วันนี้ (11 ธันวาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2563)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบังและทางแยกเข้าพัทยา ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา พ.ศ. 2561 และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน พ.ศ. 2555 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2563
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จำนวน 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. .... 3) ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา พ.ศ. .... 4. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1 กำหนดค่าธรรมเนียมการคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนบ้าน ค่าธรรมเนียมการแจ้งเกิด การตาย และการย้ายที่อยู่ ค่าธรรมเนียมการขอสำเนาทะเบียนบ้านแทนฉบับที่สูญหาย กำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมการคัดสำเนาหรือการคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนราษฎร เพื่อใช้ใน การบางอย่าง เช่น การศึกษา การศาสนา และการยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งการเกิด การตาย ที่ได้แจ้งต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่นและการขอรับสำเนาทะเบียนบ้านแทนฉบับที่สูญหายในเขตท้องที่ที่ประสบสาธารณภัย
2. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2
2.1 กำหนดให้มีการแจ้งการเกิดและการตายสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยทุกคนที่เกิดหรือตายในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
2.2 กำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลาตั้งแต่หกเดือนขึ้นไป คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด ปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน การแจ้งการย้ายที่อยู่ การสำรวจตรวจสอบรายการทะเบียนราษฎร การจัดทำทะเบียนประวัติ และการจัดทำบัตรประจำตัว
2.3 กำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องนอกจากกลุ่มที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด เช่น กลุ่มแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ และคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ รวมถึงบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรปฏิบัติเกี่ยวกับการสำรวจตรวจสอบรายการทะเบียนราษฎร การจัดทำประวัติ การแจ้งการย้ายที่อยู่ และการจัดทำบัตรประจำตัว
2.4 กำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นเวลาน้อยกว่าหกเดือน รวมถึงบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนราษฎร
2.5 กำหนดระยะเวลาที่คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยจะต้องยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือขอจัดทำทะเบียนประวัติให้ชัดเจน
2.6 กำหนดค่าธรรมเนียม และยกเว้นค่าธรรมเนียม
3. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3 กำหนดค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอที่ผู้มีหน้าที่แจ้งหรือขอได้แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อพ้นกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ การแจ้งการเกิด การตาย การจัดการศพ การย้ายที่อยู่ การขอเลขที่บ้าน การขอเพิ่มชื่อหรือจัดทำทะเบียนประวัติของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย การแก้ไขปรับปรุงรายการทะเบียนบ้าน การรื้อถอนบ้าน และการแจ้งย้ายบ้านที่เคลื่อนย้ายได้ กำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา ในกรณีมีเหตุจำเป็นที่ทำให้ผู้แจ้งหรือผู้ขอไม่สามารถแจ้งหรือขอได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เช่น เกิดภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติในบริเวณท้องที่ที่อยู่อาศัย เป็นผู้พิการทางกายเดินไม่ได้ เป็นใบ้ ตาบอดทั้งสองข้าง เป็นต้น
4. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 4 กำหนดอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยที่จำต้องกำหนดเลขประจำอาคารและจัดทำทะเบียนอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เช่น โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่สร้างด้วยวัสดุถาวร มีพื้นที่ภายในที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปใช้สอยหรือใช้ประโยชน์ได้ ได้แก่ อาคารเพื่อการพาณิชยกรรม อาคารเพื่อการบริการสาธารณะ อาคารเพื่อประกอบกิจการหรือใช้เป็นสำนักงานหรือที่ทำการของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชน คลังสินค้า โรงงาน
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลแม่นาเติง ตำบลเวียงเหนือ ตำบลเวียงใต้ ตำบลแม่ฮี้ และตำบลทุ่งยาว อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลแม่นาเติง ตำบลเวียงเหนือ ตำบลเวียงใต้ ตำบลแม่ฮี้ และตำบลทุ่งยาว อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอและให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลแม่นาเติง ตำบลเวียงเหนือ ตำบลเวียงใต้ ตำบลแม่ฮี้ และตำบลทุ่งยาว อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อประโยชน์ในด้านการผังเมืองและการสถาปัตยกรรม
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหินเป็นหินประดับหรือหินอุตสาหกรรม และดินหรือทราย เป็นดินอุตสาหกรรมหรือทรายอุตสาหกรรม พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหินเป็นหินประดับหรือหินอุตสาหกรรม และดินหรือทราย เป็นดินอุตสาหกรรมหรือทรายอุตสาหกรรม พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้หินที่สามารถทำเป็นแผ่นหรือรูปทรงอื่นใดเพื่อการประดับหรือตกแต่งได้เป็นหินประดับ ได้แก่ หินกรวดมน หินกรวดเหลี่ยม หินแกรนิต หินชนวน หินทราย หินทราเวอร์ทีน หินนาคกระสวย หินไนส์ หินบะซอลต์ และหินปูน
2. กำหนดให้หินตาม 1. ซึ่งมีคุณภาพไม่เหมาะสมที่จะทำให้เป็นหินประดับและหินชนิดอื่นนอกจากหินตาม 1. เป็นหินอุตสาหกรรม
3. กำหนดชนิดของดินให้เป็นดินอุตสาหกรรม ได้แก่ ดินขาว ดินซีเมนต์ ดินทนไฟ ดินเบาหรือ ไดอะทอไมต์หรือไดอะตอมเมเชียสเอิร์ท ดินมาร์ล เว้นแต่ดินมาร์ลที่นำไปผ่านกระบวนการแต่งเป็นดินสอพองและใช้เพื่อประโยชน์ในอุตสาหกรรมพื้นบ้าน ดินเหนียวสีเว้นแต่ดินเหนียวสีที่ใช้เพื่อประโยชน์ในงานหัตถกรรมหรืออุตสาหกรรมพื้นบ้าน และบอลเคลย์
4. กำหนดให้ทรายแก้วหรือทรายซิลิกาเป็นทรายอุตสาหกรรม
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองได้ภายในกำหนดสองปีนับแต่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียม และกำหนดคุณสมบัติของผู้ถือประทานบัตร ผู้รับใบอนุญาตแต่งแร่ หรือผู้รับใบอนุญาตประกอบโลหกรรมที่มีสิทธิได้รับการยกเว้น หรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมรายปี โดยต้องเป็นผู้ประกอบกิจการที่รับผิดชอบต่อสังคม มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และผ่านเกณฑ์มาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว หรือตามหลักเกณฑ์ที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำหนด และได้รับการประกาศรายชื่อจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตรที่มีมาตรฐานสูงกว่าหรือเทียบเท่า
2. กรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังคงรักษาเกณฑ์มาตรฐานการประกอบกิจการได้สูงกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด หรือเทียบเท่าอย่างต่อเนื่องและได้รับการประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตร ให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากที่มีการประกาศรายชื่อ รวมถึงการต่ออายุให้ได้รับการลดค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของอัตราค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
3. กรณีสถานประกอบกิจการประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย หากในปีนั้นได้ชำระค่าธรรมเนียมรายปีไว้แล้วให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากปีที่ประสบเหตุทางธรรมชาติ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จำนวน 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน
พ.ศ. 2535 จำนวน 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การแจ้งในกรณีได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตขยายโรงงานตามมาตรา 18/1
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการแจ้งการเพิ่มจำนวน เปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต เครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องต้นกำลัง เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดมลพิษหรือมาตรการป้องกันหรือลดเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือพลังงานของเครื่องจักรเป็นอย่างอื่น หรือการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงาน หรือ การก่อสร้างอาคาร โรงงานเพิ่มขึ้นตามมาตรา 19
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ การแจ้งเพิ่มประเภท หรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโรงงานเดิมตามมาตรา 19/1 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1
1.1 ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะขยายโรงงานตามมาตรา 18 แต่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตตามมาตรา 18/1 ให้แจ้งผู้อนุญาตทราบเป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนการดำเนินการ
1.2 แบบใบแจ้งให้เป็นไปตามที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.3 กำหนดสถานที่แจ้ง กรณีโรงงานตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด
1.4 กำหนดให้การแจ้งและการแจ้งผลการพิจารณาสามารถแจ้งผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
1.5 กำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบและระยะเวลาพร้อมการแจ้งผลการตรวจสอบโดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน ผู้อนุญาตต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน และแจ้งผลการตรวจสอบภายใน 5 วัน โดยระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมดนี้จะต้องไม่รวมถึงกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้อนุญาตมีคำสั่งให้คืนใบแจ้งเนื่องจากเอกสารหลักฐานไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน หรือมีคำสั่งให้ผู้แจ้งดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงสถานที่ตั้งโรงงาน อาคารโรงงาน เครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์ หรือสิ่งที่นำมาใช้ในโรงงานให้ถูกต้องสมบูรณ์ หรือระยะเวลาที่ต้องไปรับความเห็นชอบอนุญาต หรืออนุมัติจากหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ (ถ้ามี)
2. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2
2.1 ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะดำเนินการตามมาตรา 19 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการดำเนินการ
2.2 กำหนดให้การแจ้งกรณีที่มีการเพิ่มจำนวน เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต เครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องต้นกำลัง เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดมลพิษหรือมาตรการป้องกันหรือลดเหตุเดือดร้อนรำคาญ หรือพลังงานของเครื่องจักรเป็นอย่างอื่นทำให้เครื่องจักรมีกำลังรวมลดลงหรือเพิ่มขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นขยายโรงงาน ผู้แจ้งต้องยื่นเอกสารแสดงแบบแปลนเพื่อแสดงวัตถุประสงค์ดังกล่าวพร้อมกับการแจ้งด้วย
2.3 กำหนดให้การแจ้งกรณีที่มีการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานออกไปหรือกรณีที่มีการก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นใหม่ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของโรงงานนั้นโดยตรง ผู้แจ้งต้องยื่นแบบแปลนแสดงการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานหรือการก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นเพื่อแสดงถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย
2.4 กำหนดสถานที่แจ้ง โดยกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด
2.5 กำหนดให้การแจ้งสามารถผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
3. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3
3.1 กำหนดความหมายของคำว่า “เพิ่มประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโรงงานเดิม” รวมทั้งกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะดำเนินการตามมาตรการ 19/1 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนมีการดำเนินการ
3.2 กำหนดให้การแจ้งตามมาตรการ 19/1 ผู้แจ้งต้องยื่นเอกสารแสดงถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระบวนการผลิต วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ มาตรการป้องกันสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย มาพร้อมกับการแจ้งฯ ด้วย
3.3 กำหนดสถานที่แจ้งโดยกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด
3.4 กำหนดให้การแจ้งและแจ้งผลการพิจารณาสามารถดำเนินการผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
3.5 กำหนดระยะเวลาการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่เกิน 7 วัน ผู้อนุญาตไม่เกิน 3 วัน และแจ้งผลการพิจารณาไม่เกิน 2 วัน โดยระยะเวลาดังกล่าวนี้ไม่รวมถึงวันที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้อนุญาตมีคำสั่งให้คืนใบแจ้งเนื่องจากเอกสารหลักฐานไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วนหรือมีคำสั่งให้ผู้แจ้งไปดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงสถานที่ตั้งโรงงาน อาคารโรงงาน เครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์ หรือสิ่งที่นำมาใช้ในโรงงานให้ถูกต้องสมบูรณ์หรือระยะเวลาที่ต้องได้รับความเห็นชอบ อนุญาต หรืออนุมัติจากหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือระยะเวลาที่มีผู้โต้แย้งเกี่ยวกับการเพิ่มประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานดังกล่าว
7. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จำนวน 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จำนวน 4 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... กำหนดให้ส่วนราชการที่รับชำระภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หักค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 3 ของภาษีที่รับชำระไว้แทน และให้นำส่งภาษีหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วให้แก่ อปท. ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ พ.ศ. ....
2.1 กำหนดให้ลักษณะที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
2.1.1 ที่ดินที่โดยสภาพสามารถทำประโยชน์ได้ แต่ไม่มีการทำประโยชน์ในที่ดินนั้นตลอดปีที่ผ่านมา เว้นแต่การที่ไม่สามารถทำประโยชน์นั้นเนื่องจากมีเหตุธรรมชาติหรือเหตุพ้นวิสัย
2.1.2 สิ่งปลูกสร้างที่โดยสภาพทำประโยชน์ได้ แต่ถูกทิ้งร้างและไม่มีการทำประโยชน์ในสิ่งปลูกสร้างนั้นตลอดปีที่ผ่านมา
2.2 กำหนดให้ลักษณะที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
2.2.1 ที่ดินที่โดยสภาพสามารถทำประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม แต่มีการทำประโยชน์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด ตลอดปีที่ผ่านมา
2.2.2 สิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างหรือปรับปรุงเสร็จแล้ว และโดยสภาพสามารถทำประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม หรือเป็นที่อยู่อาศัย หรือทำประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่การทำประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรมหรือเป็นที่อยู่อาศัย แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ไม่รวมถึงที่ดินที่อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อทำประโยชน์หรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกรอนสิทธิในการทำประโยชน์โดยกฎหมาย หรือโดยคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาล หรือที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง โดยในการพิจารณาว่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างใดเป็นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ ให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิประเทศ สภาพดิน ความลาดชันของพื้นดิน และการทำประโยชน์ของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างในบริเวณใกล้เคียง
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... กำหนดให้ อปท. จัดทำประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นตามลักษณะการใช้ประโยชน์ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีแต่ละราย ตามแบบ ภ.ด.ส. 1 และ ภ.ด.ส. 2 และให้ อปท. ปิดประกาศก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ของทุกปี โดยให้แสดงไว้ ณ สำนักงานหรือที่ทำการของ อปท. และสถานที่อื่นใดที่ประชาชนเข้าถึงได้ หรือผ่านระบบอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของ อปท.
4. ร่างกฎกระทรวงการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... กำหนดให้ผู้เสียภาษีที่มีวงเงินตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ยื่นหนังสือขอผ่อนชำระภาษีต่อ อปท. ภายในเดือนเมษายนของปี และกำหนดเวลาผ่อนชำระภาษี 3 งวด งวดละเท่า ๆ กัน (เดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน)
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร เพื่อให้สามารถกำหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเพื่อการรับรองเฉพาะด้าน โดยกำหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพิ่มเติมขึ้นเป็นอีกเครื่องหมายหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานตามมาตรฐานสากล รายละเอียดดังนี้
1. กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
2. กำหนดให้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรมีลักษณะดังนี้
2.1 เครื่องหมายรับรองมาตรฐานบังคับสำหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานบังคับ มีลักษณะเป็นรูปอักษรคิวสีเขียวทรงกลม อยู่ในกรอบหกเหลี่ยมสีเขียว และมีส่วนสัดตามแบบ ก. ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
2.2 เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสำหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานทั่วไป มี 2 ลักษณะ ดังนี้
(1) เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสำหรับสินค้าเกษตร มีลักษณะเป็นรูปอักษรคิวสีเขียวทรงกลม และมีส่วนสัดตามแบบ ข. ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
(2) เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสำหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานทั่วไปที่เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ มีลักษณะเป็นรูปวงกลมขอบสีดำพื้นสีขาวด้านล่างมีอักษรว่า “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์” สีเขียวเข้ม ภายในมีรูปวงกลมสีเขียวอ่อนและมีอักษรภาษาอังกฤษว่า “Organic” สีเขียวเข้มอยู่เหนืออักษรภาษาอังกฤษว่า “Thailand” สีดำใต้ตัวอักษรภาษาอังกฤษมีลายเส้นสามเส้น สีแดง สีน้ำเงิน และสีแดง ตามลำดับ และมีส่วนสัดตามแบบ ค. ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
ทั้งนี้ สีตามที่ระบุไว้ใน (2.1) และ (2.2) สามารถใช้สีใดสีหนึ่งเพียงสีเดียว ซึ่งเห็นได้ง่ายและชัดเจนก็ได้
3. กำหนดให้ผู้ได้รับใบรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรเป็นผู้จัดทำเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน และกำหนดให้การแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานให้แสดงอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้รับการรับรองให้แสดงให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนไว้ที่สินค้าเกษตร และจะแสดงไว้ที่สิ่งบรรจุ หีบห่อ สิ่งหุ้มห่อ สิ่งผูกมัด หรือป้ายของสินค้า สถานประกอบการ เอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์ อีกด้วยก็ได้
4. กำหนดให้การรับรองมาตรฐานกระบวนการจัดการการผลิตให้แสดงไว้ที่สถานประกอบการ เอกสารกำกับสินค้า หรือเอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์
5. กำหนดให้การแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานให้ระบุ (1) ชื่อผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน (2) มาตรฐานสินค้าเกษตรที่ให้การรับรอง (3) ชื่อผู้ได้รับใบรับรองไว้ใต้เครื่องหมายรับรองมาตรฐาน
6. กำหนดให้สินค้าเกษตรที่จะแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานได้รับใบรับรองตามมาตรฐานตั้งแต่สองมาตรฐานขึ้นไป อาจระบุรายละเอียดตามข้อ 5. ทุกมาตรฐานไว้ใต้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานแบบเดียวกันก็ได้
7. กำหนดให้การแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรเกี่ยวกับมาตรฐานกระบวนการจัดการการผลิต ให้ระบุชื่อเต็มหรือชื่อย่อของมาตรฐานไว้ให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนด้วย
8. กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรที่ได้แสดงไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรนั้นสิ้นอายุ
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุ
การออกใบแทน การสั่งพักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต เป็นผู้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุ การออกใบแทน การสั่งพักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต เป็นผู้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการจัดทำร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1. ได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอและการออกใบอนุญาต คุณสมบัติของผู้ชำนาญการ การสั่งพักและเพิกถอนใบอนุญาต การควบคุมการปฏิบัติงานของผู้ได้รับใบอนุญาตของผู้มีสิทธิทำรายงานเกี่ยวกับการศึกษาและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม รายละเอียดดังนี้
1. ให้ยกเลิก
1.1 กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2529) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518
1.2 ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
2. กำหนดใบอนุญาตเป็นผู้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ใบอนุญาตเป็นผู้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระและนิติบุคคล โดยมีค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ปีละ 5,000 บาท
3. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาต ดังนี้
3.1 ผู้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระต้องมีสัญชาติไทย สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ปริญญาโท และปริญญาเอกมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี สามปี และหนึ่งปี ตามลำดับ จากสถาบันการศึกษาที่สำนักงาน ก.พ. รับรอง
3.2 ผู้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมนิติบุคคลต้องจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลในประเทศไทย มีจำนวนหุ้นของผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ด ซึ่งมีสิทธิในการออกเสียงและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
4. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ประจำนิติบุคคลผู้ได้รับอนุญาต ต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาที่สำนักงาน ก.พ. ไม่เคยมีส่วนร่วมในการจัดทำหรือให้การรับรองรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานเกี่ยวกับการศึกษาและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในส่วนที่เป็นเท็จ หรือประมาทเลินเล่อจนอาจเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
5. กำหนดรายละเอียดในการยื่นคำขอรับใบอนุญาต เอกสารและหลักฐาน โดยอาจให้ยื่นผ่านทางสื่อระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนได้ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบผลงาน ปริมาณงาน และสอบสัมภาษณ์ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประเมินความรู้ ความสามารถ และความพร้อมในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
6. กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคำขอรับใบอนุญาต เอกสาร และหลักฐาน รวมทั้งการประเมินความรู้ ความสามารถ และความพร้อมในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เงื่อนไข และสิทธิของผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแต่ละประเภท ในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใด ของประชาชนหรือชุมชน หรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง แล้วแต่กรณี
7. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระมีหน้าที่เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการเพื่อประกอบการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ควบคุมคุณภาพในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มีรายละเอียดถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามหลักวิชาการ
8. กำหนดให้มีการตรวจสอบความโปร่งใสในการทำหน้าที่ของผู้ได้รับใบอนุญาตเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนกับเจ้าของโครงการ กิจการหรือการดำเนินการที่ตนรับจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเตือน การพักใช้ การเพิกถอนใบอนุญาต และการอุทธรณ์คำสั่ง
12. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. 2550 ในส่วนขององค์ประกอบของ กปส. โดยปรับเพิ่ม 5 ตำแหน่ง ได้แก่ (1) ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง และ (2) ที่ปรึกษาพิเศษของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เป็นที่ปรึกษา และ (3) ผู้แทนสำนักพระราชวัง (4) เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ (5) ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นกรรมการ ทั้งนี้ สำหรับราชเลขาธิการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ตัดออกจากการเป็นกรรมการ นอกจากนี้ เห็นควรแก้ไข การกำหนดตำแหน่ง “ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” เป็น “ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2562 ด้วยในคราวเดียวกัน
เศรษฐกิจ - สังคม
13. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเพิ่มกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน 2,247 อัตรา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้มีการปรับเพิ่มกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้แก่กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ โดยให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มอัตรากำลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้ใช้จ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้เสนอตั้งไว้ในขั้นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้หรือเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เท่าที่จำเป็นอย่างประหยัดตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 458.93 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรจุสั่งใช้กำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน 2,247 อัตรา ซึ่งเป็นอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขอปรับเพิ่มกรอบอัตรากำลังเป็น 12 อัตรา/กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ จำนวน 599 กองร้อย เพื่อให้กองอาสารักษาดินแดนอำเภอทั่วประเทศ (878 กองร้อย) มีกรอบอัตรากำลังทิศทางเดียวกัน สรุปได้ ดังนี้
กรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน/กองร้อย |
อัตรากำลังที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเป็นกรอบอัตรากำลังใหม่ |
หมายเหตุ |
|||||
เดิม |
ใหม่ |
||||||
1) กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ จำนวน 150 กองร้อย |
เพื่อปฏิบัติหน้าที่ 1) ช่วยเหลือพนักงานฝ่ายปกครองในภารกิจด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและความมั่นคงของชาติ 2) ช่วยเหลือพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองในภารกิจด้านการสอบสวนความผิดอาญาบางประเภทในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร และ 3) พนักงานวิทยุ/พลขับ |
||||||
6 อัตรา |
12 อัตรา |
900 อัตรา
|
|||||
2) กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ จำนวน 449 กองร้อย |
|||||||
9 อัตรา |
12 อัตรา |
1,347 อัตรา |
|||||
รวมกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอที่ปรับเพิ่ม จำนวน 599 กองร้อย |
2,247 |
- |
|||||
หมายเหตุ : กระทรวงมหาดไทย (กองอาสารักษาดินแดน) แจ้งว่า การปรับกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนในครั้งนี้ครอบคลุมกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอทั่วประเทศ ยกเว้น 17 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี นครนายก นนทบุรี นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี เพชรบุรี ภูเก็ต แม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง ราชบุรี สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร เนื่องจากมีกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจำนวน 12 อัตรา อยู่แล้ว |
|||||||
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการบรรจุสั่งใช้อัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน 2,247 อัตรา เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ เช่น 1) ค่าตอบแทนสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน รวมค่าครองชีพ ขั้นที่ 1 2) ค่าเบี้ยเลี้ยงสนามและค่าเสบียงสนาม 3) ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 4) ค่าการศึกษาของบุตรเฉลี่ย และ 5) ค่าการฝึกอบรม เป็นต้น
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้แก่
รายการ |
กำหนดการ |
สถานที่ |
1. การประชุมคณะกรรมการบริหารสหพันธ์กีฬาโรงเรียนแห่งเอเชีย (Asian School Sport Federation: ASSF) การประชุมคณะกรรมการด้านเทคนิคของ ASSF และ ASSF Forum ครั้งที่ 8 |
16 – 20 ธันวาคม 2562 |
เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี |
2. การประชุมสมัชชาใหญ่ของสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชีย (Asian Schools Football Federation: ASFF) และการประชุมคณะกรรมการด้านเทคนิคของ ASFF |
มีนาคม 2563 |
จังหวัดภูเก็ต |
3. การแข่งขันฟุตบอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 48 |
1 – 9 เมษายน 2563 |
จังหวัดสงขลา |
4. การแข่งขันฮอกกี้นักเรียนชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 6 |
กรกฎาคม 2563 |
จังหวัดปทุมธานี |
ในวงเงินงบประมาณ 15,000,000 บาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของ กก. โดยกรมพลศึกษา และประมาณการรายรับจากการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 46,860 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,405,800 บาท
สาระสำคัญของเรื่อง
กก.รายงานว่า
1. กก. (กรมพลศึกษา) ในฐานะสมาชิก ASSF และ ASFF ในนามประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ของ ASSF เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ และการประชุมสมัชชาใหญ่ของ ASFF เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและการประชุมรวม 4 รายการ
2. ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา ค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของ กก. โดยกรมพลศึกษา จำนวน 15,000,000 บาท
3. การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและการประชุมในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติให้เป็นที่ประจักษ์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) รวมทั้งสนับสนุนการจัดประชุมองค์กรกีฬานักเรียนระดับนานาชาติในประเทศไทย เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการ ในขณะเดียวกันเป็นการพัฒนาการกีฬาในระดับนักเรียน เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงทักษะด้านกีฬา คัดเลือกนักกีฬาที่มีความสามารถดีเด่นจากทั่วประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนานักกีฬาระดับนักเรียนไปสู่การแข่งขันในระดับที่สูงขึ้นและระดับนานาชาติต่อไป ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่กีฬาอาชีพในอนาคตได้อย่างเป็นระบบ
15. เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2562 เพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
ในอัตราภาษีร้อยละ 5 ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 และยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 เรื่อง การบริหารจัดการนมทั้งระบบ เนื่องจากเป็นการพิจารณาจัดสรรให้ผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต โดยต้องนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกร
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเห็นชอบการเปิดตลาดสินค้านมผงขาดมันเนยตามความตกลงการการค้าระหว่างประเทศ ประจำปี 2562 รวม 58,312.74 ตัน โดยเก็บภาษีในโควตาเท่าเดิมตามที่เก็บจริงในอัตราภาษีร้อยละ 5 และแบ่งจัดสรรเป็น 2 กลุ่มโดยผู้ประกอบการในกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ำนมดิบ) ได้รับการจัดสรรร้อยละ 80 เป็นจำนวน 46,650.20 ตัน และให้ผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) ได้รับการจัดสรรร้อยละ 20 เป็นจำนวน 11,662.54 ตันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรโควตานำเข้านมและครีม เครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ความตกลง/ปริมาณ เปิดตลาด (ตัน) |
ปริมาณจัดสรร (ตัน) |
ความตกลง |
กลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (ร้อยละ 80) |
กลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (ร้อยละ 20) |
WTO และ TAFTA |
งวดที่ 1 (ร้อยละ 90) 52,210.42 |
WTO |
39,359.08 |
9,839.76 |
TAFTA |
2,409.26 |
602.32 |
||
|
งวดที่ 2 (ร้อยละ 10) 5,801.16 |
WTO |
4,640.93 |
1,160.23 |
TAFTA |
- |
- |
||
TAFTA (Specific Quota) |
งวดเดียว 301.16 |
TAFTA |
240.93 |
60.23 |
รวมปริมาณเปิดตลาด |
58,312.74 |
|
46,650.20 |
11,662.54 |
2. คณะอนุกรรมการพิจารณาจัดสรรโควตาและอัตราภาษีนำเข้านมผงขาดมันเนย นมดิบ และนมพร้อมดื่มในการประชุมครั้งที่ 4/2562 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 ได้พิจารณาการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยส่วนโควตาคืนและพิจารณาโควตาเพิ่มเติมโดยมีมติเห็นชอบให้เปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เพิ่มเติม เบื้องต้นปริมาณไม่เกิน 5,719.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 เนื่องจากโควตา ปี 2562 จำนวน 58,312.74 ตัน ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ โดยพิจารณาจัดสรรจากความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับจัดสรรโควตาเพิ่มเติมต้องเป็นผู้นำเข้ารายเดิมและมีรายงานการนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เกินร้อยละ 70 ของโควตาที่ได้รับภายในวันที่ 30 กันยายน 2562 ต่อมาคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ และให้กรมปศุสัตว์แจ้งปริมาณโควตาเพิ่มเติมที่ได้รับพิจารณาภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวไปยังองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้แจ้งปริมาณการขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้าฯ เพิ่มเติม เหลือจำนวน 2,993.02 ตัน
3. การขออนุมัติให้เปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี พ.ศ. 2562 เพิ่มเติมปริมาณ 2,993.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 ในครั้งนี้ จะจัดสรรให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต [แบ่งเป็นกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ำนมดิบ)จำนวน 740 ตัน และกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) จำนวน 2,253.02 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนการจัดสรรโควตา เท่ากับ 24.72 : 75.28] จึงต้องขอยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ำนมดิบ) กับกลุ่มกับกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) ในอัตรา 80 : 20 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548
4. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว พณ. จะดำเนินการประกาศการจัดสรรที่จะออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีในโควตา ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เพื่อทำให้การผลิตและการตลาดภาคธุรกิจของผู้ประกอบการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงักเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต
5. ผลกระทบ
5.1 ด้านเศรษฐกิจ
การผลิตและการตลาดในภาคธุรกิจของผู้ประกอบการสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ สำหรับธุรกิจภาคอุตสาหกรรมและอาหารของต่างประเทศที่มีโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ในไทย หากสามารถนำเข้านมผงขาดมันเนยได้พอเพียงตามความต้องการ จะทำให้สามารถวางแผนการผลิตล่วงหน้าได้ตลอดทั้งปีและมีนโยบายขยายฐานการผลิตและการลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในภาพรวม
5.2 ด้านเกษตรกร
ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยไม่ให้กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกร
(ต้องเป็นผู้ประกอบการรายเดิมที่มีรายงานการนำเข้าโควตานมผงขาดมันเนยที่ได้รับจัดสรรเกินร้อยละ 70 ขึ้นไป) และยังมีแผนการผลิตและแผนการรับซื้อน้ำนมโคร่วมกันระหว่างองค์กรเกษตรกรโคนมและผู้ประกอบการการแปรรูปนมทั้งระบบ โดยได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงการบริหารจัดการน้ำนมโคทั้งระบบร่วมกันแล้ว
5.3 ด้านผู้บริโภค
ผู้บริโภคจะได้รับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปจากนมหลายชนิดในราคาถูก หากการดำเนินการทางธุรกิจดังกล่าวไม่หยุดชะงักและไม่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากต่างประเทศที่มีราคาสูงเข้ามาทดแทน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าที่มีส่วนประกอบของนมมีราคาแพงขึ้น
16. เรื่อง มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) ได้แก่ (1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก กรณีค่าฝากเก็บและค่ารักษาคุณภาพข้าวเปลือก วงเงิน 1,500.00 ล้านบาท (2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกรวงเงิน 562.50 ล้านบาท และ (3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก วงเงิน 510 ล้านบาทเพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมาย 6.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงิน 2,572.5 ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
2. เห็นชอบการอนุมัติจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม) โดยให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี 2564 และปีถัดๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,370.72 ล้านบาท จำแนกเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. (ปัจจุบันร้อยละ 1.4 ต่อปี) บวก 1 เท่ากับ 2.40 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และ ธ.ก.ส. ทำความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลัง ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 และค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปีระยะเวลา 6 เดือน รวมวงเงิน 340.00 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบาย ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว วงเงิน 1,030.72 ล้านบาท
สาระสำคัญ
คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ดังนี้
1. รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) เพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมาย 6.5 ล้านตันข้าวเปลือก โดยขอรับจัดสรรงบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เป็นเงินจ่ายขาดเพื่อดำเนินโครงการ วงเงิน 2,572.5 ล้านบาท ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (โดย ธ.ก.ส.)
1.1) วงเงินสินเชื่อ ปริมาณ และราคาข้าวเปลือกในการจ่ายเงินกู้ วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท โดยกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือกที่ความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 และกำหนดเป้าหมาย ปริมาณ 1 ล้านตันข้าวเปลือก ราคาข้าวเปลือกในการให้สินเชื่อต่อตันในอัตราร้อยละ 80 ของราคาตลาดข้าวเปลือกเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2559 ถึงเดือนสิงหาคม 2562) ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิชนิด 36 กรัมขึ้นไปในเขตพื้นที่ 23 จังหวัด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ภาคเหนือ 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา) ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิชนิด 36 กรัมขึ้นไป
ที่ปลูกนอกพื้นที่ 23 จังหวัด ตันละ 9,900 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,700 บาท
1.2) ค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก (ต้องเก็บไว้อย่างน้อย 1 เดือน ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือน) เกษตรกรที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง ตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรได้รับ ตันละ 1,500 บาท (จำแนกเป็นสถาบันเกษตรกร ได้รับ ตันละ 1,000 บาท และให้เกษตรกรที่นำข้าวมาฝากเก็บกับสถาบันเกษตรกร ตันละ 500 บาท)
1.3) วงเงินสินเชื่อ เกษตรกร รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตร ไม่เกินสหกรณ์ละ 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกร ไม่เกินกลุ่มละ 20 ล้านบาท วิสาหกิจชุมชน (รวมถึงศูนย์ข้าวชุมชน)
ไม่เกินแห่งละ 5 ล้านบาท
1.4) ระยะเวลาจัดทำสัญญาเงินกู้ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 29 กุมภาพันธ์ 2563 และระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2563
1.5) การระบายข้าวเปลือกโครงการ กรณีราคาข้าวในตลาดต่ำกว่าราคาให้สินเชื่อให้ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ออกไปอีกไม่เกิน 3 คราว คราวละ 1 เดือน หากราคาข้าวเปลือกยังไม่สูงขึ้นให้คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด ดำเนินการระบายข้าวเปลือกตามโครงการ
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2562/63 (โดย ธ.ก.ส.)
สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร (ไม่รวมชุมนุม15,000 ล้านบาท และจำนวนสินเชื่อคงเหลือภายในระยะเวลาโครงการฯ ไม่เกิน วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ในอัตรา MLR -1 ต่อปี เท่ากับ
ร้อยละ 4 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ร้อยละ 5 ต่อปี) โดยมีผู้รับผิดชอบ ดังนี้ (1) สถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี และ (2) คชก. รับภาระชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 –
30 กันยายน 2563 ระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และระยะเวลาโครงการตั้งแต่
1 พฤศจิกายน 2562 – 31 ธันวาคม 2563 วงเงินงบประมาณ 562.50 ล้านบาท
3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2562/63 (โดยกรมการค้าภายใน)
ให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการเก็บสต็อก ในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เพื่อดูดซับผลผลิตในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมายดูดซับ 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร/ผู้รวบรวม ในราคาตลาดตามการค้าปกติ เก็บสต็อกอย่างน้อย 60 – 180 วัน (2 – 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2562 - 30 เมษายน 2563 (ภาคใต้ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563) และระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2562 - 31 ตุลาคม 2564 โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 วงเงิน 510 ล้านบาท
2. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม)
โดยให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี 2564 และปีถัดๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,370.72 ล้านบาท ตามที่
ธ.ก.ส. เสนอ เพื่อให้การดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอให้รัฐบาลรับภาระเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. จากการให้สินเชื่อเกษตรกร/สถาบันเกษตรตามโครงการฯ ในอัตราร้อยละ2.40 ต่อปี รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบายข้าว ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าวร้อยละ 10 ของวงเงินสินเชื่อ โดยจำแนกเป็น
1) ค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. (ปัจจุบันร้อยละ 1.4 ต่อปี) บวก 1 เท่ากับ 2.40 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และธ.ก.ส. ทำความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลัง ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 และค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปีระยะเวลา 6 เดือน รวมวงเงิน 340.00 ล้านบาท
2) ค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบาย ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว วงเงิน 1,030.72 ล้านบาท
17. เรื่อง โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ รับทราบ และเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 วงเงินรวมทั้งสิ้น 923,332,332.80 บาท
2. อนุมัติมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 วงเงิน 45,000,000 บาท
3. รับทราบมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
4. เห็นชอบเพิ่มผู้แทนกรมศุลกากรเป็นกรรมการในองค์ประกอบของคณะกรรมการ นโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.)
สาระสำคัญ
จากการหารือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาคเอกชน เกษตรกร และภาครัฐ และมติคณะกรรมการ นบขพ.เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้
1. โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
1.1 ชนิดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพื้นที่ดำเนินการ ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้น 14.5% ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศ
1.2 ราคาและปริมาณประกันรายได้ กำหนดราคาและปริมาณประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ ความชื้น 14.5% กก.ละ 8.50 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่
1.3 เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับเงินส่วนต่าง ได้แก่ เกษตรกรทุกรายที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกและแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
1.4 เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ เกษตรกร ๑ ครัวเรือน ใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 30 ไร่
1.5 การชดเชยส่วนต่าง ธ.ก.ส. จะโอนเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง
1.6 ระยะเวลาดำเนินการ
(1) ช่วงเวลาเพาะปลูก ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
(2) ระยะเวลาใช้สิทธิ ใช้สิทธิได้ในช่วงการเก็บเกี่ยวที่ระบุไว้ในทะเบียนเกษตรกร โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินส่วนต่างครั้งแรกในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2562 ให้มีสิทธิรับเงินชดเชยในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 และจ่ายต่อไปทุกวันที่ 20 ของเดือนจนถึงระยะเวลาสิ้นสุดการรับสิทธิชดเชยตามโครงการฯ 31 ตุลาคม 2563
(3) ระยะเวลาโครงการ 1 ธันวาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2563
3.1.7 งบประมาณ วงเงิน 923,332,332.80 บาท จำแนกเป็นค่าชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาอ้างอิง โดยใช้แหล่งเงินทุนของ ธ.ก.ส. วงเงิน 899,484,700 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของ ธ.ก.ส. วงเงิน 23,847,632.80 บาท โดยเป็นการชดเชยต้นทุนเงินในอัตราเงินฝากประจำ 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. บวก 1 หรือคิดเป็นร้อยละ 2.40 ต่อปี เป็นเงิน 21,587,632.80 บาท และค่าบริหารจัดการรายละ
5 บาท เป็นเงิน 2,260,000 บาท
2. มาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
2.1 การบริหารจัดการการนำเข้า โดยกำหนดช่วงเวลาการนำเข้าให้นำเข้าเฉพาะช่วงกุมภาพันธ์ – สิงหาคม ของทุกปี ยกเว้น อคส. หากมีนโยบายให้นำเข้าการควบคุมการขนย้ายในพื้นที่ติดชายแดนเพื่อนบ้าน กำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 : 3 การตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายความมั่นคงและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการกำหนดมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบนำเข้า เพิ่มความเข้มการตรวจค้นของด่านตรวจความมั่นคง จัดชุดเข้าตรวจตามช่องทางผิดกฎหมายในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการลักลอบขนย้าย และให้มีคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธาน เพื่อศึกษาและนำเสนอมาตรการแก้ไขปัญหา รวมทั้งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ลักลอบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรและระบบการค้าในประเทศเป็นสำคัญ
2.2 การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กำหนดให้ผู้รับซื้อแสดงราคา ณ จุดรับซื้อที่ความชื้น 14.5% และ 30% พร้อมแสดงตารางการเพิ่ม – ลด ราคาตามเปอร์เซ็นต์ความชื้น และกำหนดให้ใช้เครื่องชั่งน้ำหนัก/เครื่องวัดความชื้นที่มีมาตรฐาน
2.3 การดูแลความสมดุล โดยแจ้งปริมาณการครอบครอง การนำเข้า สถานที่เก็บ การตรวจสอบสต๊อก
2.4 การเพิ่มช่องทางการจำหน่าย โดยเชื่อมโยงผลผลิตกับผู้รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
2.5 โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตร ปี 2562/63 ให้ ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ/หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด
เลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อจำหน่ายต่อ แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
เพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมาก โดย ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อ วงเงิน 1,500 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MLR-1 หรือร้อยละ 4 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน วงเงินชดเชย 45,000,000 บาท โดย ธ.ก.ส. ประสานขอเบิกจ่ายจากงบประมาณประจำปีของกระทรวงการคลัง
2.6 สนับสนุนให้ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เก็บสต๊อกผลผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ/หรือใช้วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ให้สามารถรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรโดยไม่ต้องเร่งระบายผลผลิตและเก็บสต๊อกไว้ในรูปแบบชนิดเมล็ด เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาดโดยไม่แทรกแซงกลไกตลาด วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ตามมูลค่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เก็บสต๊อกไว้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาเก็บสต๊อก 60 – 120 วัน วงเงินชดเชย 15,000,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
18. เรื่อง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินลดภาระการผ่อนดาวน์ที่ได้รับจากมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562)
2. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 และปีต่อ ๆ ไป จำนวน 29,126.24 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ในส่วนเพิ่มเติม จำนวน 2,667.35 ล้านบาท และโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ โดยมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป
สาระสำคัญ
กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงฯ และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวซึ่ง นบข. มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินลดภาระการผ่อนดาวน์ที่ได้รับจากมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562)
1) สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ : กำหนดให้เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ได้รับจากการสนับสนุนตามมาตราการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งได้รับโอนจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวนห้าหมื่นบาทเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2) การดำเนินการตามกฎหมาย : การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนที่ผู้มีเงินได้ได้รับตามมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัยตามร่างกฎกระทรวงฯ เข้าข่ายลักษณะของกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ) และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการหรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. 2561 (ประกาศคณะกรรมการฯ) ซึ่งต้องมีการนำเสนอข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ โดยได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่ต้องนำเสนอตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 เรียบร้อยแล้ว
2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
2.1 ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63
1) ข้อเท็จจริง:
1.1 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 และ 27 สิงหาคม 2562 รับทราบและเห็นชอบหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2562 โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการหารือการดำเนินโครงการดังกล่าว วงเงินงบประมาณ 25,427.48 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ภายในกรอบวงเงิน 25,482.06 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ทั้งนี้ ภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าว มีวงเงินที่ใช้เงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวไปก่อน จำนวน 24,810.49 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจากฐานข้อมูลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) ปี 2561 จำนวน 4.31 ล้านครัวเรือน
1.2 ผลการดําเนินงานโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2562/63 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ธ.ก.ส. โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.15 ล้านครัวเรือน เป็นเงินจำนวน 24,662.60 ล้านบาท คงเหลือวงเงินงบประมาณ 147.89 ล้านบาท และ กสก.ได้ประมาณการจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 รวมทั้งคาดการณ์จำนวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ตกหล่น เพิ่มขึ้นเป็น 4.57 ล้านครัวเรือน จึงมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพิ่มอีก 0.26 ล้านครัวเรือน ส่งผลให้งบประมาณที่ยังคงเหลือไม่เพียงพอในการจ่ายให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562 กับ กสก. ประกอบกับระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรภาคอื่น ๆ กำหนดให้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จึงจำเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรสำหรับภาคอื่น ๆ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563
2) ข้อเสนอเพื่อพิจารณา :
2.1) ธ.ก.ส. ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับการดำเนินโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวนทั้งสิ้น 2,667.35 ล้านบาท แบ่งเป็น
2.1.1) วงเงินที่จ่ายให้เกษตรกรจำนวน 2,603.56 ล้านบาท โดยรัฐบาลใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สำรองจ่ายและจะจัดสรรงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือนของ ธ.ก.ส. + 1 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.40 ต่อปี
2.1.2) ค่าชดเชยต้นทุนเงินตามข้อ 2.1.1) เป็นเงิน 62.49 ล้านบาท
2.1.3) ค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. วงเงิน 1.3 ล้านบาท รายละ 5 บาท ประมาณการจำนวนเกษตรกร 0.26 ล้านครัวเรือน (คำนวณเฉพาะส่วนต่างของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนปี 2562 จำนวน 4.57 ล้านครัวเรือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่เคยคำนวณไว้โดยใช้ฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2561 จำนวน 4.31 ล้านครัวเรือน)
2.2) ธ.ก.ส. ขอขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรสําหรับภาคอื่น ๆ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563 และกรณีเกษตรกรขึ้นทะเบียนมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดให้สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และให้ ธ.ก.ส. นำค่าบริหารจัดการที่เกิดขึ้นจริงจากการจ่ายเงินดังกล่าวไปรวมกับการขอจัดสรรงบประมาณประจำปีของโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63
2.2 โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
1) วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
2) กลุ่มเป้าหมาย : เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับ กสก. จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท
3) ระยะเวลาโครงการ: ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
4) วิธีดำเนินโครงการ : กสก. นำข้อมูลรายชื่อเกษตรกรที่ผ่านการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับ กสก. ส่งให้ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ เพื่อดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกร โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาล เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
5) งบประมาณ : วงเงินงบประมาณรวม 26,458.89 ล้านบาท แบ่งเป็น
5.1) วงเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวจำนวน 25,793.02 ล้านบาท โดยรัฐบาลใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สำรองจ่ายก่อน โดยจะจัดสรรงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือนของ ธ.ก.ส. +1ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.40 ต่อปี
5.2) ค่าชดเชยต้นทุนเงินตามข้อ 5.1) เป็นเงิน 643.03 ล้านบาท
5.3) ค่าบริหารจัดการข้อมูลการโอนเงินครัวเรือนละ 5 บาท คิดเป็นเงิน 22.84 ล้านบาท
ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และปีถัด ๆ ไป เพื่อรัฐบาลชำระคืนต้นเงินและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
19. เรื่อง รายงานผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้า
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้าในการเพิ่มการใช้ยางพาราของแต่ละกระทรวงตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอดังนี้
สาระสำคัญ
รัฐบาลได้มีมาตรการการเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศ โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ เป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อลดผลกระทบปัจจัยที่ส่งผลต่อราคายางพาราในประเทศ โดยมีผลความคืบหน้าการใช้ยางพารา ดังนี้
1. ปีงบประมาณ 2562 มีเป้าหมายการใช้ยางทั้งหมด 167,261.608 ตัน โดยมีผลการใช้น้ำยางสด 129,291.11 ตัน คิดเป็นร้อยละ 77.30 ของเป้าหมายทั้งหมด ตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจำแนกเป็นรายกระทรวง ดังนี้
(1) กระทรวงคมนาคม มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 33,957.68 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จำนวน 34,353.26 ตัน สำหรับทำถนนและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย (จราจร) คิดเป็นร้อยละ 101.16 ของเป้าหมาย
(2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 33,658.02 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จำนวน 18,008.62 ตัน สำหรับทำถนน คิดเป็นร้อยละ 53.50 ของเป้าหมาย
(3) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 15.228 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการทำถนน แต่ยังไม่มีการใช้ยางตามเป้าหมาย
(4) กระทรวงกลาโหม มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 42,098.47 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จำนวน 1,759.54 ตัน สำหรับทำถนน ปืนจำลอง รองเท้า และที่นอน คิดเป็นร้อยละ 4.18 ของเป้าหมาย
(5) กระทรวงมหาดไทย มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 51,926.26 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จำนวน 65,370.90 ตัน สำหรับทำถนน สนามเด็กเล่น และลานอเนกประสงค์ คิดเป็นร้อยละ 125.59 ของเป้าหมาย
(6) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 184.50 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการทำลู่วิ่ง และลานกีฬา แต่ยังไม่มีการใช้ยางตามเป้าหมาย
(7) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 15.483 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จำนวน 0.20 ตัน สำหรับทำที่นอน หมอน ยางรถยนต์ ถุงมือ และรองเท้า คิดเป็นร้อยละ 1.29 ของเป้าหมาย
(8) กระทรวงยุติธรรม มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 2,251.20 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง 2,251.20 ตัน สำหรับทำที่นอน คิดเป็นร้อยละ 100.00 ของเป้าหมาย
(9) กระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 2,988.767 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จำนวน 7,539.14 ตัน สำหรับทำที่นอน หมอน และถุงมือ คิดเป็นร้อยละ 252.25 ของเป้าหมาย
(10) กรุงเทพมหานคร มีเป้าหมายการใช้ยาง จำนวน 166 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จำนวน 8.25 ตัน สำหรับทำถนน และงานอำนวยความปลอดภัย คิดเป็นร้อยละ 4.97 ของเป้าหมาย
2. ปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีเป้าหมายการใช้น้ำยางสด 90,356.440 ตัน โดยจำแนกเป็นรายกระทรวง ดังนี้
(1) กระทรวงคมนาคม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 52,368.04 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการทำถนน และงานอำนวยความปลอดภัย
(2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 6,176.00 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการทำถนน ฝาย งานปูพื้นคอกปศุสัตว์ และโครงการส่งเสริมการใช้งานในหน่วยงานภาครัฐ
(3) กระทรวงกลาโหม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 982.70 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการทำยางนอก ปืนจำลอง รองเท้าทรงสูง และหล่อยาง
(4) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 1.16 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการทำรองเท้าบูท ถุงมือ หมอน ที่นอน และยางรถยนต์
(5) กระทรวงยุติธรรม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 1,113.96 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการทำ
ที่นอน และพื้นสนาม
(6) กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 29,714.58 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการทำหมอน ที่นอน ถุงมือ สายยาง ถุงยางอนามัย และหุ่น
20. เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอและอนุมัติให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป
ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าข้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10)
ด้วยคณะกรรมการค่าจ้างได้มีการประชุมศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และมีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อใช้บังคับแก่นายจ้างและลูกจ้างทุกคน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 79 (3) และมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 คณะกรรมการค่าจ้างจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 9) ลงวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561
ข้อ 2 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบหกบาท ในท้องที่จังหวัดชลบุรีและภูเก็ต
ข้อ 3 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดระยอง
ข้อ 4 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบเอ็ดบาท ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
ข้อ 5 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบบาท ในท้องที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ข้อ 6 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
ข้อ 7 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบสี่บาท ในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี
ข้อ 8 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบสามบาท ในท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม
ข้อ 9 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบบาท ในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ พะเยา ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี และอุตรดิตถ์
ข้อ 10 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยสิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดกำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลำปาง ลำพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อุทัยธานี และอำนาจเจริญ
ข้อ 11 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยสิบสามบาท ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา
ข้อ 12 เพื่อประโยชน์ตามข้อ 2 ถึงข้อ 11 คำว่า “วัน” หมายถึง เวลาทำงานปกติของลูกจ้าง ซึ่งไม่เกินชั่วโมงทำงานดังต่อไปนี้ แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานน้อยกว่าเวลาทำงานปกติเพียงใดก็ตาม
(1) เจ็ดชั่วโมง สำหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
(2) แปดชั่วโมง สำหรับงานอื่นซึ่งไม่ใช่งานตาม (1)
ข้อ 13 ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นเงินแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
ข้อ 14 ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2563 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2562
ต่างประเทศ
21. เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (The Government of the United Arab Emirates : UAE) ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจ ลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว และให้ กต. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามมารถดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ เป็นการดำเนินการเกี่ยวกับการอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (กรณีคนชาติไทย) และผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ (กรณีคนชาติ UAE) เดินทางเข้า ออก และแวะผ่านดินแดนของแต่ละฝ่ายโดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและค่าธรรมเนียม โดยให้พำนักอยู่ในดินแดนของ UAE หรือราชอาณาจักรไทยเป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาใน UAE หรือราชอาณาจักรไทย
การให้สิทธิประโยชน์ความตกลงฯ มีดังนี้
1. ให้คู่ภาคีทั้งสองฝ่ายอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทาง (ฝ่าย UAE ที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษของ UAE ที่มีอายุใช้ได้ และคนชาติของราชอาณาจักรไทยที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการของราชอาณาจักรไทยที่มีอายุใช้ได้) เดินทางเข้า ออก และแวะผ่าน ดินแดนของแต่ละฝ่าย โดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและค่าธรรมเนียม
2. ให้ UAE อนุญาตให้คนชาติไทยที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการพำนักอยู่ในดินแดนของ UAE เป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาใน UAE
3. ให้ไทยอนุญาตให้คนชาติของ UAE ที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษพำนักอยู่ในดินแดนของราชอาณาจักรไทยเป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ ความตกลงนี้มีผลใช้บังคับ 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งผ่านช่องทางการทูตเป็นลายลักษณ์อักษรและมีผลใช้บังคับโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกความตกลงให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต
22. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี 2561 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยและร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี 2561 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) ประจำประเทศไทย [Memorandum of Understanding (MOU) on the Cooperation on Projects of the Mekong – Lancang Cooperation (MLC) Special Fund 2018]และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง [MOU between Ministry of Agriculture and Cooperatives and Mekong Institute (MI)] รวมทั้งอนุมัติให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนฯ และอนุมัติให้อธิบดีกรมการข้าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันฯ ทั้งนี้ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว (ตามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 เรื่องการจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อ 4.8) ด้วย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
สาระสำคัญของร่างบันทึกทั้ง 2 ฉบับ
1. ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้างฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากฝ่ายจีนให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนอย่างสูงสุด โดยหลักการมุ่งบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่งคั่งต่อประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง โดยเคารพกฎหมายและกฎระเบียบของทั้งจีนและไทย และร่วมกันติดตามประเมินโครงการและการใช้กองทุน
ทั้งนี้โครงการที่ได้รับสนับสนุนงบประมาณ ได้แก่ (1) โครงการการพัฒนาของศูนย์เฝ้าระวัง พยากรณ์ และเตือนภัยของการผลิตข้าวอย่างยั่งยืนภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในอนุภูมิภาคแม่โขง – ล้านช้าง งบประมาณ 3.50 ล้านหยวน (ประมาณ 15.05 ล้านบาท) (2) โครงการการพัฒนาและการดำเนินการด้านมาตรการผลิตข้าวร่วมกันภายในอนุภูมิภาคฯ งบประมาณ 2.97 ล้านหยวน (ประมาณ 12.77 ล้านบาท) (3) โครงการส่งเสริมระบบบูรณาการเกษตรแบบยั่งยืนในกลุ่มประเทศล้านช้าง – แม่โขง งบประมาณ 0.37 ล้านหยวน (ประมาณ 1.59 ล้านบาท) (4) โครงการการขยายและพัฒนาความร่วมมือทางการค้าเมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ งบประมาณ 0.95 ล้านหยวน (ประมาณ 4.08 ล้านบาท) และ (5) โครงการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงอาหารสำหรับเกษตรรายย่อย งบประมาณ 0.75 ล้านหยวน (ประมาณ 3.22 ล้านบาท)
2. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินความร่วมมือในการสนับสนุนเวทีการผลิตข้าว การพัฒนาเทคโนโลยี และศักยภาพองค์กรและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยมีสาขาความร่วมมือ เช่น การฝึกอบรมร่วม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนาและการประชุม การดำเนินการโครงการวิจัยร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนบุคลากร มีระยะเวลาเริ่ม 5 ปี นับจากวันบังคับใช้ และจะขยายระยะเวลาอัตโนมัติทุก ๆ 5 ปี
23. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือสำหรับโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ( สทนช.) นำเสนอ สทนช.กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สทนช.สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตามที่ สทนช .เสนอ
สาระสำคัญ
กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งเรื่องที่สาธารณรัฐประชาชนจีน (กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง) อนุมัติโครงการการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ำข้ามพรหมแดน ด้านอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสาย- น้ำรวก ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยประสงค์ให้ สทนช.ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการวิจัยร่วมฯ ที่ได้รับการอนุมัติดังกล่าวลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยในโอกาสแรก เพื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือกองทุนฯ จะได้ส่งมอบเงินงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการการวิจัยร่วมฯ จำนวน 2.45 ล้านหยวน (ประมาณ 10 ล้านบาท) ได้แก่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจะได้ดำเนินโครงการฯ ต่อไปโดยเริ่มดำเนินการภายในเดือนธันวาคม 2562
โครงการวิจัยร่วม ฯ มีระยะเวลา 1 ปี ( พ.ศ. 2562-2563 หรือ ค.ศ. 2019-2020 ) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันระหว่างประเทศไทย – สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รวมถึงหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการกักเก็บน้ำในฤดูแล้งและระบายน้ำในแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก โดยมีการดำเนินการ เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามในพื้นที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย เพื่อจัดทำแบบจำลองสำหรับใช้ประเมินด้านน้ำท่วมและน้ำแล้ง เพื่อการบริการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนของทั้งสองประเทศ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางด้านเทคนิค และสร้างองค์ความรู้ด้านเทคนิคและวิชาการให้แก่เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย
24. เรื่อง การให้ความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) สำหรับการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง- ล้านช้าง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) สำหรับการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้างช้าง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สทนช. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ตามที่สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เสนอ
เอกสารผลลัพธ์ของการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2562 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญดังนี้
1. รับทราบความคืบหน้าของความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ฯ เช่น ความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำแม่โขง-ล้านช้างระยะ 5 ปี พ.ศ. 2561-2565 การจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เป็นต้น
2. รับทราบความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำของประเทศสมาชิก เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การป้องกันอุทกภัย และผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. สิ่งที่ต้องดำเนินงานต่อไป เช่น ร่วมกันนำผลการประชุมระดับผู้นำไปปฏิบัติ สนับสนุนความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำแม่โขง-ล้านช้าง ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2561-2565 ร่วมกันเสริมสร้างศักยภาพของประเทศสมาชิกในการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยและเพิ่มความร่วมมือด้านการแบ่งปันข้อมูล เป็นต้น
25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ เอเชีย – ยุโรป ครั้งที่ 14 และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14ตามที่กระทรวงต่างประเทศเสนอ
สาระสำคัญร่างแถลงประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่14 เป็นการแสดงความมุ่งมั่นของสมาชิกการประชุมเอเชีย-ยุโรป ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่สมาชิกให้ความสำคัญ ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
1. บทนำ กล่าวถึงบทบาทของการประชุมเอเชีย-ยุโรป ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศแบบพหุภาคีและการค้าระหว่างประเทศที่มีพื้นฐานบนระเบียบกฎเกณฑ์ความร่วมมือตามหลักการของสหประชาชาติและองค์กรการค้าโลก ความเท่าเทียมทางเพศ ตลอดจนประเด็นระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี ในรัฐยะไข่ และอิหร่าน เป็นต้น
2. ด้านความมั่นคง กล่าวถึงประเด็นความร่วมมือด้านการต่อต้านก่อการร้ายความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลและความมั่นคงทางไซเบอร์
3. ประเด็นสำคัญของโลก กล่าวถึงความร่วมมือในการดำเนินการเพื่อบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแก้ไขปัญหาขยะทะเล
4. ความเชื่อมโยงอย่างยั่งยืน กล่าวถึงการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างเอเชียกับยุโรปในด้านต่างๆทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง พลังงาน ดิจิทัล และการติดต่อในระดับประชาชน
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดการจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14 ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2562 โดยจะมีการออกแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14 เพื่อเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุม
26. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9 และมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการจัดการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) และการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา (JHC) ต่อไป ทั้งนี้ หากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Joint Coordinating Committee for the Comprehensive Development of the Dawei Special Economic Zone and its Related Projects Areas: JCC)
สาระสำคัญของผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562
ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยที่ประชุมมีมติรับทราบ 5 ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) ผลการประชุมคณะกรรมการ JCC ครั้งที่ 8 2) ความคืบหน้าในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก 3) ความคืบหน้าโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา 4) แผนการเริ่มพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะสมบูรณ์ควบคู่ไปกับโครงการทวายระยะแรกฯ และ 5) แผนการจ่ายไฟฟ้าในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของเมียนมา รวมถึงเห็นชอบให้ศึกษาบทบาทและโครงสร้างปัจจุบันของ SVP นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดประชุม JCC ครั้งที่ 10 ในปี 2563 ณ ประเทศไทย และหารือการจัดการประชุม JHC ในโอกาสต่อไป
27. เรื่อง ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ว่าด้วย การกำหนดปริมาณโควตารายประเทศสำหรับการนำเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกำหนดปริมาณโควตารายประเทศสำหรับการนำเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี และเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกำหนดปริมาณโควตารายประเทศสำหรับการนำเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำร่างความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ถอนคำคัดค้านของไทยต่อการเปลี่ยนระบบการนำเข้าข้าวและผลิตภัณฑ์ของสาธารณรัฐเกาหลีภายหลังจากที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกำหนดปริมาณโควตารายประเทศสำหรับการนำเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการกำหนดปริมาณโควตารายประเทศสำหรับการนำเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
สาระสำคัญของร่าง AGREEMENT BETWEEN THE GOVERNMENTS OF AUSTRALIA, THE PEOPLES’S REPUBLIC OF CHINA, THE REPUBLIC OF KOREA, THE KINGDOM OF THAILAND, THE UNITED STATES OF AMERICA, AND THE SOCIALIST REPUBLIC OF VIET NAM มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. โควตาภาษีสินค้าข้าวของสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้องค์การการค้าโลก ปริมาณรวมทั้งสิ้น 408,700 ตัน จะถูกนำไปจัดสรรปริมาณ เป็น 1) โควตารายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย 15,595 ตัน สาธารณรัฐประชาชนจีน 157,195 ตัน ไทย 28,494 ตัน สหรัฐอเมริกา 132,304 ตัน และเวียดนาม 55,112 ตัน และ 2) โควตาทั่วไปสำหรับสมาชิกองค์การการค้าโลกทุกประเทศ ประมาณ 20,000 ตัน
2. สาธารณรัฐเกาหลีจะสนับสนุนให้การประมูลการนำเข้าข้าวภายใต้โควตารายประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในการประมูลข้าวของสาธารณรัฐเกาหลีจะสงวนสิทธิ์ในการประมูลใหม่ หากราคาที่ยื่นเสนอในการประมูลมีราคาสูงอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อเปรียบเทียบกับราคาข้าวในตลาดโลกสำหรับชนิดและคุณภาพของข้าวที่เทียบเคียงกันได้ ทั้งนี้ หากไม่สามารถหาข้อสรุปการประมูลภายใต้โควตารายประเทศได้ภายใน 3 ครั้ง หน่วยงานที่มีหน้าที่บริหารจัดการการประมูลอาจนำโควตารายประเทศนั้นมาเปิดการประมูลใหม่ภายโควตาทั่วไปซึ่งจะเป็นโควตารายปี
3. ภาคีทั้ง 5 ประเทศภายใต้ร่างข้อตกลงนี้ อาจขอหารือกับสาธารณรัฐเกาหลีเกี่ยวกับโควตาภาษีสินค้าข้าวได้ โดยให้มีการหารือภายใน 30 วันหลังจากมีการยื่นคำขอ หรือโดยเร็วที่สุดหลังครบกำหนดเวลา 30 วันดังกล่าว ในกรณีที่มีเหตุล่าช้าซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
4. ในปีที่ 10 หลังจากความตกลงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สาธารณรัฐเกาหลีอาจทบทวนปริมาณการจัดสรรโควตารายประเทศตามที่ระบุไว้ในความตกลงนี้ โดยพิจารณาจากความต้องการในประเทศและสถานการณ์การค้าข้าวโลก อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐเกาหลีจะไม่ปรับปริมาณโควตารายประเทศ หากภาคีทั้ง 5 ไม่ยินยอม
28. เรื่อง ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบัลแกเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบัลแกเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ และอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายบัลแกเรีย เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ นอกเหนือจากที่ปรากฏ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ความตกลงฯ อนุญาตให้บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษที่มีอายุใช้ได้ เดินทางเข้า พำนัก และออกจากดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่ต้องรับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งของ 180 วัน โดยมีเงื่อนไขว่า บุคคลเหล่านั้นจะไม่ทำงาน ไม่ว่าการทำงานนั้นจะเป็นการดำเนินกิจการของตนเอง หรือกิจกรรมส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่าย ตามข้อ 1 สามารถเดินทางเข้า แวะผ่าน หรือเดินทางออกจากดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง ณ ด่านใด ๆ ซึ่งเปิดสำหรับการสัญจรของผู้โดยสารระหว่างประเทศ และจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อเดินทางเข้าและพำนักในดินแดนของคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
3. ความตกลงฯ จะไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการปฏิเสธการเข้าเมือง หรือการลดหรือยกเลิกระยะเวลาการพำนักของคนชาติของภาคีฝ่ายหนึ่งตามกฎหมายภายในประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศ
4. ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจระงับการบังคับใช้ความตกลงฯ ทั้งหมดหรือเฉพาะส่วนเป็นการชั่วคราวด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของสาธารณะหรือการสาธารณสุข โดยจะต้องแจ้งเหตุผลของการระงับใช้ให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบผ่านช่องทางการทูตในโอกาสแรกก่อนที่การระงับใช้จะมีผลใช้บังคับ การยกเลิกการระงับใช้ จะต้องแจ้งให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งทราบผ่านช่องทางการทูตในโอกาสแรกก่อนการใช้บังคับของการยกเลิกการระงับใช้ดังกล่าว
5. ความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 60 นับจากวันที่คู่ภาคีได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายผ่านช่องทางการทูตว่าคู่ภาคีได้แจ้งอีกฝ่ายหนึ่งแล้วถึงการปฏิบัติตามขั้นตอนภายในที่จำเป็นของตนสำหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ และความตกลงฯ ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการบอกเลิกความตกลงนี้ ภาคีฝ่ายนั้นจะต้องแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต ความตกลงฯ จะสิ้นสุดการมีผลใช้บังคับในวันที่ 30 นับจากวันที่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งได้รับการแจ้งดังกล่าว
29. เรื่อง ร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ทั้งนี้หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงยุติธรรมหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ฉบับดังกล่าว มีทั้งสิ้น จำนวน 7 วรรค โดยแต่ละวรรคมีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
วรรค 1 วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่น – ไทย ในการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ ข้อมูล และองค์ความรู้ทางด้านกฎหมาย
วรรค 2 ขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ ด้านระบบและการดำเนินงานในการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ด้านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ด้านการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาบุคลากรในการบริหารงานยุติธรรม การบริหารข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบกระบวนการยุติธรรม และด้านอื่น ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกัน
วรรค 3 กิจกรรมความร่วมมือ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญและการปฏิบัติที่เป็นเลิศ การจัดการอบรม สัมมนาและการฝึกอบรม รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎหมาย
วรรค 4 กรอบความร่วมมือซึ่งกำหนดให้สอดคล้องกับภารกิจ อำนาจหน้าที่และกรอบกฎหมายของหน่วยงานของทั้งสองฝ่ายและเป็นไปตามข้อจำกัดด้านงบประมาณ กำลังคน ทั้งนี้ จะไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันด้านงบประมาณใด ๆ แก่ทั้งสองฝ่าย
วรรค 5 หน่วยงานผู้ประสานงานของทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายไทย คือ กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และฝ่ายญี่ปุ่น คือ กองการต่างประเทศ สำนักเลขาธิการรัฐมนตรี
วรรค 6 การแก้ไข ซึ่งกำหนดให้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ฉบับนี้ อาจมีแก้ไขได้เมื่อได้ตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร
วรรค 7 การเริ่มต้นและสิ้นสุดของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ โดยให้เริ่มในวันที่มีการลงนามและสิ้นสุดภายใน 90 วัน หลังจากฝ่ายหนึ่งได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร
30. เรื่อง การจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ และหนังสือแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือความตกลงฯ และหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว และอนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ มีพันธกรณีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. การให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการประชุม และการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์โดยปลอดภาษีอากรสำหรับการประชุมตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. 2504 และพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 เป็นกฎหมายอนุวัติการรับรองอยู่แล้ว
2. สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (สธท.) และสำนักงาน UNODC จะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ ได้มีการแบ่งความรับผิดชอบในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
3. ร่างความตกลงฯ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ฝ่ายไทยมีหนังสือตอบโดยให้ถือว่าการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างกันเพียงอย่างเดียว ก็มีผลให้เกิดเป็นความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างรัฐบาลไทยและสำนักงาน UNODC โดยไม่ต้องมีการลงนามในหนังสือสองฝ่าย
4. การให้การสนับสนุนงบประมาณแก่สำนักงาน UNODC สำหรับการจัดกิจกรรมดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้น 152,000 เหรียญสหรัฐ (หนึ่งแสนห้าหมื่นสองพันเหรียญสหรัฐ) และงบประมาณการดำเนินการในส่วนอื่น ๆ ที่ สธท. เป็นผู้รับผิดชอบ จะเบิกจ่ายงบประมาณ สธท. ประจำปี พ.ศ. 2562 ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วสำหรับโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การอนุวัติมาตรฐานและบรรทัดฐานของสหประชาชาติด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา
31. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
สาระสำคัญของกรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส มีหลักการสำคัญ ได้แก่
1. ประเทศคู่ภาคีจะยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศซึ่งออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ของคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
2. การใช้ใบอนุญาตขับรถภายในประเทศภายใต้ร่างความตกลงฯ ทั้งสองฉบับจะเป็นการใช้แบบชั่วคราว
3. ใบอนุญาตขับรถภายในประเทศภายใต้ความตกลงฯ จะต้องมีภาษาอังกฤษกำกับโดยใช้แนวทางของหลักการตามที่กำหนดไว้ในความตกลงว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศที่ออกโดยประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดกับกฎระเบียบภายในประเทศของไทยที่มีอยู่ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
แต่งตั้ง
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ตำแหน่งว่างเนื่องจากผู้ครองตำแหน่งเดิมเกษียณอายุราชการ ดังนี้
1. นายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ รองอธิบดีกรมสรรพากร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร
2. นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ รองอธิบดีกรมสรรพากร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางวิมล สุวรรณเกษาวงษ์ ผู้อำนวยการกองแผนงานและวิชาการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นางสาวอุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
2. นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
3. นายอัมพร พินะสา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายสมพล โนดไธสง รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายสุระ เพชรพิรุณ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ดำรงตำแหน่ง
ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ รวม 6 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ประธานกรรมการ
2. นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายดุสิต เครืองาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายธวัช ชิตตระการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นางศศิวิมล มีอำพล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
37. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ รวม 7 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นายพีรเดช ทองอำไพ ประธานกรรมการ
2. นายชูกิจ ลิมปิจำนงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายธรรมศักดิ์ สัมพันธ์สันติกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายพินิติ รตะนานุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายมนูญ สรรค์คุณากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นายรัตติกร ยิ้มนิรัญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7. นายเรืองศักดิ์ ทรงสถาพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
38. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ดังนี้
1. นายปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
2. พลเอก มโน นุชเกษม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. พันตำรวจเอก ญาณพล ยั่งยืน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมศาสตร์
4. นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
5. นายวิเชฐ ตันติวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน
6. นายบดินทร์ ทรัพย์สมบูรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข
7. รองศาสตราจารย์ ปณิธาน วัฒนายากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
39. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร จำนวน 7 คน ดังนี้
1. นายอัครา พรหมเผ่า เป็นกรรมการ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร)
2. นายศุภฤกษ์ เอี่ยมลออ เป็นกรรมการ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร)
3. นายมงคล ลีลาธรรม เป็นกรรมการ
4. นายสมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา เป็นกรรมการ
5. นายธนา ธรรมวิหาร เป็นกรรมการ
6. พลตำรวจโท ภานุรัตน์ หลักบุญ เป็นกรรมการ
7. พันตำรวจเอก อธิศวิส กมลรัตน์ เป็นกรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี