เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ที่รัฐสภา นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้เสนอญัตติขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้อภิปรายสนับสนุนญัตติดังกล่าว ว่า การเสนอญัตติในครั้งนี้ด้วยเหตุผลก็คือ 1.เป็นเงื่อนไข ของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาล ของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา และเป็นนโยบายเร่งด่วนข้อที่ 13 ของรัฐบาลชุดนี้ด้วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันให้สำเร็จโดยเร็วเพราะเป็นนโยบายเร่งด่วน ซึ่งจะต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งปี ถือว่าเป็นสัญญาประชาคมที่ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
2.เป็นจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญปี 60 โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น ได้ประกาศอย่างชัดเจนด้วยเหตุผล3ประการ คือ 1.เรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นการยกร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่แต่งตั้งโดย คสช.ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน 2.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้แก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแท้จริง เป็นเพียงการสร้างวาทะกรรมหลอกลวงภาพลวงตา ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง การทุจริตก็ยังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด และเปิดโอกาสให้มีการทุจริตเพิ่มมากขึ้นโดยการยกเลิกกระบวนการการถอดถอนผู้กระทำผิดคงเหลือแต่กลไกของ ปปช.และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น รวมถึงการเพิ่มเงื่อนไขให้มีการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วัน
3.ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา 250 คน มาจากการแต่งตั้งของ คสช.และมีข้าราชการประจำที่มีตำแหน่ง ผบ.เหล่าทัพ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฝ่ายการเมือง สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีและควบคุมการทำงานของคณะรัฐมนตรีได้ คำสั่ง คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้ง ส.ว.250 คน และ ส.ว.250 คน โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "ผลัดกันเกาหลัง"
ในญัตตินี้ พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพียงมาตราเดียว เพราะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราอื่นๆ ได้ ซึ่งในมาตรา 256 ได้มีการวางเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยากมากจนไม่สามารถแก้ไขได้ โดยมีการวางล็อกไว้ 3 ชั้น คือ ล็อคที่ 1 ต้องให้ ส.ว.จำนวนหนึ่งในสาม หรือ 84 คน เห็นชอบลงคะแนนสนับสนุนในวาระที่หนึ่ง และวาระที่สามด้วย ล็อคที่ 2 มีศาลรัฐธรรมนูญ คอยพิจารณาตีความความถูกต้องของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเสร็จแล้ว ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับเดิมหรือไม่ ล็อคที่ 3 เรื่องการลงประชามติ ซึ่งต้องออก พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ และต้องทำประชามติสอบถามประชามติ ว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งรายละเอียดของหมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เป็นไปได้ยากมากนอกจากการปฏิวัติรัฐประหารเท่านั้น
การอ้างเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการทำประชามติจากคนไทยทั้งประเทศและมีผู้เห็นชอบจำนวน 16,820,402คน หรือ 61.35% และไม่เห็นด้วย 10,598,037 คน หรือ 38.65% ซึ่งในจำนวนผู้เห็นด้วยนั้นน่าจะมาจาก 2 ส่วน คือ กลุ่มคนที่เห็นด้วยกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างแท้จริง กับกลุ่มคนที่อยากเลือกตั้ง เพราะกลัวว่ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ จะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป ส่วนกรณีที่มีผู้ไม่เห็นด้วยจำนวน 38.65% เป็นการทำประชามติในสถานการณ์การเมืองที่มีการปกครองโดยรัฐบาล คสช.มีมาตรา 44 บังคับใช้ บางพื้นที่ มีกฎอัยการศึก และยังมีกระบวนการขัดขวางการรณรงค์ของกลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทุกรูปแบบ
อยากจะตั้งข้อสังเกตเรื่องสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ อยู่ที่ประเด็นการเข้าสู่อำนาจรัฐ โดยการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะต้อง ศึกษาแก้ไขใน 2 ส่วนนี้ คือ การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว และการเลือกตั้งแบบ จัดสรรปันส่วนผสม ซึ่งเป็นระบบที่ส่งเสริมให้มีการซื้อเสียงมากที่สุด ซื้อหนึ่งได้สาม หรือที่เรียกว่า ทรี อิน วัน คือได้ ส.ส.ระบบเขต , ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกฯ ด้วย
เพราะฉะนั้นเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาเพื่อศึกษาปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่บังคับใช้มาแล้วเป็นเวลา 2 ปีเศษ พบว่ามีข้อบกพร่องจำนวนมากต้องหาหนทางปรับปรุงแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี