'ธนกร'โต้'พ.ต.อ.ทวี'ปมวิจารณ์เยียวยา5พัน ชี้ทุกฝ่ายต้องร่วมใจสู้วิกฤตโควิด-19

'ธนกร'โต้'พ.ต.อ.ทวี'ปมวิจารณ์เยียวยา5พัน ชี้ทุกฝ่ายต้องร่วมใจสู้วิกฤตโควิด-19

วันอังคาร ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2563, 14.07 น.

เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "Dr Thanakorn Wangboonkongchana ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ" ระบุว่า ประเด็นชี้แจง เรื่อง “Big Data นับแสนล้านบาทมีไว้ทำอะไร” วันที่ 13 เมษายน 2563 ผู้วิจารณ์ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง

ประเด็นวิจารณ์ต่อมาตรการเยียวยา 5,000 บาท 3 ประเด็น ได้แก่


1. ทำไมต้องให้มีการลงทะเบียน ในเมื่อรัฐมีการลงทุนมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านบาท ในการเชื่อมโยงข้อมูลประชาชนเป็นภาพเดียวที่สมบูรณ์ Big Data อยู่ที่ไหน ทำไมไม่นำมาใช้ประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ AI ให้สิ้นเปลืองงบประมาณและเสียเวลาในการตรวจสอบ

2. ปล่อยให้มีการลงทะเบียนกว่า 24 ล้านคน และรัฐกำหนดโควตาในรอบแรกเพียง 3 ล้านคน ทำให้มีผู้ที่ไม่ได้ลงและผู้ที่ไม่ได้สิทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม ในขณะนี้ไม่มีคนไทยคนใดไม่ได้รับผลกระทบ ควรให้ทุกครอบครัว ครอบครัวละ 5,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้ประชาชนดำรงชีพได้ 3 – 6 เดือน

3. การให้ประชาชนมาลงทะเบียน เพื่อให้ประชาชนเสียสิทธิ์ก่อน รัฐถึงจะให้สิทธิ์นั้น จึงเป็นการลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บทเรียนในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ที่ประสบความสำเร็จ คือ “สวัสดิการ” เป็น “สิทธิ” ของประชาชน รัฐต้องให้ “สิทธิที่เสมอกัน” ไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไร

ประเด็นชี้แจงรายข้อ

1. ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดจัดทำและเชื่อมโยงฐานข้อมูลอาชีพอิสระของประชาชนอย่างเป็นระบบ ดังนั้น การดำเนินมาตรการนี้จึงต้องเชื่อมโยงฐานข้อมูลอาชีพอิสระจากหน่วยงานต่าง ๆ ขึ้นมาก่อน เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินมาตรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น :

▪ “Big Data” ของแต่ละหน่วยงานมีอยู่แล้วตามภารกิจและนโยบายของแต่ละกระทรวง เช่น นโยบายในการต่อสู้ความยากจน กระทรวงการคลังก็มี Big Data ผู้มีรายได้น้อย แต่ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 เรามุ่งเน้นการช่วยเหลือไปยังกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระนั้น ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานไหนมีการจัดเก็บข้อมูลนี้อย่างเป็นระบบ

▪ เชื่อมโยงกันได้ด้วย “เลขบัตรประชาชน 13 หลัก” การดำเนินมาตรการนี้ เราก็ใช้การเชื่อมโยงข้อมูลหลายฐานข้อมูลที่เก็บอยู่ในแต่ละหน่วยงาน เช่น ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง ฐานข้อมูลผู้ประกันตนของสำนักงานประกันสังคม ฐานข้อมูลข้าราชการของกรมบัญชีกลาง ฐานข้อมูลเกษตรกรของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และสำนักงานอ้อยและน้ำตาล ฐานข้อมูลนักเรียนนักศึกษาจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวงศึกษาธิการ ฐานข้อมูลใบอนุญาตขับขี่สาธารณะของกรมการขนส่งทางบก ฐานข้อมูลผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น

▪ หัวใจสำคัญของการคัดกรองผู้ลงทะเบียนโดยใช้ข้อมูลส่วนบุคคล คือ การลงลายมือชื่อรับรองและยินยอมให้มีการตรวจสอบข้อมูลของตัวเอง (Consent) “ไม่ได้สร้างความเดือดร้อน แต่สร้างความถูกต้อง” ภาครัฐไม่สามารถตรวจสอบได้เองตามอำเภอใจ แม้ข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ จะอยู่กับภาครัฐแล้วก็ตาม เพราะมีกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลดูแลอยู่

2. การใช้จ่ายเงินต้องมีประสิทธิภาพ การใช้จ่ายแบบเฮลิคอปเตอร์มันนี่เป็นการใช้งบประมาณแบบ “เกาไม่ถูกที่คัน” ในยามวิกฤตนี้เราต้องใช้งบประมาณที่มี “จำกัด” เยียวยาคนที่ “จำเป็น” ก่อน ซึ่งงบประมาณที่ใช้ทั้งหมดเป็นเงินกู้ ย่อมเป็นภาระทางการคลังในอนาคต :

▪ เดิมมาตรการนี้ มุ่งช่วยเหลือเฉพาะ “กลุ่มอาชีพอิสระที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม” เช่น หาบเร่แผงลอย รถจักรยานยนต์รับจ้าง แท็กซี่ เป็นต้น ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3 ล้านคน แต่เมื่อผลกระทบของ COVID-19 ขยายวงออกไป กระทรวงการคลังจึงไม่ได้จำกัดผู้ที่ลงทะเบียนไว้ที่ 3 ล้านคน หากแต่เปิดโอกาสให้กับทุกคนที่คิดว่าตนเองได้รับผลกระทบ และจะเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก่อน ไม่ใช่ใครก็ได้มาลงทะเบียนแล้วรับเงินไป แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ผ่านการคัดกรองแล้วว่าได้รับผลกระทบจริง รัฐบาลจะพยายามช่วยเหลือทุกคน ส่วนผู้ที่เป็นเกษตรกร รัฐบาลไม่ได้ทิ้ง แต่ได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือไว้แล้ว

▪ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ประเทศไทยมี 22 ล้านครัวเรือน ถ้าให้ครัวเรือนละ 5,000 เป็นระยะเวลา 3 เดือน ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 3.3 แสนล้านบาท ถ้าเป็นระยะเวลา 6 เดือน ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 6.6 แสนล้านบาท ผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจะได้รับเงินเยียวยาไปด้วย แทนที่จะนำเงินไปใช้ในด้านอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นตาม “หลักเศรษฐศาสตร์” นอกจากนี้ ประเทศไทยไม่ได้มีฐานะทางการเงินดีเหมือนฮ่องกงและมาเลเซียเหมือนที่ผู้วิจารณ์ยกตัวอย่าง การดำเนินมาตรการนี้จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการกู้เงิน และแน่นอนว่าจะเป็นภาระทางการคลังในอนาคต

3. ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และผลกระทบจาก COVID-19 เป็นคนละเรื่องกันไม่สามารถใช้ตรรกะการวัดแบบเดียวกันได้ ส่วนเงินเยียวยาเป็นเงินที่ให้เฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ให้เป็นสวัสดิการถาวรที่ให้แก่ทุกคน :

▪ การให้ประชาชนเสียสิทธิก่อนจึงจะให้สิทธิ เป็นการลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะการลงทะเบียนจำเป็นต้อง “คัดกรองผู้ที่ได้รับผลกระทบให้แม่นยำมากที่สุด” ภายใต้ฐานข้อมูลต่าง ๆ ที่เรามี เช่น แม่ค้าและข้าราชการ ย่อมมีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่ากันตามกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เท่ากัน

▪ การแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ เป็นการแก้ปัญหาระยะยาว สามารถใช้นโยบายสวัสดิการเพื่อบรรเทาปัญหาได้ ซึ่งต้องคำนึงถึงความเสมอภาคเป็นสำคัญ แต่ปัญหาวิกฤต COVID-19 ในปัจจุบันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นเรื่อง “เร่งด่วนและส่งผลกระทบโดยตรงกับบางกลุ่มอาชีพเท่านั้น” ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน จึงไม่ควรเอามาปนกัน

ผมหวังว่า พ.ต.อ.ทวี จะเข้าใจนะครับ ท่านเป็นข้าราชการเก่าน่าจะเข้าใจระบบการบริหารดี เวลานี้ทุกฝ่ายต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้กับวิกฤตไวรัสโควิด-19 ไม่ใช่เวลาเอาชนะคะคานกันทางการเมืองได้ โปรดเข้าใจด้วย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top