เรื่องเดิม : สื่อมวลชนรายงานข่าวเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ศกนี้ว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการภาครัฐและเอกชน (มีผู้เข้าร่วม 500 คน) เพื่อแก้ไขและรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอและแนวทางการบริหารจัดการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เสนอต่อนายกรัฐมนตรี นายพิพัฒน์ฯ เปิดเผยว่า “ทันทีที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ยุติลง จะผลักดันมาตรการยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนกับอินเดีย ซึ่งต้องให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนทุบโต๊ะตัดสินใจ เพราะก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศยังค้านอยู่ ขนาดญี่ปุ่นยังไม่กลัว มีการยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนแล้ว เราจะไปกลัวอะไร”
ผู้เขียนติดตามข่าวการประชุมซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ด้วยความสนใจ แต่รู้สึกผิดหวังและเศร้าใจ เพราะเหตุผลต่าง ๆ และขอเรียนข้อสังเกตดังนี้
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ผู้เป็นรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา ดูเหมือนว่ารู้เพียงเรื่องเดียว คือ “ยกเว้นวีซ่าให้แก่จีนและอินเดีย” โดยเสนอเรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปีกลาย ตั้งใจจะเสนออีกเมื่อสิ้นมกราคม ศกนี้ และนี่ก็ประกาศว่าจะเสนออีกหลังไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ผ่านพ้นไป เขาคงมิได้อ่านข่าวสถานการณ์ของโรคนี้ในโลกใบนี้ จึงไม่ทราบว่า โรคระบาดนี้เป็นความห่วงกังวลขององค์การอนามัยโลกและประเทศจำนวนมาก
โรคปอดอักเสบชนิดนี้อุบัติขึ้นกับประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกคือจีน ซึ่งมีประชากรถึง 1.4 พันล้านคน ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีกลาย แต่ไม่ประกาศเตือนภัยในทันที ประเทศรอง ๆ ลงไปคืออินเดีย มีมาตรฐานครองชีพต่ำ ยากจนและกินอยู่แออัด ประชากรมากถึง 1.2 พันล้านคน ก็พึงระมัดระวังเช่นกัน แม้นว่าทางการจีนพยายามควบคุมพื้นที่ระบาดมิให้กระจายออกไปจากเมืองอู่ฮั่น แต่ก็ยังห่วงว่า หากคุมมิได้ หรือมีการแพร่กระจายออกไป ประเทศอื่น ๆ จะทำอย่างไร การป้องกันละรักษาโรคนี้จะกระทำได้อย่างสัมฤทธิผลได้หรือไม่และเมื่อใด และหลังจากนั้นการเดินทางไปมาหาสู่อย่างปลอดภัยจะกระทำได้เมื่อใด
มีสุภาษิตอยู่ว่า ถ้าจีนไอจาม ประเทศอื่น ๆ ก็จะเป็นหวัดตามมา บัดนี้ เรามีโรคระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นตัวอย่างของจริง จีนมีประชากรมาก ประเทศต่าง ๆ จึงอยากจะต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนไปเยือนและใช้จ่ายในประเทศตน ปีหนึ่ง ๆ คนจีนเดินทางไปต่างประเทศประมาณ 175 ล้านคน เศรษฐกิจโลกประสบสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมาหลายปี ทุกคนจึงหันมาพึ่งพาธุรกิจการท่องเที่ยว คนจีนก็เดินทางน้อยลงสืบเนื่องจากสาเหตุนี้และปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เมื่อปีที่ผ่าน ๆ มา ครั้นคนจีนทั้งประเทศมิได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศยกเว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นราย ๆ ไป อุปสงค์จึงขาดหายไป มีเหลือแต่อุปทาน ลำบากไปทุกประเทศ
สภาวการณ์ของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้ ส่งผลให้ประเทศจำนวนมากหันมาตรวจสอบทบทวนมาตรการป้องกันโรค การเข้าออกประเทศ การให้วีซ่าและการให้เข้าประเทศ การเดินทางของยานพาหนะพร้อมผู้โดยสารจำนวนมากๆ กรณีสุดโต่งในหลาย ๆ แห่งคือ ไม่สามารถไปไหนมาไหนในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีน บุคคลสัญชาติจีน ทั้งที่เมืองอู่ฮั่นและเมืองอื่น ๆ บัดนี้ หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ความห่วงกังวลเรื่องการระบาดทั้งที่เป็นจริงและที่วิตกกังวลเกินเหตุอันควรน่ากลัวกว่าโรคระบาดที่แท้จริง กระทบต่อวิถีชีวิตและกำหนดการของกิจกรรมที่วางไว้จากในอดีต ในประเทศต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกลจากจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศ ให้ถูกงดหรือถูกโยกย้ายไปจัดในที่แห่งใหม่ เป็นต้น
ขอย้อนหลังสักนิดว่า ขณะเกิดโรคระบาดช่วงต้น ๆ บรรดาประเทศต่าง ๆ มีท่าทีและมาตรการต่อสถานการณ์การระบาดในจีนแตกต่างกัน หลัก ๆ คือ เข้มงวดเรื่องการเดินทางเข้าออกกับต่างประเทศ กับจีน และประเทศที่มีข่าวว่ามีการติดเชื้อโรค องค์การอนามัยโลกประกาศสถานการณ์สาธารณสุขฉุกเฉิน จีนเองดูจะดำเนินมาตรการที่เข้มแข็งเข้มงวดกว่าที่คาดหมายเนื่องเพราะเป็นประเทศต้นเหตุ ทางการสั่งการให้ระงับการจัดกิจกรรมช่วงตรุษจีน การเดินทางไปต่างประเทศ การเดินทางออกนอกเมืองที่เป็นปัญหา การพำนักอาศัยในที่พักเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ การระดมทรัพยากรกำลังพลทั้งมวลเพื่อร่วมกันแก้ไขควบคุมปัญหาในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ล่าสุด ก็มีการระดมแพทย์พยาบาลชาวจีนจากภายนอกประเทศกลับไปช่วยเหลือมาตุภูมิ
ประเทศจำนวนหนึ่งมีประกาศเตือนภัยเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศ ให้หลีกเลี่ยงมิให้ไปจีนหรือบริเวณที่มีปัญหา หรือประกาศห้ามบุคคลสัญชาติจีนหรือสัญชาติอื่น ๆ ที่เดินทางไปพำนักอาศัยหรือเดินทางผ่านจีนเข้าประเทศเป็นการชั่วคราว การนี้มิใช่เพราะเขาเหล่านั้นไม่รักคนจีนเกลียดชังคนจีนและไปซ้ำเติม แต่เป็นปฎิกริยาที่ต้องเข้าอกเข้าใจเพราะเขาต้องนึกถึงประชาชนของตนเองเป็นสำคัญ แต่ประเทศไทยอาจจะมีท่าทีที่ค่อนข้างเห็นอกเห็นใจจีนมากกว่าประเทศอื่น ๆ หลายคนคงจำได้ถึงถ้อยคำที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 31 มกราคม ศกนี้ จากการแถลงของโฆษกรัฐบาล ที่ว่า “นายกรัฐมนตรีได้กำชับว่าในการพิจารณาเรื่องของวีซ่า VOA จะยกเลิกหรืออะไรอย่างไร ขอให้ทำด้วยความรอบคอบ เพราะว่าจีนห้ามคนของเขาเข้ามาเป็นกรุ๊บทัวร์อยู่แล้ว ตรงนั้นก็หายไป 100% ส่วนผู้ที่เดินทางมาแบบไม่ใช่กรุ๊บทัวร์ ทางการจีนก็ขอความร่วมมือไม่ให้ออกเดินทาง ก็หายไปเกิน 50% นายกรัฐมนตรีขอฝากให้พิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ” ซึ่งนี่คือการสรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจภายใต้หัวข้อข่าวเรื่อง “บิ๊กตู่ ตีตก ยกเลิกฟีวีซ่า VOA นักท่องเที่ยวจีน” ดังนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดใหญ่จึงมิได้มีการหารือ 1. เรื่องการขอยกเลิกมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า VOA ซึ่งจะยังมีผลอยู่จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารณสุข เคยเสนอไว้ขณะมีกระแสกดดันจากโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ 2. เรื่องการขอยกเว้นวีซ่าแก่บุคคลสัญชาติจีนและอินเดีย ที่อาจเตรียมการไว้ แต่ต้องพับไปก่อนเพื่อรอเวลา เนื่องจากสวนกระแสข่าวการแพร่เชื้อของโรคไวรัสดังกล่าวในเมืองอู่ฮั่น จีน ณ ช่วงเวลาสัปดาห์ดังกล่าว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประเทศไทยไม่ควรพิจารณายกเว้นวีซ่าแก่บุคคลสัญชาติจีนและอินเดียด้วยเหตุผลสำคัญ ๆ ในมิติด้านต่าง ๆ ดังนี้
การแพร่กระจายของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 และการกลายพันธุ์เป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย
ขณะนี้ โรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ รัฐบาลประเทศจำนวนมากล้วนออกประกาศและมาตรการป้องกัน ควบคุมการเข้าออก ดังนั้น จะเป็นเรื่องแปลกมากที่รัฐบาลไทยจะตัดสินใจมี “โปรโมชั่น” แก่จีนและอินเดีย อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น 1. การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า VOA ที่ช่องทางอนุญาต หรือ 2. ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยวแก่ชาวจีนที่สถานเอกอัครราชทูตสถานกงสุลใหญ่ของไทยในจีน หรือ 3. การยกเว้นวีซ่าจากการประกาศฝ่ายเดียว หรือ 4. การดำเนินการใดอื่น เช่น บรรลุความตกลงยกเว้นวีซ่าสำหรับหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างกัน อนึ่ง ณ ขณะนี้ ยังไม่มียารักษาการระบาดนี้อย่างเป็นผลเด็ดขาด แม้นว่าไทยจะพอใจต่อคำชมเชยที่ว่า ระบบสาธารณสุขของไทยมีมาตรฐานในระดับสากลตามองค์การอนามัยโลก ได้รับการยอมรับ และมีความพร้อมในการควบคุมโรคอันดับ 6 ของโลก การนี้ไม่อาจต้านทานหากมีการระบาดอย่างหนักเข้าสู่หรือภายในประเทศไทยได้ การเปิดหน้าเปิดประเทศประกาศโปรโมชั่นจะโดยวิธีการใด ๆ แม้นภายหลังสถานการณ์ระบาดคลี่คลายลงก็มิใช่การดำเนินการที่เฉลียวฉลาดนัก
จากคำกล่าวของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีการท่องเที่ยวฯ ที่ว่า “...ต้องให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนทุบโต๊ะตัดสินใจ เพราะก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศยังค้านอยู่ ขนาดญี่ปุ่นยังไม่กลัว มีการยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนแล้วเราจะไปกลัวอะไร” ผู้เขียนพบว่าเป็นคำกล่าวที่เหลือเชื่อมาก จึงได้สอบถามตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งข่าวทางการทูตที่กรุงโตเกียว และได้รับแจ้งว่า “รายชื่อประเทศที่ญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่าจากเว็ปไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ไม่มีจีนและอินเดีย แต่อย่างใด” และ “สืบเนื่องจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะนี้ญี่ปุ่นห้ามคนจีนจากมณฑลหูเป่ย (ซึ่งเมืองอู่ฮั่นตั้งอยู่) และเจ้อเจียงเข้าญี่ปุ่น”
จากผลการตรวจสอบ จึงสรุปว่า นายพิพัฒน์ฯ รายงานข้อมูลที่ไม่จริงต่อรัฐบาล สาธารณชน และที่ประชุมซึ่งตนเป็นประธานเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านไป เช่นนี้ จึงทำให้ขาดความน่าเชื่อถือและไว้วางใจที่จะปฏิบัติงานสำคัญได้
การยกเว้นวีซ่ามิใช่ทางออกในการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งตัวอย่างมาก
การเสนอให้ยกเว้นวีซ่าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในอันที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติเพราะเงินสกุลบาทแข็ง ตั้งสมมติฐานอยู่บนความเลื่อนลอย หลงประเด็นและไม่ศึกษาสภาวการณ์ของโลกให้ถ่องแท้ เนื่องจากเหตุผลดังนี้
เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันอยู่ในสภาวะการชะงักงันชะลอตัว ทุกประเทศประสบปัญหานี้เหมือนกัน
สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ส่งผลต่อการผลิตการส่งออกของจีน กระทบต่อบรรยากาศและการประกอบอาชีพ ค่าเงินหยวนอ่อนตัวลงอย่างมาก ไม่เป็นผลดีต่อความพอใจไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ
เงินสกุลบาทของไทยแข็งเกินไปมา 5 ปี นักท่องเที่ยวต้องใช้จ่ายเงินสกุลตนเองมากกว่าที่เคยแลกเพื่อจะใช้จ่ายเท่าเดิม นักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่มาท่องเที่ยวในที่ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแน่นอน จะไปในที่ซึ่งถูกกว่าเพราะสนุกกว่า แม้นยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าที่ช่องทางอนุญาตก็จะไม่ช่วยนักเพราะได้ไม่คุ้มเสีย
ดังนั้น รัฐบาลต้องหาทางแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งก่อนที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยว จึงจะเป็นการเกาถูกที่คัน
การยกเว้นวีซ่าแก่จีนและอินเดียเป็นอันตรายและภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยของไทย
จีนทำความตกลงยกเว้นวีซ่าหรือมีการประกาศยกเว้นวีซ่ากับประเทศต่าง ๆ จำนวน 71 ประเทศ อยู่ในอันดับ 72 ของรายชื่อประเทศที่มีอันดับหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2563 (ส่วนอินเดียไม่ถูกระบุในข่าว ในขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 65 เข้าได้ 78 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า) ซึ่งการจัดอันดับสะท้อนถึงการได้รับการยอมรับในหมู่ประเทศต่าง ๆ เป็นที่น่าสังเกตว่า ญี่ปุ่นยังครองแชมป์ประเทศที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับ 1 เข้าประเทศต่าง ๆ ได้ 191 ประเทศจากเกือบ 200 ประเทศโดยไม่ต้องมีวีซ่า ส่วนชาวฮ่องกงและไต้หวัน เข้าได้ 169 และ 146 ประเทศอยู่ในอันดับ 20 และ 32 ตามลำดับ นับได้ว่าได้รับการยอมรับเหนือจีนแผ่นดินใหญ่อย่างชัดเจน อนึ่ง ในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ไม่มีประเทศใดให้การยกเว้นวีซ่าแก่หนังสือเดินทางธรรมดาของจีนแต่อย่างใด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งข่าวทางการทูตที่กรุงปักกิ่ง
เมื่อปี 2562 มีบุคคลสัญชาติจีนจำนวนประมาณ 11 ล้านคนเดินทางเข้าประเทศไทย ขณะที่คนไทยจำนวนประมาณ 826,000 คน เดินทางไปยังจีน ซึ่งยังต้องขอวีซ่าอยู่จากสถิติปี 2561 การจะขอยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน (หากจะทำ) ถือว่าไม่จำเป็น เพราะเรามีคนเดินทางไปจีนจำนวนไม่คุ้มที่จะมีความตกลงกันเลย
ปัญหาการแพร่เชื่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ทวีความรุนแรงในขอบเขตอย่างรวดเร็วทำให้ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศพบเห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลจีนมีอำนาจเด็ดขาดอย่างยิ่งในการปิดประเทศ ระงับกิจกรรม ระงับการเดินทางเคลื่อนย้ายคนภายในประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ระบาดและระหว่างประเทศ คือ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ โดยระงับหนังสือเดินทางและวีซ่าออกนอกประเทศ การเดินทางกรุ๊บทัวร์ อีกทั้งเข้าควบคุมดำเนินการทางสาธารณสุขอย่างเข้มงวดเด็ดขาดและเป็นผล ซึ่งการนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หากรัฐบาลสั่งการให้เดินหน้าไปยังที่หมายใด ๆ ประชาชนจีนเหล่านั้นจะขัดคำสั่งได้หรือไม่ กล่าวคือ การยกเว้นวีซ่าระหว่างประเทศใดหนึ่งกับจีน (และอินเดีย) ซึ่งมีประชากรในจำนวนมหึมาเช่น 1.4 และ 1.2 พันล้านคนเช่นนี้ หากปราศจากการกลั่นกรองหรือควบคุมที่เป็นผลเช่นที่เคยทำได้เพราะมีการให้วีซ่า ก็จะเปรียบเสมือนการเปิดทำนบกั้นน้ำให้ท่วมประเทศ ซึ่งมิใช่เรื่องเล่น ๆ ที่จะพิจารณาในระดับรัฐบาลด้วยซ้ำไป
ท่าทีของรัฐบาลไทยต่อปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 และรัฐบาลกัมพูชาภายใต้นายฮุนเซน ในช่วงเวลานี้ทำให้ไม่แปลกใจนักว่าทำไมรัฐบาลจีนจึงพอใจที่ไทยและบางประเทศ เป็นมิตรแท้ในยามวิกฤติ
ประเทศไทยธำรงรักษาเอกราชจากอดีตกาลที่ภาคภูมิใจ นโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระและพยายามไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลประเทศใดประเทศหนี่งนักในช่วงปัจจุบัน สมควรที่จะพิจารณาทางเลือกของนโยบายให้ฉลาดรอบคอบในอันที่จะรักษาเอกราช ผลประโยชน์แห่งชาติ เกียรติภูมิ การมีทิศทางที่ถูกต้องและศักดิ์ศรีที่มีตลอดมาให้มีตลอดไป
คมกริช วรคามิน
อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูคาเรสต์ โรมาเนียและมีเขตอาณาครอบคลุมสาธารณรัฐบัลแกเรีย)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี