๊ยวกุ้งที่มียอดขายประมาณ 0.2% ของยอดขายรวมที่ต้องเสียภาษีในอัตราประมาณ 6% เท่านั้น ทั้งนี้ บริษัทปรับเปลี่ยนแนวทางดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเข้าไปลงทุนผลิต เพื่อรองรับการบริโภคในประเทศนั้นๆ ทำให้ยอดขายส่วนใหญ่ในส่วนกิจการต่างประเทศมีสัดส่วนประมาณ 70% ของยอดขายรวม และเป็นกิจการที่เติบโตอย่างดีมาตลอด เช่นเดียวกับการขยายธุรกิจในประเทศอเมริกา ซีพีเอฟได้เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอาหารพร้อมรับประทานและเติบโตตามเป้าที่ตั้งไว้ และยังคงมีโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
เสี่ยหนูลั่นไม่ทบทวนแบน3สาร
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ยังยืนยันท่าทีว่า จะไม่มีการทบทวนมติในสิ่งที่ยกเลิกไปแล้ว และยืนยันว่าสารพิษ 3 ชนิดไม่มีประโยชน์ เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกร การที่สหรัฐฯระงับจีเอสพีมันเป็นสิทธิของเขา ซึ่งในคำสั่งระบุสาเหตุชัดมาจากปัญหาแรงงานที่ยังไม่มีมาตรฐาน ต้องไปดูว่าจริงหรือไม่ หากไม่จริงต้องโต้แย้งไป และก็ต้องมาดูผลกระทบมากน้อยแค่ไหน อย่าเพิ่งไปตื่นเต้นตกใจกับตัวเลข ต้องเชื่อมั่นในสินค้าไทยว่าเป็นที่ต้องการในตลาดโลก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการบิดเบือนสาเหตุที่สหรัฐฯ ระงับจีเอสพี เพราะไทยยกเลิกสารพิษ 3 ชนิด นายอนุทิน กล่าวว่า แน่นอน คนที่เสียหายจะบิดเบือนทุกเรื่อง โกหกทุกเรื่อง พาลทุกเรื่อง เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันก็เอามารวมกัน แต่เราต้องนิ่ง และต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้องแล้ว ให้รู้ไปสิว่าสินค้าไทยไม่ดี
“เชื่อว่าสุดท้ายคนที่จะได้รับผลกระทบ ตัวคนตัดสิทธิเองก็ไม่พ้น เพราะเขาต้องซื้อของเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากภาษีเพิ่มขึ้น เดี๋ยวเขาคงโวยวายกันเองในบ้านของเขา เราส่งของดีไปให้เขา ถ้าเขาจะตัดสิทธิก็เท่ากับว่าการบริโภคอาหารหรือต้นทุนของสินค้าที่ถูกตัดสิทธิไปมันจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ของเราดีหรือเปล่าล่ะ ถ้าของดีก็ไม่ต้องไปกลัว”นายอนุทิน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี