"ผู้กองมาร์ค"ติง"ประยุทธ์"บริหารงานไม่เป็น แจกเงินไม่ใช่ทางแก้วิกฤติเศรษฐกิจ-โควิด19
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ และหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกแคมเปญแจกเงินหัวละ 1,000 - 2,000 บาท เพื่อแก้ปัญหา รวมทั้งสิ้นกว่าแสนล้านบาท โดยหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมานั้น เป็นไปได้ยากมาก เพราะถ้าหากประชาชนต้องใช้เงินผ่านบัตรต่างๆ ของภาครัฐ และที่ต้องซื้อของผ่านร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือโครงการต่างๆ ของรัฐบาลกลับพบว่ามีราคาแพง และในท้ายที่สุดเงินจะวนเวียนไปตกเข้ากระเป๋านายทุนใหญ่ ทั้งหมดอีกหรือไม่ ในขณะที่วิกฤติไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ส่งผลให้ประเทศไทยเสียหายไปแล้วกว่าแสนล้านบาท โดยส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยเกือบทุกตัว จากเดิมที่แย่อยู่แล้ว ปัจจุบันกลับยิ่งแย่หนัก เศรษกิจไทยตกต่ำลงเรื่อยๆ โดยสถิติธนาคารโลก เผยว่าประเทศไทยมีอัตราความยากจนเพิ่มขึ้น จากปี 2558 ถึงร้อยละ 9.8 โดยตัวเลขคนจนอยู่ที่ 4.85 ล้านคน แต่ในปัจจุบันกลับเพิ่มขึ้นเป็น 6.7 ล้านคน โดยมีจำนวนคนจนที่เพิ่มขึ้นถึง 1.85 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2562 ว่าอยู่ที่ 2.4% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี และคาดการณ์ว่าในปี 2563 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2% เท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำเงินภาษีของประชาชน มาแจกแบบไม่มีประโยชน์ เพราะบทเรียนจากแคมเปญชิมช้อปใช้ที่ผ่านมา ได้ใช้งบประมาณไปกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ไม่สามารถฟื้นระบบเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้ เป็นการนำเงินภาษีมาใช้ไปแบบสูญเปล่า ดังนั้นรัฐบาลควรมองย้อนกลับไปว่านี้จะเป็นการวางแผนแก้ปัญหาที่ผิดวิธีอีกหรือไม่
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรนำงบประมาณ 1 แสนล้านบาทจากแคมเปญแจกเงิน ไปแก้ปัญหาการแพร่เชื้อโควิค-19 จะดีกว่า โดยควรให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตหน้ากากในทุกภูมิภาค และต้องให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน ซึ่งที่ประเทศจีนสามารถสร้างโรงพยาบาลให้แล้วเสร็จได้ภายใน 10 วัน และมีการจัดเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและอุปกรณ์การแพทย์เพื่อรองรับการบริการให้กับผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 โดยมีพื้นที่ 34,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ถึง 1,000 เตียง ซึ่งคนไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเก่งดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าสามารถที่จะทำโรงงานหน้ากาก เพื่อผลิตสำหรับแจกจ่ายได้ทันตามกำหนด โดยในส่วนของเรื่องหน้ากากอนามัยนั้นรัฐบาลควรจะต้องแจกหน้ากากฯ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์วันละ 2 ชิ้นต่อคน และควรจัดส่งหน้ากากให้กับประชาชนคนไทยทุกคนทางไปรษณีย์วันละ 1 ชิ้นต่อคน (ทำการจัดส่งเดือนละ 1 ครั้ง ตามจำนวนวันของเดือนจนกว่าการแพร่ระบาดจะหมดไป) ควรกำหนดให้สถานที่ราชการทุกแห่ง รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะทุกชนิด มีเจลล้างมือแอลกอฮอล์ และต้องมีการฆ่าเชื้อโดยการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามมาตราฐานสากลวันละ 2 ครั้ง ซึ่งแคมเปญที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ใช้งบประมาณเพียงแค่ไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลยังคงจะเหลือเงินอีก 9 หมื่นล้านบาท ที่จะนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ กลับใจเปลี่ยนจากโครงการแจกเงิน มาเป็นแก้วิกฤติโควิด-19 โดยการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เพื่อออกมาจับจ่ายใช้สอยได้บ้าง เศรษฐกิจไทยก็จะคงพอขับเคลื่อนไปได้ ทุกวันนี้ตามห้างร้าน และตลาด คนแทบจะไม่มี พ่อค้าแม่ค้าบ่นกันทั้งวันว่าค้าขายแทบไม่ได้ อยากถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เคยไปเดินตลาดด้วยตนเองบ้างหรือไม่ หรือไม่กล้าไป เพราะกลัวติดเชื้อไวรัสโควิด-19
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี