วันนี้ (28 มกราคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559
2. แก้ไขเพิ่มเติมคำนิยามคำว่า “ประโยชน์ในครัวเรือน” และ “เมล็ดพันธุ์” ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
3. กำหนดเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการขออนุญาต “ผลิต” “จำหน่าย” “มีไว้ในครอบครอง” และ “นำเข้า ส่งออก” เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ในการศึกษา วิเคราะห์วิจัย ทางการแพทย์ เภสัชกรรม วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และเพื่อนำเข้า ส่งออกในเชิงพาณิชย์ เป็นต้น
4. กำหนดวิธีดำเนินการเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกเฉพาะคราว โดยต้องได้รับใบอนุญาตเฉพาะคราวทุกครั้งที่นำเข้าหรือส่งออก โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้
5. กำหนดข้อยกเว้นให้ผู้อนุญาตไม่ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ในกรณีเพื่อประโยชน์ของทางราชการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด หรือความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับยาเสพติด
6. แก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาล ดังนี้
6.1 กำหนดให้การขออนุญาตผลิต จำหน่าย ครอบครอง หรือส่งออกกัญชง (Hemp) จะต้องดำเนินการภายในระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เพื่อเป็นการส่งเสริมการปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจและการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์กัญชงในประเทศไทย ป้องกันการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปและวัตถุดิบจากต่างประเทศ
6.2 กำหนดให้หนังสือสำคัญแสดงการอนุญาตนำเข้า ผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ที่ออกตามกฎหมายเดิม ให้ถือว่าเป็นใบอนุญาตตามกฎกระทรวงนี้และให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าหนังสือสำคัญนั้นจะสิ้นอายุ
6.3 กำหนดให้บรรดาคำขอรับหนังสือสำคัญและคำขอรับใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการอนุญาตตามกฎหมายเดิม ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของผู้อนุญาต ให้ถือว่าเป็นคำขอรับใบอนุญาตหรือคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลม
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การแก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วนราชการตำรวจภูธรภาค 1 – 9 ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
จัดตั้งกองบังคับการกฎหมายและคดี เป็นส่วนราชการระดับกองบังคับการ สังกัดตำรวจภูธรภาค 1 – 9 โดยมีหน่วยงานภายในประกอบด้วย ฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายกฎหมายคดีปกครองและคดีแพ่ง และกลุ่มงานตรวจสอบสำนวนคดี โดยมีอำนาจหน้าที่ เช่น พิจารณาตรวจร่างกฎหมาย ให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่สมาชิกรัฐสภาหรือส่วนราชการต่าง ๆ เสนอ พิจารณาตรวจร่างสัญญาดำเนินการเกี่ยวกับงานคดีที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตำรวจภูธรภาค พิจารณาหารือปัญหาข้อกฎหมาย เสนอแนะปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
คค. เสนอว่า
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการก่อสร้างของเมียนมา ได้ร่วมลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการบริหาร การบำรุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ซึ่งสาระสำคัญของความตกลงดังกล่าวเป็นการกำหนดแนวทางพื้นฐานทางกฎหมายที่จำเป็นเพื่อการบริหาร บำรุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 โดยมีการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของสะพาน เขตแดน การบริหารและบำรุงรักษา การจัดตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อปรึกษาหารือและตกลงวิธีการบริหาร การบำรุงรักษา และการใช้สะพาน การจัดตั้งหน่วยบำรุงรักษาสะพาน การกำหนดอัตราค่าผ่านสะพาน และการปรับปรุงระเบียบการผ่านแดน
2. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาฯ ในข้อ 1. นั้น ได้กำหนดให้คณะกรรมาธิการบริหารบำรุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ที่จัดตั้งขึ้น ร่วมกันกำหนดอัตราค่าผ่านสะพาน โดยจะเก็บเพียงครั้งเดียวเมื่อยานพาหนะข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ตามอัตราที่กำหนดไว้สำหรับยานพาหนะแต่ละประเภทและอาจจะเปลี่ยนได้เมื่อมีความจำเป็น โดยได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากคณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่าย ซึ่งคณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่ายได้มีการประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ณ กระทรวงการก่อสร้างสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยคณะกรรมาธิการทั้งสองฝ่ายร่วมกันกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมผ่านสะพานและการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านสะพาน และมีมติเห็นชอบร่วมกันในการเปิดใช้สะพานฯ ในวันที่ 30 ตุลาคม 2562 และสรุปผลการพิจารณากำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและการยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ ดังนี้
2.1 กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานตามประเภทของยานยนตร์และตามอัตราดังต่อไปนี้
ลำดับที่ |
ประเภทยานยนตร์ ที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียม |
อัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานต่อหนึ่งครั้ง |
1 |
รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง |
50.00 บาท |
2 |
รถโดยสารขนาดเล็กไม่เกิน 7 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง |
100.00 บาท |
3 |
รถโดยสารขนาดกลางเกิน 12 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 24 ที่นั่ง |
150.00 บาท |
4 |
รถโดยสารขนาดใหญ่เกิน 24 ที่นั่ง |
200.00 บาท |
5 |
รถบรรทุก 4 ล้อ |
50.00 บาท |
6 |
รถบรรทุก 6 ล้อ |
250.00 บาท |
7 |
รถบรรทุก 10 ล้อ |
350.00 บาท |
8 |
รถบรรทุกเกิน 10 ล้อ |
500.00 บาท |
2.2 กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ยานยนตร์ ดังต่อไปนี้
1) รถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศที่มีความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาให้เดินรถผ่านสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2
2) รถยนต์รับจ้างขนส่งผู้โดยสารที่เดินรถให้บริการอยู่ภายในบริเวณระหว่างด่านพรมแดนราชอาณาจักรไทยและด่านพรมแดนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
3) รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของราชอาณาจักรไทย จำนวนไม่เกิน 50 คัน และรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวนไม่เกิน 50 คัน ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ของทั้งสองประเทศได้กำหนดรูปแบบของบัตรยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ร่วมกัน
3. ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมาธิการบริหาร บำรุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 กรมทางหลวง คค. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. …. ขึ้น ซึ่งกรมทางหลวงได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเผยแพร่ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของกรมทางหลวงเป็นเวลาติดต่อกัน 15 วัน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 แล้ว ปรากฏว่าไม่มีผู้ไม่เห็นด้วยและไม่มีผู้ใดแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงฯ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม้น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ต่อจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 130 เป็นสะพานที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพาน
2. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานตามประเภทของยานยนตร์
3. กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ยานยนตร์
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง โดยกำหนดค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง ตามประเภทของยานยนตร์
2. กำหนดให้มีการปรับอัตราค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นทุก 5 ปี
3. กำหนดให้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่อธิบดีกรมทางหลวงประกาศกำหนดเป็นต้นไป
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกำหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกำหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ขอขึ้นทะเบียน หรือนิติบุคคลผู้ขออนุญาตที่ประสงค์จะให้บริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
2. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขึ้นทะเบียน หรือการขออนุญาตในการให้บริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน รวมทั้งกำหนดให้ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนและใบอนุญาตมีอายุ 3 ปี นับแต่วันที่ออกใบสำคัญหรือใบอนุญาตแล้วแต่กรณี
3. กำหนดวิธีการและระยะเวลาในการขอต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาต ตลอดจนการออกใบแทน ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาตกรณีที่ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาตสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ
4. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการให้บริการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการตรวจและรับรอง การประเมินความเสี่ยง การจัดฝึกอบรมหรือการให้คำปรึกษา ตลอดจนกำหนดให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดค่าบริการในการให้บริการของผู้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนหรือผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแต่ละประเภท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการให้บริการ
5. กำหนดให้ผู้อำนวยการกองความปลอดภัยแรงงานมีอำนาจเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียน และอธิบดีมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต ตลอดจนกำหนดสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนหรือพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต
6. กำหนดค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนหรือขอใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การออกใบแทนใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบสำคัญการต่ออายุนิติบุคคล ใบสำคัญการต่ออายุการขึ้นทะเบียนบุคคล อาทิ ใบอนุญาตนิติบุคคลให้บริการฯ ฉบับละ 20,000 บาท ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนบุคคลผู้ให้บริการฯ ฉบับละ 5,000 บาท รวมทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่นิติบุคคลที่เป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือบุคคล หรือนิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตหรือหลักฐานรับรองในลักษณะเดียวกันตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินค่าทำศพ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินค่าทำศพ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
รง. เสนอว่า
1. ได้มีกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินค่าทำศพ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นการกำหนดให้จ่ายเงินค่าทำศพในกรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย โดยมิใช่ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน โดยให้จ่ายเงินค่าทำศพเป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท ให้แก่บุคคล ซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้จัดการศพและได้เป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน หรือสามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน หรือบุคคลอื่นซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน
2. ผู้ประกันตนตามกฎกระทรวงในข้อ 1. นั้น ได้แก่ ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 และผู้เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไป ตามมาตรา 39 ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
3. รง. พิจารณาแล้วเห็นว่า อัตราเงินค่าทำศพตามกฎกระทรวงในข้อ 1. ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป สมควรปรับปรุงอัตราเงินค่าทำศพ จาก 40,000 บาท เป็น 50,000 บาท
4. คณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2562 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนเงินค่าทำศพดังกล่าวแล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินค่าทำศพ พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับเพิ่มอัตราเงินค่าทำศพที่จ่ายให้แก่ผู้จัดการศพของผู้ประกันตนตามมาตรา 73 (1) ในกรณีที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ถึงแก่ความตายโดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน จากเดิมอัตรา 40,000 บาท เป็น 50,000 บาท
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จำนวน 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จำนวน 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม |
รายละเอียดและเหตุผล |
หมายเหตุ |
1. ให้รัฐมนตรี อก. มีอำนาจในการออกประกาศตามกฎกระทรวง |
- กำหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอำนาจในการออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาตให้โรงงานสามารถระบายน้ำทิ้งโดยวิธีการเจือจางได้ - กำหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอำนาจออกประกาศกำหนดค่ามาตรฐานของปริมาณสารเจือปนในอากาศเสียที่ระบายออกจากโรงงาน และการควบคุมสารเคมีหรือสารมลพิษ |
แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 14 และเพิ่มข้อ 16 จัตวาของกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 |
2. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม |
รายละเอียดและเหตุผล |
หมายเหตุ |
1. ให้รัฐมนตรี อก. มีอำนาจในการออกประกาศตามกฎกระทรวง |
- กำหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอำนาจในการออกประกาศประเภทโรงงานที่มีสารเคมีหรือสารมลพิษต้องจัดทำรายงานข้อมูลปริมาณการผลิต การใช้ การครอบครอง การปลดปล่อย การเคลื่อนย้ายสารเคมีหรือสารมลพิษออกนอกโรงงาน |
เพิ่มข้อ 7 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 |
8. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. …. ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ห้ามมิให้โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานนำชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือเศษ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า) ที่มีส่วนประกอบ ซึ่งได้แก่ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่อื่น ๆ สวิตช์ที่มีปรอทเป็นองค์ประกอบในการทำงาน เศษแก้วจากหลอดรังสีแคโทด และแอกติเวเต็ดกลาส อื่นๆ ตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีสารพีซีบี หรือที่ปนเปื้อนด้วยแคดเมียม ปรอท ตะกั่ว โพลีคลอริเนทเต็ดไบฟีนิล ตามบัญชี 5.2 ลำดับที่ 2.18 ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 ออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 รวมถึงที่ปนเปื้อนสารอันตรายตามที่ อก. กำหนดที่นำเข้าจากต่างประเทศ มาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงาน
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. เป็นการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 เป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน อันเป็นการสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสำหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ที่ อก. เสนอ เป็นการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 เป็นการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่วไป ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานถังก๊าซและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนแผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 450/750 โวลต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. 11 เล่ม 101 – 2559 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5093 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สายไฟฟ้าทองแดงมีเปลือกพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่วไป ประกาศ ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5501 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5093 (พ.ศ. 2561) ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือก สำหรับงานทั่วไป ประกาศ ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสำหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 2060 – 2560 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5077 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าคาร์บอนรีดร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นหนา และแผ่นบาง สำหรับงานถังก๊าซ และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานถังก๊าซ ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5498 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5077 (พ.ศ. 2561) ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าคาร์บอนรีดร้อนแผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นหนา และแผ่นบาง สำหรับงานถังก๊าซ และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้า ทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานถังก๊าซ ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 50 – 2561 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5188 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5520 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5188 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก
11. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขการจัดลำดับให้หน่วยงานเป็นหน่วยงานราชการให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงเพื่อให้สอดคล้องกับกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 โดยกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) และสำนักงานศาลปกครอง (ศป.) เป็นหน่วยงานราชการตามกฎกระทรวงฯ โดยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490
12. เรื่อง การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
โดยที่ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น จะมีระยะเวลาดำเนินการค่อนข้างจำกัด ประกอบกับเป็นเรื่องที่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ วันที่ 25 สิงหาคม 2554 มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นอนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่อง และการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวดำเนินไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
เศรษฐกิจ - สังคม
13. เรื่อง มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานตามที่ระบุ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน 1 ฉบับ
3. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) จำนวน 1 ฉบับ
4. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2562 ไปพลางก่อน และปีต่อ ๆ ไป จำนวน 350.67 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (มาตรการสินเชื่อฯ) ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ
สำหรับภาระงบประมาณในการดำเนินการตามมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สนับสนุนสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษและเงื่อนไขผ่อนปรน และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้แก่ ธสน. ภายในกรอบวงเงิน 350.67 ล้านบาท นั้น เห็นสมควรให้ ธสน. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญ
เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยตลอดปี 2562 เผชิญกับความไม่แน่นอนจากภายนอกประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจประสบสภาวะชะลอตัวและอาจส่งผลกระทบการลงทุนในปี 2563 กระทรวงการคลังจึงเห็นสมควรเสนอมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ
1) วัตถุประสงค์ : ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในปี 2563
2) กลุ่มเป้าหมาย : บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
3) ระยะเวลาดำเนินงาน : สำหรับรายจ่ายที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
4) วิธีดำเนินงาน : ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรได้ร้อยละ 250 หรือ 2.5 เท่า ของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่รวมถึงกรณีที่เป็นธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งและลงทุนในเครื่องจักรเพื่อให้เช่าเครื่องจักรนั้นแบบลีสซิ่ง โดยให้หักรายจ่ายร้อยละ 100 แรก หรือ 1 เท่าแรกของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง เป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนด และทยอยหักรายจ่ายส่วนเพิ่มเป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
ทั้งนี้ การใช้สิทธิประโยชน์สามารถดำเนินการได้โดยการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน 1 ฉบับ
5) สูญเสียรายได้ : คาดว่าจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 6,600 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี
อนึ่ง ในส่วนของการหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในอาคาร กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมในการให้สิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้
2. มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร
1) วัตถุประสงค์ : เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
2) กลุ่มเป้าหมาย : ผู้ประกอบการ
3) ระยะเวลาดำเนินงาน : การนำเข้าเครื่องจักรตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลังมีผลบังคับใช้ – 31 ธันวาคม 2563
4) วิธีดำเนินงาน : ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร 146 ประเภทย่อย โดยการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) จำนวน 1 ฉบับ
5) สูญเสียรายได้ : คาดว่าจะสูญเสียรายได้อากรขาเข้าประมาณ 2,000 ล้านบาท
3. มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (มาตรการสินเชื่อฯ)
1) วัตถุประสงค์ : เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน โดยเฉพาะผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) รวมถึงผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อการพัฒนาประเทศ เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและเพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่ Industry 4.0 และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน
2) กลุ่มเป้าหมาย : ผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และผู้นำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อพัฒนาประเทศ
3) ระยะเวลาดำเนินงาน : ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ หรือตามที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กำหนด และกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเมื่อ ธสน. ให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของมาตรการ ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563
4) สิทธิประโยชน์ : อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี)
- ปีที่ 1-2 : ร้อยละ 2
- ปีที่ 3-5 : Prime Rate – ร้อยละ 2
- ปีที่ 6-7 : Prime Rate
ณ วันที่ 22 มกราคม 2563 Prime Rate = ร้อยละ 6
5) งบประมาณ : รัฐบาลชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้แก่ ธสน. เป็นจำนวนทั้งสิ้น 350.67 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธสน. ทำความตกลงในการเบิกจ่ายงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป
4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
มาตรการดังกล่าวจะส่งผลก่อให้เกิดการลงทุนกว่า 110,000 ล้านบาท สนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.25 นอกจากนี้ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรตามมาตรการนี้ ในระยะสั้น จะส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศได้รับความคุ้มครองลดลง ต้องแข่งขันกับของที่นำเข้ามากขึ้น แต่เมื่อสิ้นสุดมาตรการแล้วจะได้รับความคุ้มครองเท่าเดิม และจะมีประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
14. เรื่อง ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการนโยบายฯ) เสนอดังนี้
1. อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และวงเงินงบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี 2556) ดังนี้
1.1 อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ส่วนตะวันตก และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาทั้งเส้นทาง ตั้งแต่ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) รวมทั้งค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ โดยมีระยะเวลาเดินรถ 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออก เป็นต้นไป เอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงิน (Subsidy) แก่เอกชนในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถและงานเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาของโครงการฯ
1.2 อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการฯ ส่วนตะวันตก ในกรอบวงเงิน 14,661 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริง ทั้งนี้ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 อย่างเคร่งครัด โดยกำหนดราคาเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ถ้ามี) ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและราคาตลาดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนอย่างแท้จริง รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันการแสวงหากำไรจากราคาที่ดินเกินจริงเพื่อไม่ให้เกิดภาระค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย
1.3 อนุมัติกรอบวงเงินสนับสนุนให้เอกชนตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินค่างานโยธาของโครงการฯ ส่วนตะวันตก จำนวน 96,012 ล้านบาท ตามที่ รฟม. ได้ดำเนินการทบทวนโดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัด และผ่านการพิจารณาจากกระทรวงคมนาคม (คค.) แล้วเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2562 โดยรัฐทยอยชำระคืนให้เอกชนหลังจากเปิดเดินรถทั้งเส้นทางแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี กำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า 10 ปี พร้อมดอกเบี้ย โดยใช้อัตราส่วนลดหรืออัตราดอกเบี้ยตามความเห็นของ สงป. ทั้งนี้ ในกรณีที่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เห็นควรให้ รฟม. พิจารณาแนวทางในการดำเนินการอย่างรอบด้านตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่อไป
2. รับทราบหลักการขอบเขตและเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ตามมติคณะกรรมการ รฟม. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 และความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561
3. มอบหมายให้ รฟม. คค. และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562) ของโครงการฯ รับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
สาระสำคัญของเรื่อง
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพมหานครระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ซึ่งอยู่ภายใต้แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (Mass Rapid Transit Master Plan in Bangkok Metropolitan Region : M-MAP) โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาของส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ไปแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 สำหรับในครั้งนี้เป็นการขออนุมัติการดำเนินงานก่อสร้างงานโยธาของฝั่งตะวันตกและการบริหารจัดการการเดินรถและซ่อมบำรุงของรถไฟฟ้าสายสีส้มทั้งระบบ ทั้งนี้ ภาพรวมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) สามารถสรุปได้ ดังนี้
1.1 ภาพรวมโครงการฯ
หัวข้อ |
สายสีส้มทั้งระบบ |
ส่วนตะวันออก |
ส่วนตะวันตก |
ระยะทาง |
35.9 กม. (ใต้ดิน 27 กม. + ยกระดับ 8.9 กม.) |
22.5 กม. (ใต้ดิน 13.6 กม. + ยกระดับ 8.9 กม.) |
13.4 กม. (ใต้ดินตลอดสาย) |
สถานี |
28 สถานี (21 สถานีใต้ดิน + 7 สถานียกระดับ) |
17 สถานี (10 สถานีใต้ดิน + 7 สถานียกระดับ) |
11 สถานี (ใต้ดินตลอดสาย) |
ระบบไฟฟ้า |
Heavy Rail Transit System (4 ตู้/ขบวน ในปีที่เปิด) |
||
ผู้โดยสาร |
439,736 คน/เที่ยว/วัน (ปี 69) |
121,599 คน/เที่ยว/วัน (ปี 66) |
439,736 คน/เที่ยว/วัน (ปี 69) |
ผลตอบแทน ด้านเศรษฐกิจ* |
EIRR = ร้อยละ 19.06 (NPV = 107,564 ล้านบาท) |
EIRR = ร้อยละ 13.96 (NPV = 15,185 ล้านบาท) |
EIRR = ร้อยละ 19.45 (NPV = 67,640 ล้านบาท) |
ผลตอบแทน ด้านการเงิน* |
FIRR = ร้อยละ 0.40 (NVP = -107,556 ล้านบาท) |
FIRR = ร้อยละ – 5.87 (NVP = - 95,234 ล้านบาท) |
FIRR = ร้อยละ 0.00 (NVP = - 60,714 ล้านบาท) |
การจัดทำ รายงาน EIA |
จัดทำรายงาน EIA 2 เล่ม (ส่วนตะวันออกและ ส่วนตะวันตก) |
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบแล้ว |
อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขตามความเห็นของ คชก. |
การจัด กรรมสิทธิ์ที่ดิน |
พื้นที่รวม 1,099 แปลง รวม 553 หลัง |
พื้นที่รวม 594 แปลง รวม 222 หลัง |
พื้นที่รวม 505 แปลง (41 ไร่ 1 งาน 96 ตร.ว.) รวม 331 หลัง |
มูลค่ารวม 24,286 ล้านบาท |
มูลค่า 9,625 ล้านบาท |
มูลค่า 14,661 ล้านบาท |
|
เปิดบริการ |
เต็มรูปแบบ ปี 2569 |
ปี 2566 |
ปี 2569 |
ที่มา : รฟม.
หมายเหตุ: * มาจากผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเศรษฐกิจและการเงินระยะเวลา 30 ปี ที่อัตราคิดลด ร้อยละ 12 และร้อยละ 5 ตามลำดับ บนสมมติฐาน MRT Assessment Standardization (ยังไม่รวมกรณีจำกัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่ 12 สถานี) ทั้งนี้ กรณีจำกัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่ 12 สถานี IRR ของทั้งโครงการฯ คือ ร้อยละ 0.40 (NPV = - 107,556 ล้านบาท) ในขณะที่ EIRR คือ ร้อยละ – 2.26 (NPV = 107,564 ล้านบาท)
1.2 มูลค่าโครงการฯ
รายการ |
ส่วนตะวันออก |
ส่วนตะวันตก |
รวม |
การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน/ค่าจ้างสำรวจอสังหาริมทรัพย์ |
9,625 ล้านบาท (เงินงบประมาณ) |
14,661 ล้านบาท (เงินงบประมาณ) |
24,286 ล้านบาท |
การก่อสร้างงานโยธา/ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานโยธา |
82,907 ล้านบาท (เงินกู้ภายในประเทศ) |
96,012 ล้านบาท* (เงินงบประมาณ) |
178,919 ล้านบาท |
งานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาทั้งโครงการ/ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ |
32,116 ล้านบาท (เงินลงทุนจากภาคเอกชน) |
32,116 ล้านบาท |
|
รวม |
235,321 ล้านบาท |
1.3 รูปแบบการลงทุนโครงการฯ
รายการ |
รูปแบบการลงทุน |
|
ส่วนตะวันออก |
ส่วนตะวันตก |
|
การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน |
- รัฐเป็นผู้รับผิดชอบจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับโครงการฯ ทั้งส่วนตะวันตกและตะวันออก |
PPP Net Cost โดยแบ่งการร่วมทุน ดังนี้ - ภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ส่วนตะวันตก
- ภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก โดยภาครัฐจะทยอยจ่ายคืนหลังเปิดให้บริการเดินรถ เป็นระยะเวลาไม่ต่ำว่า 10 ปี (อัตราคิดลดร้อยละ 5) |
การก่อสร้างงานโยธา |
- ให้ กค. จัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ สงป. พิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณให้เป็นรายได้แก่ รฟม. ให้เพียงพอต่อการดำเนินการ การบริหารงาน การลงทุน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และการชำระหนี้แก่แหล่งเงินกู้ทั้งในส่วนของเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง |
|
งานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหาร การเดินรถ และซ่อมบำรุงรักษาทั้งโครงการ |
- ภาคเอกชนลงทุนค่างานระบบไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาทั้งเส้นทาง ระยะเวลาเดินรถ 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออก เป็นต้นไป และเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงิน (Subsidy) แก่เอกชนในส่วนงานนี้ |
1.4 การเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ
สถานีโครงการฯ |
โครงการรถไฟฟ้า |
หน่วยงาน |
สถานีเชื่อมต่อ |
ปีเปิดให้บริการ |
1. บางขุนนนท์ |
สายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช |
รฟท. |
บางขุนนนท์ |
2565 |
สายสีน้ำเงิน |
รฟม. |
2563 |
||
2. ศิริราช |
สายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช |
รฟท. |
ศิริราช |
2565 |
3. อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย |
สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) |
รฟม. |
ผ่านฟ้า |
2569 |
4. ยมราช |
สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง |
รฟท. |
ยมราช |
2567 |
5. ราชเทวี |
สายสีเขียวอ่อน ช่วงหมอชิต-แบริ่ง |
กทม. |
ราชเทวี |
เปิดให้บริการแล้ว |
6. ราชปรารภ |
สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก |
รฟท. |
ราชปรารภ |
2567 |
แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ |
รฟท. |
เปิดให้บริการแล้ว |
||
7. ศูนย์วัฒนธรรมฯ |
สายสีน้ำเงิน |
รฟม. |
ศูนย์วัฒนธรรมฯ |
เปิดให้บริการแล้ว |
8. วัดพระราม 9 |
สายสีเทา ช่วงวัชรพล – ทองหล่อ |
- |
พระราม 9 |
อนาคต |
9. ลำสาลี |
สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง สายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี (บึงกุ่ม) |
รฟม. |
ลำสาลี |
2564 2569 |
10. มีนบุรี |
สายสีชมพู |
รฟม. |
มีนบุรี |
2564 |
2. คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนได้ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในรูปแบบ PPP Net Cost มีระยะเวลาเดินรถ 30 ปีนับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออกเป็นต้นไป โดยเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาทั้งเส้นทาง ซึ่งมีมูลค่ารวม 32,116 ล้านบาท รวมทั้งเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงินแก่เอกชนในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถและงานเดินรถและซ่อมบำรุงรักษา
15. เรื่อง การรับรายงานผลการดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการรับรายงานผลการดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. ทำหน้าที่ในการประสานงานเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทำการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบ และการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 มีนาคม 2561 โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่ในการรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งอยู่ในสังกัดหรือกำกับ ประกอบด้วย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน มายังสำนักงาน ป.ป.ท. ตามรูปแบบวิธีการที่สำนักงาน ป.ป.ท. กำหนด
2. สำหรับการมอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. ตรวจสอบ เร่งรัด ติดตามการดำเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในกรณีข้อร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทำการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบฯ นั้น ให้สำนักงาน ป.ป.ท. ดำเนินการตามมาตรการ 51 (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป
ทั้งนี้ ให้ สำนักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
16. เรื่อง มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ และมอบหมายกระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า
1. มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะใช้แนวทางการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากอากาศยานอย่างสมดุลที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้เสนอ ประกอบกับมาตรการการจัดการมลพิษทางอากาศและเสียงจากท่าอากาศยานที่ได้จัดทำในปี 2547 และผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมาเป็นแนวทางการพิจารณา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบิน ด้านผังเมือง ด้านสุขภาพ และท้องถิ่น ใช้เป็นกรอบการดำเนินงานในลักษณะงานบูรณาการร่วมกันในการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ
2. มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะมีเป้าหมาย คือ สนามบินสาธารณะทุกแห่งที่ได้รับความเห็นชอบแผนพัฒนาสนามบิน เพื่อรองรับการเดินทางทางอากาศ มีการดำเนินงานป้องกันปัญหามลพิษทางเสียงที่จะเกิดผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบสนามบินภายในปี 2566 โดยประกอบด้วย 4 มาตรการ ดังนี้
2.1 มาตรการการนำแผนที่เส้นเท่าระดับเสียง ไปใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบิน มี 2 มาตรการย่อย ได้แก่ (1) ให้มีการจัดทำแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาสนามบินในระยะยาว และ (2) การนำแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงไปใช้ในการจัดทำผังเมืองและการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบินทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ โดยสนามบินเก่าที่เป็นสนามบินระดับภาค ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี สนามบินระดับจังหวัด ให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปี
2.2 มาตรการการจัดการผลกระทบด้านเสียงจากอากาศยานและวิธีปฏิบัติการบิน มี 1 มาตรการย่อย ได้แก่ ให้กำหนดวิธีปฏิบัติการบินโดยรอบสนามบินในการจัดการผลกระทบด้านเสียงที่เหมาะสมให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมีกิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงานสำหรับใช้กับทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ เช่น รวบรวมและพัฒนาฐานข้อมูลการปฏิบัติการบินโดยรอบสนามบิน กำหนดวิธีปฏิบัติการบิน วิเคราะห์การปฏิบัติการบินกับพื้นที่อ่อนไหวโดยรอบสนามบิน และให้สนามบินเลือกวิธีปฏิบัติการบินที่เหมาะสม เป็นต้น
2.3 มาตรการการพัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการมลพิษทางเสียงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน มี 4 มาตรการย่อย ได้แก่ (1) ให้ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเสียงอากาศยานและการลดผลกระทบทางเสียงให้ทันสมัยและเหมาะสม (2) ให้พัฒนาระบบการดำเนินงานเพื่อตรวจสอบและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากประชาชนที่รวดเร็วและถูกต้อง (3) ให้มีระบบการตรวจสอบระดับเสียง และ (4) ให้ศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุนการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบิน
2.4 มาตรการการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเผยแพร่ข้อมูลการจัดการเสียงสนามบิน มีกิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงานสำหรับใช้กับทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างความเข้าใจแก่จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนด้านการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบิน และจัดทำหลักเกณฑ์การเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการมลพิษทางเสียงจากสนามบิน เป็นต้น
3. มาตรการการจัดการปัญหามลพิเษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะจัดทำขึ้นโดยคณะทำงานจัดการปัญหามลพิษทางอากาศและเสียงจากสนามบิน ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการควบคุมมลพิษ (โดยมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน) ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุมครั้งที่ 6/2562 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 มีมติเห็นชอบต่อมาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะตามที่ ทส.เสนอ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ กก.วล. ได้มอบหมายให้ คค. กห. มท. และ สธ. นำมาตรการดังกล่าวไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
17. เรื่อง สถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานกิจการยุติธรรม) นำกรอบแนวทางฯ เสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป โดยให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานกิจการยุติธรรม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย โดยดำเนินการให้สอดคล้องเป็นไปตามแผนแม่บทฯ รวมทั้ง การกำหนดกรอบแนวทางดังกล่าวควรคำนึงให้ครอบคลุมถึงมาตรการรองรับการลดจำนวนผู้ต้องขังทั่วประเทศในระยะยาวต่อไป
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดหาเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) เพื่อรองรับการดำเนินการตามแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยคำนึงถึงการจัดหาในปริมาณที่เหมาะสมและจำเป็นต่อการใช้งานจริง ประสิทธิภาพการใช้งานความคุ้มค่า ความเหมาะสมของราคา รวมทั้งความโปร่งใสในการดำเนินการด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงยุติธรรม เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบสถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น 1) สถานการณ์จำนวนผู้ต้องขังในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีผู้อยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ จำนวน 374,052 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2562) รวมถึงผู้ต้องราชทัณฑ์ จำนวน 364,488 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องราชทัณฑ์ที่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด/สารระเหย (288,648 คน) 2) สถานการณ์ความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศเกี่ยวกับพื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังที่เกินความจุที่เรือนจำรองรับผู้ต้องขังได้ (เกินประมาณ 115,698 คน) ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดในเรือนจำสรุปได้ ดังนี้
ขนาดพื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังในเรือนจำ ทั่วประเทศ |
ผู้ต้องขังในปัจจุบัน |
รวมจำนวน 305,312.42 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ต้องขัง จำนวน 254,302 คน |
ประมาณ 374,052 คน (ข้อมูล ณ 1 ตุลาคม 2562) |
ประเด็น : จำนวนผู้ต้องขังในปัจจุบันเกินกว่าความสามารถที่เรือนจำจะรองรับพื้นที่เรือนนอนให้กับผู้ต้องขังได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ |
ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมจึงได้จัดทำแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ ประกอบด้วย 5 กรอบการดำเนินงาน สรุปได้ ดังนี้
กรอบที่ 1 กฎหมาย |
เป็นการพิจารณากฎหมายในเชิงระบบตั้งแต่กระบวนการป้องกันมิให้คนเข้าสู่เรือนจำ การกำหนดมาตรการทางเลือกอื่นแทนการจำคุก การหาสถานที่อื่นแทนการจำคุก การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานเรือนจำเพื่อให้เกิดกระบวนการจำแนกและคัดกรองผู้ต้องขังชั้นดีให้ได้รับการลดโทษ พักโทษ รวมไปถึงมาตรการทางกฎหมายอื่น ๆ เมื่อผู้กระทำความผิดได้พ้นโทษเพื่อให้โอกาสผู้กระทำความผิดได้กลับตัวและไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำ |
กรอบที่ 2 พักโทษ ลดโทษ และการใช้เครื่องมืองติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ |
เป็นกระบวนการลดความแอดอัดในเรือนจำของผู้ต้องขังในประเภทต่าง ๆ ผ่านการปล่อยตัวชั่วคราว (ผู้ต้องขังระหว่าง) การคุมประพฤติ (รอการลงโทษ หรือรอการกำหนดโทษ) และการพักการลงโทษทั้งแบบปกติและแบบเหตุพิเศษ |
กรอบที่ 3 อาชีพ และการสร้างเรือนจำรูปแบบใหม่ |
เป็นการกำหนดแนวทางการสร้างอาชีพ รวมไปถึงการสร้างเรือนจำรูปแบบใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย การฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับความถนัดของผู้ต้องขัง และความต้องการของผู้ประกอบการ หรือตลาดแรงงาน เพื่อให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษได้เตรียมพร้อมทั้งในด้านสภาพจิตใจและการฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับความถนัดก่อนออกจากเรือนจำ รวมไปถึงการปรับปรุงสภาพเรือนนอนเพื่อลดความแออัดในเรือนจำในเบื้องต้น |
กรอบที่ 4 การบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด |
ปรับปรุงและบูรณาการการดำเนินการเพื่อบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพทั้งในระบบสมัครใจ ระบบบังคับบำบัดและระบบต้องโทษ ปรับปรุงระยะเวลาการตรวจพิสูจน์กำหนดสถานที่หรือมาตรการควบคุมตัวเพื่อรอตรวจพิสูจน์ ระบบติดตามและประเมินผล รวมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบหลักและที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาหลักสูตรบำบัดรักษา การเพิ่มโอกาสแก่ผู้เสพในการเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู |
กรอบที่ 5 การป้องกันยาเสพติด |
ขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันยาเสพติด โดยการสนับสนุนการป้องกันยาเสพติดระดับชุมชน/หมู่บ้าน การจัดทำโครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน / ชุมชน เป็นเป้าหมายระยะแรก |
ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า เรื่องที่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อการแก้ไขปัญหาข้างต้น จำนวน 2 เรื่อง ดังนี้
1) การปรับปรุงเพิ่มพื้นที่นอนในห้องขังทั่วประเทศให้เป็น 2 ชั้น จำนวน 94 แห่ง (รวม 1,906 ห้อง คิดเป็นพื้นที่ที่จะปรับปรุง 103,731.50 ตารางเมตร ซึ่งสามารถรองรับการใช้พื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังได้ จำนวน 86,442 คน) เพื่อบรรเทาความแออัดในระยะเริ่มแรก
2) การจัดหาเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) จำนวน 30,000 เครื่อง เพื่อรองรับการคุมประพฤติและการพักการลงโทษ
และเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมเห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ ในการประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562 ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว
18. เรื่อง ขอความเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการจากจำนวน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจำนวน 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ในเบื้องต้นเฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง และจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และให้ถือว่าเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า
1. พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้มีการจัดประชุมสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับภูมิภาคประจำปี พ.ศ. 2562 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการระดับจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ และเครือข่ายคนพิการทั่วประเทศ พบว่า มีการเสนอแนวทางความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มเบี้ยความพิการในอัตราที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความจำเป็นของคนพิการแต่ละบุคคลเพื่อเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานให้คนพิการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐมากยิ่งขึ้น นอกจากข้อเสนอจากการจัดสมัชชาคนพิการดังกล่าวแล้วพบว่า คนพิการจำนวนมากได้มีข้อเสนอและข้อร้องเรียนไปยัง Web Portal ระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้รัฐบาลมีการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นในอัตราที่เหมาะสม
2. ต่อมา พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาแนวทางการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการโดยพบว่า การปรับเพิ่มเบี้ยความพิการจากปัจจุบัน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน มีความสอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน เพราะจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคนพิการได้ และไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายทางการคลังเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นของคนพิการที่ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 91.84) มีความต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นในอัตรา 1,000 บาทขึ้นไป ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในปัจจุบันพบว่า คนพิการส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีฐานะยากจน โดยมีรายได้เฉลี่ยเพียงเดือนละ 4,326.52 บาท ถือว่าเป็นผู้ที่มีรายได้น้อยและไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต นอกจากนี้คนพิการส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาและความยากลำบากในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและจำเป็นของคนพิการในทุกประเภทความพิการ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการของประเทศไทยให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่จำเป็นของคนพิการและส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3. ปัจจุบันคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการมีจำนวน 2.02 ล้านคน (ข้อมูลจากฐานทะเบียนกลาง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2562) ซึ่งการจ่ายสวัสดิการเบี้ยความพิการให้แก่คนพิการดังกล่าว หน่วยงานที่รับผิดชอบจะเป็นผู้จัดทำคำขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่ปรับอัตราเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือนในครั้งนี้ จะทำให้มีส่วนต่างจำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน (1,000 – 800) จึงทำให้ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น จำนวน 4,852.90 ล้านบาท ดังนี้
จำนวนคนพิการ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ (ล้านคน) |
อัตราเบี้ยความพิการ (บาทต่อคนต่อเดือน) |
วงเงินงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม/ปี (ล้านบาท) |
||
เดิม |
ปรับเพิ่ม |
ส่วนต่าง |
||
2.02 |
800 |
1,000 |
200 |
4,852.90 จำนวนผู้พิการ × เงินเบี้ยความพิการที่เพิ่มขึ้น × 12 เดือน 2.02 ล้านคน × 200 บาท × 12 เดือน |
4. ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการดังกล่าวแล้ว
ต่างประเทศ
19. เรื่อง การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหาร (Council of Administration: CA) และสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ (Postal Operations Council: POC) ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal Postal Union: UPU) สมัยที่ 27 โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการขอเสียงและแลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของ UPU ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก CA และ POC ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอ
สาระสำคัญ
ที่ประชุมใหญ่ของ UPU จะจัดขึ้นทุก 4 ปี เพื่อกำหนดนโยบายด้านกิจการไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ปรับปรุงแก้ไขพิธีสารต่าง ๆ และเลือกตั้งผู้บริหารของ UPU ตลอดจนเลือกตั้งสมาชิก CA และ POC ซึ่งจะมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี โดย UPU มีกำหนดจัดการประชุมใหญ่ สมัยที่ 27 ระหว่างวันที่ 10 – 28 สิงหาคม 2563 ณ กรุงอาบีจาน สาธารณรัฐโกตดิวัวร์ โดยที่ UPU กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ประเทศสมาชิกสามารถเป็นสมาชิก CA ติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 สมัย โดยจะต้องละเว้นการสมัคร 1 สมัย ซึ่งประเทศไทยได้ละเว้นการสมัครในสมัยที่ผ่านมาแล้ว ส่วนการสมัคร POC นั้นไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าว ดังนั้น ประเทศไทยจึงสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในสภาทั้ง 2 ในครั้งนี้ได้ โดยการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก CA และ POC จะเป็นการผลักดันการพัฒนากิจการไปรษณีย์ของไทยให้มีความทันสมัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีประสิทธิภาพได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของ UPU อีกทั้งยังเสริมสร้างบทบาทของไทยเวทีโลก
20. เรื่อง การขอเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงสาธารณรัฐคาซัคสถาน
คณะรัฐมนตรีรับทราบการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของสาธารณรัฐคาซัคสถานจากกรุงอัสตานา (Astana) เป็นกรุงนูร์-ซุลตัน (Nur-Sultan) และการดำเนินการที่จำเป็นในส่วนของ กต. เพื่อเปลี่ยนชื่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา เป็นสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนูร์-ซุลตัน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของสาธารณรัฐคาซัคสถานตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
นายคาซีม-โยมาร์ต โตคาเยฟ (Kassym-Jomart Tokayev) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน เสนอให้ใช้ชื่อ นูร์-ซุลตัน เป็นชื่อเมืองหลวงแทนอัสตานาเพื่อให้คนรุ่นใหม่จดจำชื่อของนาย Nursultan Nazarbayev ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐคาซัคสถาน ซึ่งได้ประกอบคุณงามความดีนานัปการให้แก่สาธารณรัฐคาซัคสถานในช่วงระยะเวลาที่ปกครองประเทศ ซึ่งสาธารณรัฐคาซัคสถานได้แก้ไขรัฐธรรมนูญรับรองการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากกรุงอัสตานาเป็นกรุงนูร์-ซุลตัน โดยมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ลงประกาศเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563
แต่งตั้ง
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจำรัส รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายโวสิต วรทรัพย์ รองอธิบดีกรมพิธีการทูต ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายชูรินทร์ ขวัญทอง รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายอนันต์ ดนตรี รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายธนสุนทร สว่างสาลี รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ พูลวงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายพิริยะ เข็มพล เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) แทนนายกำจร ตติยกวี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 จำนวน 5 คน ดังนี้
1. นางวิพรรณ ประจวบเหมาะ
2. นายอภิชัย จันทรเสน
3. นายวรเวศม์ สุวรรณระดา
4. นางสุวณี รักธรรม
5. นางศศิพัฒน์ ยอดเพชร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
27. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 4 คน ดังนี้
1. นายชวลิต พิชาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง
2. นางสาววิมล ชาตะมีนา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน
3. นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าในประเทศ/ต่างประเทศ และการบริหาร
4. นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าในประเทศ/สารนิเทศ และการบริหาร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และให้กระทรวงพลังงานดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งต่อๆ ไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
28. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ จำนวน 3 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. นายถวัลย์ วรรณกิจมงคล
2. นางสาวบุหงา โพธิ์พัฒนชัย
3. นางพอตา ยิ้มไตรพร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ จำนวน 9 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. ศาสตราจารย์นันทวัฒน์ บรมานันท์
2. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์
3. พลตำรวจโท สมชาย พัชรอินโต
4. พันตำรวจโท เธียรรัตน์ วิเชียรสรรค์
5. นายภพ เอครพานิช
6. นางเบญจวรรณ สร่างนิทร
7. หม่อมราชวงศ์พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์
8. นายจตุพร บุรุษพัฒน์
9. นายมานะ นิมิตรมงคล
(ลำดับที่ 1. – 8. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ลำดับที่ 9. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
30. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง จำนวน 5 คน ดังนี้
คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
1. รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จำนวน 3 คน เป็นกรรมการ
1.1 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม)
1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน)
1.3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา)
2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จำนวน 2 คน
2.1 นายกฤษฎา บุญราช
2.2 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี