"วันนอร์"ซัดนายกฯทำผิดรธน.เพียบ แถลงนโยบายไม่ชี้แจงที่มารายได้ ใช้บ้านพักทหารเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน แฉโกงงบประมาณติดตั้งเสาไฟฟ้า-CCTVในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต่อที่ประชุมสภาฯ ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีปัญหากับรัฐธรรมนูญมากกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ โดยก้าวมาสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญปี 2550 และออกรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวรวมถึงรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อยกเว้นความผิด และเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากการเลือกตั้งแล้ว ก็ไม่ได้ชี้แจงอะไรที่มาของรายได้ ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 162 และกระทำการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามมาตรา 184 กรณียังใช้บ้านพักทหารและมีมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นการรับประโยชน์อื่นใด แม้ระเบียบของกองทัพจะอนุญาตให้อยู่ได้ แต่ถือว่าระเบียบนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ พร้อมชี้ว่านายกรัฐมนตรีปฏิบัติฝ่าฝืนมาตราฐานทางจริยธรรมร้ายแรง แไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติต้องห้ามตามมาตรา 160
หัวหน้าพรรคประชาชาติ อภิปรายถึงการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยชี้ว่ามีการเตรียมการล่วงหน้าถึง 3 ปีกว่า โดยเชื่อมโยงไปถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ซึ่งเคยยอมรับว่ามีการติดต่อกับพลเอกประยุทธ์ตั้งแต่ปี 2553 และอ้างอายหลักฐานที่นายนคร มาฉิม อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเข้าร่วมประชุมในค่ายทหารด้วย โดยพบทั้งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา , พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งถือเป็นหลักฐานย้ำว่ามีการเตรียมการล้มล้างรัฐธรรมนูญ จนทำให้นายอิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ประท้วงว่าเป็นการพูดที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้อื่นเสียหายมาถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย และไม่เชื่อที่นายนคร มาฉิม อ้างว่าเคยไปร่วมในค่ายทหาร
นายวันมูหะมัดนอร์ อภิปรายว่า มีการพูดกันว่า "รัฐธรรมนูญนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา" โดยฉายสไลด์แผนการสืบทอดอำนาจ คสช. ตั้งแต่การเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้แก้ไขเพื่ออยู่ได้ยาว สร้างกติกาเลือกตั้งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง แต่งตั้ง ส.ว.ให้โหวตตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ เขียนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเป็นเครื่องมือของตัวเอง เขียนแผนงานปฏิรูปไว้ลงโทษฝ่ายตรงข้าม ออกคำสั่งมาตรา 44 ปิดปากคนเห็นต่าง แล้วตั้งพรรคการเมืองเองเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
นายวันมูหะมัดนอร์ อภิปรายถึงความล้มเหลวการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย 15 ปีใช้งบประมาณกว่า 300,000 ล้านบาท โดยพุ่งเป้าไปที่การจัดสรรงบแผนงานบูรณาการ ซึ่งสามารถโยกย้าย ไม่สามารถตรวจสอบได้ เช่น งบจัดซื้อเรือเหาะ , การจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด TG200 , การจัดซื้อเสาไฟโซล่าเซลล์กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งใช้จริงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของงบประมาณ และส่วนใหญ่เสียหายจากกำหนดสเปคต่ำ ต้องการซื้อของถูก แล้วได้เงินทอนเยอะ จนชาวบ้านร้องเรียน ทำให้ต้องตั้งงบประมาณใหม่เพื่อแก้ไขปัญหา , โครงการ Safety Zone School ติดตั้งกล้อง CCTV พื้นที่โรงเรียนจังหวัดชายแดนภาคใต้ 443 โรงเรียน งบประมาณ 400 ล้าน โดนกล้อง CCTV 1 ชุดมีกล้อง 6 ตัว ราคาสูงถึง 366,920 บาท ซึ่งบ้านตนเองใช้งบประมาณแค่ 1 แสนบาทต้นๆ แต่ติดตั้งกล้องได้ถึง 15 ตัว โดยผู้กำหนดและตรวจสเปคเป็นทหาร ไม่ได้เป็นกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
นายวันมูหะมัดนอร์ ยังอภิปรายถึงรายงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. ที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 ซึ่งระบุว่ามีเหตุการณ์ปี 2562 เพิ่มขึ้นกว่าปี 2561 กว่าร้อยละ 54.23 แล้วพบว่า กอ.รมน. จัดงบประมาณ 151 ล้านบาท ภายใต้โครงการส่งเสริมและเผยแพร่ความจริงที่ถูกต้องเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหา ตั้งเป้าล้างสมองเด็กอายุ 1 ถึง 5 ขวบ ให้ลืมอัตลักษณ์ของตัวเอง
โดยระหว่างการอภิปราย นายวันมูหะมัดนอร์ ยังกล่าวถึงปัญหาการซื้อตัว ส.ส.หรืองูเห่าในสภาฯ โดยชี้ว่าถ้าใช้เงินเป็นหลัก ประชาธิปไตยก็อยู่ไม่ได้ และขอให้ประชาชนสั่งสอนคนกลุ่มนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี