(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)
และพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกฯมีผลใช้บังคับวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 โดยมาตรา 73วรรคหนึ่งกำหนดให้พนักงานของหน่วยงานของรัฐที่เลขาธิการสกรศ.ขอยืมตัวมาชั่วคราว หากประสงค์จะเป็นพนักงานของสกพอ. ให้แสดงความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาภายใน 90 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (15 พฤษภาคม 2561) ปรากฏว่าพนักงานผู้นั้นได้ยื่นแสดงความจำนงเป็นหนังสือเมื่อ 2 กรกฎาคม 2561 ซึ่งอยู่ในระหว่างขอยืมตัวครั้งที่ 1และอยู่ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับตามบทเฉพาะกาลมาตรา 73 วรรคหนึ่ง
เหตุที่มีการยืมตัวครั้งที่สองต่อเนื่องมาอีก 2 เดือนเพราะว่าหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานของสกพอ. ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ก็เห็นได้ว่ากรณีดังกล่าวมิได้ทำให้การยื่นแสดงความจำนงนั้นเสียไปเพราะว่าบทเฉพาะกาลตามมาตรา 71 และมาตรา 73 วรรคหนึ่งได้รองรับการขอยืมตัวบุคคลให้มาปฏิบัติงานที่สกพอ.ยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไป ประกอบกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือกและประเมินดังกล่าวไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการไว้ ทำให้การพิจารณาคัดเลือกหรือประเมินและการบรรจุเป็นพนักงานของสกพอ. จึงไม่ต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 90 วัน ตามที่กำหนดในมาตรา 73 วรรคหนึ่งแต่ประการใด
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการแสดงความจำนงต่อผู้บังคับบัญชาตามมาตรา 73 วรรคหนึ่งนั้นจะหมายถึงผู้ใด เมื่อพิจารณาตามมาตรา 69 มาตรา 71ที่กำหนดรองรับให้เลขาธิการสกรศ. ทำหน้าที่เลขาธิการ สกพอ.ไปพลางก่อนและกำหนดรองรับการปฏิบัติงานตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 2/2560 ให้ยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไป การปฏิบัติงานของพนักงานผู้นี้จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่ สกรศ.และสกพอ. ซึ่งมีความต่อเนื่องกัน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมาตรา 69ดังนั้นการยื่นหนังสือแสดงจำนงของพนักงานผู้นี้จึงเป็นการยื่นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาโดยชอบตามมาตรา 73 วรรคหนึ่งแล้ว ประกอบกับเมื่อสกพอ. มีหนังสือแจ้งผลการคัดเลือกว่าจ้างพนักงานผู้นี้เป็นพนักงานสัญญาจ้างของสกพอ.ย่อมมีผลเป็นการให้ออกจากงานที่หน่วยงานเดิมโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 73 มีแล้ว
2) ประเด็นที่สอง พนักงานผู้นี้จะต้องยื่นหนังสือขอลาออกจากหน่วยงานเดิมของตนหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามประเด็นที่หนึ่งสรุปได้ว่า พนักงานผู้นี้ได้รับอนุมัติจ้างเป็นพนักงานของสกพอ.และพ้นจากการเป็นพนักงานของหน่วยงานเดิมแล้ว ตามมาตรา 73 วรรคหนึ่งมิใช่พ้นจากตำแหน่งโดยการอนุญาตให้ลาออก ดังนั้นพนักงานรายนี้จึงไม่ต้องยื่นหนังสือลาออกจากหน่วยงานเดิมอีก
3) ประเด็นที่สาม พนักงานผู้นี้จะมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น เมื่อพนักงานผู้นี้ได้ออกจากงานโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 73 วรรคหนึ่งแล้ว มาตรา 73 วรรคสองได้บัญญัติรองรับว่าพนักงานที่ออกจากงานให้ถือว่าเป็นการออกจากงานเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งหน่วยงานนั้น ดังนั้นในกรณีนี้เป็นการออกจากงานเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งในหน่วยงานที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ค่าชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจึงต้องพิจารณาตามกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานนั้นและกฎหมายว่าด้วยรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ดูตามมาตรา 23(11) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมฯ ข้อบังคับการนิคมฯ ฉบับที่ 64ข้อ 4 และข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานการนิคมอุตสาหกรรม ข้อ 23(2)
เมื่อการนิคมอุตสาหกรรมฯ ได้ออกข้อบังคับฯว่าด้วยค่าชดเชยและเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานแล้ว การที่พนักงานผู้นี้ออกจากงานที่การนิคมอุตสาหกรรมโดยผลของกฎหมายตามาตรา 73 วรรคหนึ่ง ทำให้พนักงานผู้นี้ย่อมมีสิทธิได้รับค่าชดเชย เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบพร้อมทั้งเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมฯ
4) ประเด็นที่สี่ การที่พนักงานผู้นี้ได้รับอนุมัติว่าจ้างเป็นพนักงานของสกพอ.ตามมาตรา 73 แล้ว จะถือว่าเป็นการออกจากงานเพราะยุบหรือ
เลิกตำแหน่งตามกฎหมายของการนิคมฯ หรือไม่ และตำแหน่งของผู้นี้ที่ กนอ.จะถูกยุบหรือเลิกด้วยหรือไม่นั้นเมื่อพิจารณาตามมาตรา 73 วรรคสองแล้วจะเห็นว่ามาตรา 73 วรรคสองเป็นการรองรับสิทธิของพนักงานที่สมัครใจเปลี่ยนไปเป็นพนักงานของสกพอ.และถือว่าเป็นการออกจากงานเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อีกประการหนึ่งพระราชบัญญัติของสกพอ. มิได้บัญญัติให้โอนพนักงานจากกนอ.ไปยังสกพอ.ด้วยตำแหน่งพนักงานของกนอ.จึงยังคงมีอยู่ต่อไป มิได้ถูกยุบหรือเลิกตำแหน่งแต่อย่างใด ดังนั้นการที่ออกจากงานเพราะยุบหรือเลิกตำแหน่งตามมาตรา 73 วรรคหนึ่งจึงไม่มีผลเป็นการยุบหรือเลิกตำแหน่งที่มีอยู่ในกนอ.แต่อย่างใด (ดูรายละเอียดได้จากเรื่องเสร็จที่ 679-680/2562 นะครับ....)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี