ฉุกเฉินเฉียบขาด! ‘มท.’ สั่งผู้ว่าฯทั่วไทยเข้ม 2 หลัก ‘ตรวจคัดกรองกักกัน – หยุดแพร่ระบาด’ ป้องโควิด-19 ลาม ด้าน ‘บิ๊กป๊อก’ กำชับต้องคุมให้อยู่ มั่นใจควบคุมได้ ขณะที่แอพฯ ‘Thai QM’ ตามตัวคนแห่กลับบ้านได้แล้วกว่า 5 หมื่นราย
26มี.ค.63 ที่กระทรวงมหาดไทย(มท.) มีการประชุมชี้แจงแนวทางปฏิบัติราชการภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร็นซ์ ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านการสั่งการและประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าฯกทม. และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเข้าร่วมในการประชุม
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ผู้ว่าฯต้องรวบรวมค้นหาคนที่เดินทางเข้าออกพื้นที่ ยอมรับว่ายาก เพราะเราไม่รู้ว่าใครเข้ามาบ้าง เพราะฉะนั้นต้องช่วยกัน โดยเฉพาะกทม.และปริมณฑล มีผู้ป่วยโควิด-19 สูงมาก พอมีการเดินทางกลับภูมิลำเนา ก็จะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นหรือไม่ แล้วมีการไปแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นต้องใช้มาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดในพื้นที่ (Social Distancing) หรือระยะห่างทางสังคม กับมาตรการควบคุม กักกัน (Quarantine) ดีที่สุด โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ที่มีสถิติผู้ป่วยสูง ต้องใช้ระบบกักกัน ระบบติดตามตัวค้นหาอย่างเข้มข้นด้วย
“นับจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปในห้วง 14 วันนี้ ผู้ว่าฯต้องคุมให้ดีไม่ให้โควิด-19แพร่กระจายไปในวงกว้าง มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงระหว่างจังหวัดด้วย ถ้ามีการติดเชื้อ ยกตัวอย่างเป็นเอ เราต้องไม่ให้เอ แพร่เชื้อไปบี ซี หรือดีให้ได้ ต้องเข้มข้นทั้งมาตรการสกัดกั้น หรือกักกันควบคุมเฝ้าระวังพื้นที่ กับมาตรการหยุดยั้งการแพร่ระบาด ลดการเดินทาง อยู่กับบ้าน ต้องรณรงค์ให้มากที่สุด แม้ว่ามาตรการสกัดกั้นกักกันจะเป็นเรื่องยากในการควบคุม แต่ผู้ว่าฯก็พยายามอย่างเต็มที่ ต้องไม่ให้มีการแพร่เชื้อแล้วสืบสาวราวเรื่องไม่ได้ เพราะถ้าเกิดขึ้นมันจะหนัก ต้องมีการล็อคดาวน์ตามมา จะส่งผลกระทบไปอีกมากมาย ก็ขอขอบคุณทุกคนที่ทำงานร่วมกัน ทั้งผู้ว่าฯ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จากการดำเนินงานของแต่ละจังหวัดขณะนี้ ผมมั่นใจว่าทุกพื้นที่น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ แม้ประชาชนจะให้ความร่วมมือ หรือไม่ให้ความร่วมมือก็รับสถานการณ์ได้” รมว.มหาดไทย กล่าว
ด้านปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) บูรณาการทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการดังกล่าว อย่างเคร่งครัด และขอให้ทุกจังหวัดได้รวบรวมประกาศจังหวัด ซึ่งผู้ว่าฯได้ใช้อำนาจในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ตามมาตรา 35 แห่งพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ที่ได้มีผลใช้บังคับก่อนข้อกำหนดดังกล่าว มายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในห้วงที่กทม. และจังหวัดปริมณฑล ประกาศปิดสถานที่เสี่ยงต่างๆ ในช่วงวันที่ 22 – 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีประชาชน รวมทั้งแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเดินทางจากกทม. และปริมณฑล กลับภูมิลำเนาไปอยู่ในพื้นที่ทั้งหมด ประมาณ 2.2 แสนราย ขอให้ตามไปตรวจสอบทุกพื้นที่ เราจะทำอย่างไม่ให้มีการนำเชื้อไปติดกัน ต้องประสานงานทำทะเบียนข้อมูลต่างๆ นำแอพพลิเคชั่นมาใช้ในการติดตามตัว ส่วนการตั้งด่าน หรือจุดสกัดประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ถือเป็นภารกิจสำคัญ ขอให้เข้มงวด เพราะเป็นข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ดังนั้นฝ่ายปกครอง จะต้องร่วมกับตำรวจ ทหารในการปฏิบัติงาน ต้องหาจุดร่วมให้ลงตัวชัดเจน ขณะที่ตามด่านชายแดน หรือจุดผ่อนปรนต่างๆที่มีการปิดไปแล้ว แต่ยังมีบุคคลที่มีสัญชาติไทยยังไม่ได้กลับเข้ามา จะต้องให้บุคคลเหล่านั้นกลับเข้ามาในประเทศให้ได้ทุกคน
ขณะที่นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวชี้แจงข้อสั่งการในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า การดำเนินการตามมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดในพื้นที่ (Social Distancing) อาทิ การเฝ้าควบคุม สังเกตอาการผู้กักกันตัวเอง ณ ที่พำนัก (Home Quarantine) ทุกกลุ่ม การจัดตั้งจุดควบคุมโควิด-19 โดยร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ การจัดชุดปฏิบัติการเคลื่อนเร็วเพื่อควบคุมการจัดกิจกรรมที่รวมคนจำนวนมาก การสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการตามมาตรการสกัดกั้นการนำเชื้อเข้ามาในประเทศไทยในพื้นที่ด่านทางบก และการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ตามข้อสั่งการ ศบค. ได้แก่ พื้นที่ที่ต้องยกระดับความเข้มข้นทุกมาตรการตาม พรก.การบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 (กรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑล ชลบุรี พัทยา ระยอง หัวเมืองใหญ่ในภูมิภาค) และพื้นที่ที่มีการปิดพื้นที่และควบคุมการจัดการภายใน (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และภูเก็ต)
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดมท. กล่าวว่า หลักในการค้นหาประชาชนที่เดินทางจากกทม. และปริมณฑลกลับภูมิลำเนาไปยังหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ คือต้องค้นหาทุกคน โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกับท้องถิ่น อสม. แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน คณะกรรมการหมู่บ้านร่วมมือกันก็จะรู้ว่ามีใครแปลกปลอมเข้ามา ยิ่งได้ข้อมูลเร็วเท่าไหร่ การบริหารจัดการก็จะเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เราได้มีแอพลิเคชั่น Thai Quarantine Moniter (Thai QM) ที่พัฒนาโดยกรมการปกครอง นำมาใช้ในการเก็บข้อมูลผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา โดยขณะนี้ทีมดำเนินการคัดกรอง แยกกัก กักกัน ระดับหมู่บ้าน/ชุมชน ได้สำรวจพื้นที่พบตัวบุคคลแล้วกว่า 50,000 ราย และได้เข้าสู่กระบวนการเฝ้าระวังสังเกตอาการที่ที่พำนักของตัวเองแล้ว ซึ่งตัวเลขจะขยับขึ้นเรื่อยๆ จึงขอให้ทำข้อมูลและรายงานให้เป็นปัจจุบันด้วย ส่วนการให้ความรู้ในพื้นที่ต่อประชาชน ให้ใช้ทุกช่องทางที่มี กระจายทุกเรื่องจากส่วนกลางให้ประชาชนรับทราบ ให้มีความถี่มากยิ่งขึ้นกว่าปกติ
ส่วนนายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ได้เสนอต่อที่ประชุมว่า ทางกรมฯกำลังพัฒนาแอพลิเคชั่นตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของประชาชนในที่พัก ซึ่งกำลังดำเนินการเกือบจะสมบูรณ์แล้ว และจะส่งมอบให้ทางกรมการปกครอง เพื่อที่นำไปใช้ดำเนินการควบคู่กันต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี